ชาดก 500 ชาติ
อัคคิชาดก-ว่าด้วยท่านอัคคิกะ
พญาหนูโพธิสัตว์กับหมาจิ้งจอกเจ้าเล่ห์
ในสมัยพุทธกาลเมื่อครั้งที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้หลอกลวงผู้หนึ่ง แล้วจึงทรงตรัสพระธรรมเทศนาดังนี้ ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพญาหนูอยู่ในป่า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
“หนูทั้งหลาย อาหารที่ได้มาในวันนี้ พวกเจ้าเอาไปแบ่งกินกันเถิด” “อร่อยๆ” “เจ้าอย่ากินตัวเดียวหมดซิ แบ่งกันบ้าง” ครั้งนั้นเกิดไฟไหม้ป่าขึ้น สัตว์ป่าทั้งหลายต่างวิ่งหนี เอาชีวิตรอดกันอย่างโกลาหล “อู๊ด อู๊ด หนีเร็วพวกเราไฟไหม้ป่าแล้ว”
ณ ป่าใหญ่ ในนครพาราณสี
“เจี๊ยกๆ เพ่นก่อนล่ะ” “ต เต่าด้วย เต่าก็กลัวไฟเหมือนกันนะเนี่ย” สัตว์ป่าทั้งหลายหนีตายกันนั้น บางตัวหนีไม่ทัน ก็ต้องตายในกองเพลิงบ้าง ตายเพราะถูกสัตว์อื่นเหยียบบ้าง หมาจิ้งจอกตัวหนึ่งไม่สามารถหนีไปได้ทัน ก็ยืนเอาหัวยันไว้ที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง
พญาหนูโพธิสัตว์กับเหล่าบริวารอาศัยอยู่ในป่าใหญ่
ขนทั้งตัวของมันถูกไฟไหม้ เหลือแต่ขนตรงที่มันเอาหัวยันต้นไม้ไว้หน่อยหนึ่งเป็นเหมือนจุกบนกระหม่อม “อูย ร้อนๆ แสบร้อนไปทั้งตัวเลย เฮ้อเหลือขนอยู่หย่อมเดียว หมดหล่อเลยเรา” วันหนึ่งเจ้าหมาจิ้งจอกไปดื่มน้ำในตระพัง
ภัยธรรมชาติจากไฟป่าเผาไหม้ลุกลามอย่างน่ากลัว
แล้วมองดูเงาของตัวเองในน้ำ เห็นจุกที่หัวของตนก็คิดจะใช้ประโยชน์จากจุกบนหัวของตนนั้น “จุกบนหัวเรานี่ ทำให้เราเป็นเหมือนผู้ทรงศีลเลย ดีล่ะ ข้าจะใช้ประโยชน์จากจุกบนหัวของข้านี่ล่ะ” พญาหนูและบริวารผ่านมากินน้ำในกระพัง
หมาจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ติดอยู่ในวงล้อมของไฟป่า
เมื่อหมาจิ้งจอกเห็นฝูงหนูนั้นก็คิดแผนที่จะจับหนูกินเป็นอาหาร จึงยืนสงบนิ่งทำทีเป็นผู้มีศีลคอยอยู่ตรงนั้น “เอาล่ะ พวกเราพักกินน้ำกันก่อนดีกว่า” “หนูพวกนี้ตัวอ้วนพี น่ากินเหลือเกิน มื้อนี้ ท่าจะได้กินหนูเป็นลาภปากล่ะ ฮ่ะๆๆ”
เจ้าหมาจิ้งจอกถูกไฟไหม้จนขนของมันหมดเกลี้ยงไปทั้งตัว
เมื่อพญาหนูเห็นสุนัขจิ้งจอกก็คิดว่าเป็นผู้มีศีล จึงเข้าไปหาแล้วสนทนาด้วย “ท่านผู้มีศีล ท่านชื่ออะไรรึ” “เราคือ อัคคิกภารทวาชะ” “ท่านมายืนอยู่ทำอะไรตรงนี้ล่ะ” “ข้าเห็นหนูตัวน้อยๆ อย่างพวกเจ้า ก็เกิดความสงสาร อยากจะช่วยคุ้มครองน่ะ”
