ผู้เห็นทุกข์ในการเกิด
เราเกิดมาแต่ละภพแต่ละชาติ มีเป้าหมายคือสร้างบารมีให้เต็มเปี่ยม เพื่อให้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน อันเป็นสรณะที่แท้จริงของชีวิต ในชีวิตการสร้างบารมีนั้น บางครั้งเราอาจต้องประสบกับปัญหาและอุปสรรคที่ยากต่อการแก้ไข แต่ถ้าเรารู้จักการทำหน้าที่กัลยาณมิตรให้กับตนเอง มีความอดทน รู้จักยกใจให้สูง ขึ้นอยู่เหนืออุปสรรคทั้งมวล และรักษาใจให้ผ่องใสเป็นปกติ ไม่ยอมรอคอยกำลังใจจากใคร เราก็จะฝ่าฟัน อุปสรรคนั้นไปได้อย่างแน่นอน
ในสมัยพุทธกาล มีลูกชายของพ่อค้าใหญ่คนหนึ่ง มีทรัพย์สมบัติมากมายถึง 400 ล้าน แต่ท่านสอน ตนเอง เป็นกัลยาณมิตรให้กับตนเองได้ คือพิจารณาเห็นความทุกข์ในโลก ทุกข์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา คลอดออกจากครรภ์มารดา ก็พบกับความทุกข์เรื่อยมา ทั้งความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ มีความโศกเศร้า เสียใจ คับแค้นใจ ความพรํ่าพิไรรำพัน อะไรต่างๆ เหล่านั้น มันเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ท่านจึงตัดสินใจจะทำ กองทุกข์ให้หมดสิ้นไป ให้เข้าถึงความสุขอันเป็นอมตะ จึงได้ตั้งใจสละทรัพย์สมบัติทั้งหมด ออกบวชเป็นพระภิกษุ ได้ฉายานามว่า ติสสะ บวชแล้วท่านก็ตั้งอกตั้งใจ ประพฤติดี ปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย และก็ได้เจริญสมาธิภาวนาอย่างสมํ่าเสมอทุกวันตลอดมา
จนกระทั่งวันหนึ่งน้องสะใภ้ของท่าน เกิดความโลภครอบงำจิตใจ นางอยากเป็นเจ้าของครอบครอง ทรัพย์สมบัติทั้งหมดในบ้าน และมีความหวาดระแวง เกรงว่าพระเถระจะสึกหาลาเพศออกมาครองเรือน แล้วจะต้องแบ่งทรัพย์สมบัติของนางไป นางจึงว่าจ้างพวกโจรให้ไปฆ่าพระเถระเสีย เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม
พวกโจรพากันสืบถามหาจนไปถึงที่อยู่ของพระเถระ แล้วก็พากันไปล้อมกุฏิของท่านไว้ ท่านเห็นผู้คนมากันมากมาย ก็สอบถามว่า “พวกท่านเป็นใคร จะไปที่ไหนกันหรือ” พวกโจรตอบว่า “มีผู้จ้างวาน พวกเรา ให้มาฆ่าท่าน ท่านถูกพวกเราล้อมไว้หมดแล้ว หนีไปไหนไม่รอดหรอก จงยอมตายเสียเถิด”
แม้พระเถระจะรู้ว่าความตายกำลังมาถึง แต่ท่านก็ไม่ได้มีความหวาดหวั่นกลัวตายแม้สักนิดเดียว ท่านมีแต่ความรู้สึกเบื่อหน่าย เอือมระอากับความทุกข์และกิเลสที่จะติดตามไปในภพเบื้องหน้า เพราะตราบใด ที่ยังไม่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ตราบนั้นก็ยังต้องวนเวียนอยู่ในความทุกข์ระทม ท่านจึงได้กล่าวกับ พวกโจรว่า “อุบาสก อาตมภาพขอเวลาบำเพ็ญสมณธรรมอีกสักคืนเถิด พอถึงเวลาเช้า พวกท่านจะจัดการ กับอาตมภาพอย่างไรก็ได้ตามใจชอบ” พวกโจรจึงถามกลับว่า “ถ้าพวกเราผ่อนผันให้กับท่านคืนหนึ่ง ใครจะรับประกันได้ว่า ท่านจะไม่หลบหนีไป”
เพื่อให้พวกโจรมั่นใจว่าท่านจะไม่หนีไปไหน พระเถระจึงเอาก้อนหินใหญ่ ทุบขาทั้งสองข้าง ของตนเองจนกระดูกขาแตก แล้วกล่าวว่า “พวกท่านวางใจเถิดว่า เราหนีไปไหนไม่ได้อีกแล้ว” ถึงอย่าง นั้น พวกโจรก็ยังล้อมกุฏิของท่านไว้อย่างแข็งขัน ส่วนพระเถระท่านอดทนต่อทุกขเวทนาแสนสาหัสที่เกิดขึ้น และก็รักษาใจไม่ให้มีความโกรธ ทั้งต่อพวกโจร ทั้งต่อผู้ที่ว่าจ้างพวกโจรให้มาฆ่าท่าน ท่านสอนตัวเองว่า ความทุกข์ทรมานที่ท่านได้รับอยู่ ในขณะนี้ เป็นผลมาจากอกุศลกรรมของท่านเองในปางก่อน แล้วท่าน ก็มานึกทบทวนถึงการรักษาศีลของท่าน ทั้ง 227 ข้อ นับตั้งแต่วันที่อุปสมบทมา ได้เห็นศีลที่สะอาด บริสุทธิ์ สว่างใส ดังดวงจันทร์อันปราศจากมลทิน ขณะที่พิจารณาดูดวงศีลอยู่นั้น ท่านได้เกิดปีติแผ่ซาบซ่านไปทั่ว สรรพางค์กาย ท่านข่มปีติได้แล้วเจริญวิปัสสนาต่อไป ในที่สุดก็ได้บรรลุอรหัตผลเป็นพระอรหันต์ในคืนนั้น
เรื่องของพระติสสะเถระผู้สามารถสอนตนเองได้นี้ ถึงแม้ว่าความตายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ ทุกขณะ แต่ท่านก็อดทนต่อความเจ็บปวด และก็ไม่โกรธใครเลย รักษาอารมณ์ให้สงบเยือกเย็นได้ จนในที่สุด ท่านก็ได้บรรลุธรรมดังที่ปรารถนา ฉะนั้นการรู้จักสอนตนเองได้ จึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้ศีล สมาธิ ปัญญา บริบูรณ์มากยิ่งขึ้น