เปรตที่รับส่วนบุญได้
ในหัวข้อต่อจากนี้ไป นักศึกษาจะได้ทราบถึงเปรตบางชนิดที่สามารถรับส่วนกุศลได้ ในบรรดาเปรตทั้งหลายที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งสิ้น มี 12 จำพวกบ้าง 4 จำพวกบ้าง 21 จำพวกบ้าง ในจำนวนเปรตทั้งหมดนี้ เปรตที่มีโอกาสจะได้รับส่วนบุญจากญาติอุทิศให้ คือ เปรตจำพวกปรทัตตูปชีวิกเปรต และเป็นเปรตจำพวกเดียวที่รับส่วนบุญได้เท่านั้น ส่วนเปรตอื่นๆ นอกจากนี้ ไม่สามารถจะรับส่วนบุญที่ญาติอุทิศไปให้ได้ เพราะเหตุว่าเปรตเหล่านี้อยู่ห่างไกลจากหมู่มนุษย์ แต่สำหรับปรทัตตูปชีวิกเปรตนั้น เป็นเปรตที่เกิดอยู่ในบริเวณบ้าน เช่น บุคคลบางคนถูกฆ่าตายโดยปัจจุบัน หรือผู้ที่ตายตามธรรมดาก็ตาม แต่มีความห่วงใยอาลัย ก็เกิดเป็นเปรตอยู่ในบริเวณบ้านนั้นเอง และปรากฏตนให้บรรดาญาติหรือบุคคลอื่นๆ เห็นได้ ตามที่ชาวบ้านนิยมพูดกันว่า ผีหรือเปรตเหล่านี้ ได้แก่ ปรทัตตูปชีวิกเปรต
ถึงแม้ว่าปรทัตตูปชีวิกเปรตจะเป็นเปรตที่เกิดอยู่ในบริเวณบ้านทั้งหลายได้ก็ตาม แต่ถ้าไม่รู้ว่าเขาแผ่ส่วนบุญให้ ก็ไม่สามารถที่จะรับส่วนบุญนั้นได้เหมือนกัน ทั้งนี้เพราะว่า ถ้าไม่รู้แล้วก็ไม่สามารถจะอนุโมทนา ว่า สาธุ สาธุ เมื่อไม่สามารถจะอนุโมทนาว่าสาธุ ก็เป็นอันว่าไม่ได้รับส่วนบุญที่ญาติอุทิศมาให้ เพราะเป็นธรรมดาของเปรตทั้งหลายที่จะต้องเป็นเช่นนั้น ฉะนั้นปรทัตตูปชีวิกเปรตจำพวกนี้ ก็ไม่เป็นการแน่นอนว่าจะได้รับส่วนบุญจากญาติที่อุทิศให้เสมอไป
ในเรื่องของการอุทิศส่วนบุญให้เปรตนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ติโรกุฑฑสูตร ว่าด้วยการ ให้ส่วนบุญแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่พระเจ้าพิมพิสาร เป็นคาถาว่า
“ ฝูงเปรตพากันมายังเรือนของตน ยืนอยู่ที่นอกฝาเรือนบ้าง ยืนอยู่ที่ทาง 4 แพร่ง 3 แพร่งบ้าง ยืนอยู่ใกล้บานประตูบ้าง เมื่อข้าวน้ำ ของเคี้ยว ของกิน เขาวางไว้เป็นอันมาก ญาติไรๆ ของเปรตเหล่านั้น ก็ระลึกไม่ได้ เพราะกรรมของสัตว์ทั้งหลายเป็นปัจจัย ชนเหล่าใดเป็นผู้เอ็นดู ชนเหล่านั้นย่อมให้น้ำ ข้าว อันสะอาด ประณีต อันสมควร ตามกาล อุทิศเพื่อญาติทั้งหลายอย่างนี้ว่า ขอทานนี้แล จงมีแก่ญาติทั้งหลาย ขอญาติทั้งหลาย จงมีสุขเถิด”
“ ส่วนฝูงเปรตที่เป็นญาติเหล่านั้น มาแล้ว พร้อมแล้ว ก็ชุมนุมกันในที่ให้ทานนั้น ย่อมอนุโมทนาโดยเคารพ ในข้าวน้ำเป็นอันมากว่า เราได้สมบัติเพราะเหตุแห่งญาติเหล่าใด ขอญาติเหล่านั้นของเรา จงมีชีวิตยั่งยืน ทั้งการบูชาญาติผู้เป็นทายกก็ได้กระทำแก่พวกเราแล้ว ”
“ อนึ่ง ทายกทั้งหลาย ย่อมไม่ไร้ผล ก็ในปิตติวิสัยนั้น ไม่มีกสิกรรมการทำไร่ การทำนา ไม่มีโครักขกรรม การเลี้ยงโค ในปิตติวิสัยนั้น การค้าเช่นนั้น การซื้อขายด้วยเงิน ก็ไม่มี ผู้ทำกาลกิริยาละไปแล้ว ย่อมยังอัตภาพให้เป็นไปในปิตติวิสัยนั้น ด้วยทานที่ญาติให้แล้วจากมนุษย์โลกนี้”
จากพระคาถานี้ จะเห็นว่า ชีวิตความเป็นอยู่ของเปรตทุกข์ทรมาน ต้องอดอยากหิวโหย รอคอยแต่การอุทิศผลแห่งบุญไปให้เท่านั้น หากญาติพี่น้องไม่มีความเชื่อเรื่องการให้ทานและการอุทิศบุญแล้ว ความอดอยากย่อมครอบงำเปรตนั้นให้ได้ทุกข์ทรมานยาวนานทีเดียว
---------------------------------------------------------------------
จากหนังสือ DOU GL 102 ปรโลกวิทยา
อบายภูมิ