เจ้าหมาจิ้งจอกรอดตายมาได้เหลือขนแค่กระจุกเดียวบนหน้าผากของมัน
“แล้วท่านจะคุ้มครองพวกข้าได้ยังไง” “ฮะๆๆ ถามเข้าท่า ข้ารู้วิธีคำนวณที่เรียกกันว่านับด้วยหาง ในเวลาที่พวกเจ้านั้นพากันออกไปหากินแต่เช้า ข้าก็จะนับหางพวกเจ้าไว้ พอกลับมาข้าก็จะนับพวกเจ้าอีกครั้ง ว่ากลับมาครบหรือเปล่า แบบนี้พวกเจ้าก็จะปลอดภัยยังไงล่ะ”
เจ้าหมาจิ้งจอกได้แวะมากินน้ำในตระพัง
“ถ้าเช่นนั้นท่านก็จงช่วยคุ้มครองพวกเราเถิด” พญาหนูคิดว่าเจ้าจิ้งจอกนี้ต้องการจะช่วยคุ้มครองพวกหนูจริง จึงมอบหมายให้ทำหน้าที่คุ้มครองดูแลหนูทั้งฝูง “พวกเจ้า ทั้งหลาย ข้าขอแนะนำจิ้งจอกผู้มีศีลที่จะคอยคุ้มครองพวกเรา”
หมาจิ้งจอกเห็นเงาของตัวเองในน้ำจึงคิดอุบายที่จะหลอกจับสัตว์กินเป็นอาหาร
“ดีเลย แบบนี้เราจะหากินได้สะดวกแล้ว” “ว่าแต่ท่านจะคุ้มครองพวกเรายังไงล่ะ” “ข้าก็จะนับหางของพวกเจ้าทุกครั้ง ในเวลาที่ออกหาอาหาร แล้วเวลาที่กลับมายังไงล่ะ” “วิธีการของท่าน ช่างยอดเยี่ยมดีแท้” นับแต่นั้นเจ้าจิ้งจอกก็ได้เข้ามาอยู่ในฝูงของพญาหนู
บรรดาหนูทั้งหลายพากันมากินน้ำในตระพัง
มันทำทีนับหางหนูตามที่บอกไว้จนหนูทั้งหลายตายใจ “เอ้า หาง 1 หาง 2 หาง 3 หาง 4 หาง 5 หาง6 หาง 7...8...9....30 อ้าว ครบทุกตัว” “ดีจริงๆ เลยน่ะ ข้ารู้สึกอุ่นใจขึ้นเยอะ” ต่อมาไม่นานจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ก็เริ่มแผนการอันชั่วร้าย
เจ้าหมาจิ้งจอกมองเห็นฝูงหนูทั้งหลายทำให้มันหิวกระหายยิ่งนัก
โดยขากลับจากหาอาหาร เจ้าจิ้งจอกจะแอบจับเอาหนูตัวสุดท้ายไปกินเป็นประจำทุกวัน “เฮ้ เจ้าหนู เจ้าอยู่เป็นตัวสุดท้ายสิน่ะ” “ใช่แล้ว ข้าหมดแรง เดินช้า เลยอยู่เป็นตัวท้ายแถวนะท่าน จี๊ดๆๆ” “เจ้าหมดแรงแล้วรึ เหอะๆๆ ดีล่ะ ข้าจะทำให้เจ้าไม่ต้องเหนื่อยอีกแล้ว”
พญาหนูมองเห็นหมาจิ้งจอกมีท่าทีน่าเลื่อมใสเหมือนผู้มีศีล
“ท่านจะทำอะไรน่ะ อย่าๆ อย่ากินข้าๆ” เมื่อกินหนูตัวท้ายแถวไปแล้ว เจ้าจิ้งจอกก็ทำทีนับหางหนูว่าอยู่ครบ โดยไม่มีหนูตัวใดสงสัยเลยแม้แต่น้อย “อ้าว หาง 30 ครบ” “อืม อร่อย เต็มปากเต็มคำจริงๆ ฮ่ะๆๆ” เจ้าหมาจิ้งจอกทำเช่นนั้นเป็นประจำ
พญาหนูเข้าไปหาหมาจิ้งจอกด้วยความเคารพเพราะคิดว่าเป็นจิ้งจอกผู้ทรงศีล
จนฝูงหนูมีจำนวนลดลง จากที่เคยอาศัยกันอยู่เบียดเสียด บัดนี้มีหนูอยู่บางตา “ข้าว่า บัดนี้หนูในฝูงเรา ดูน้อยลงน่ะ” “ข้าว่าก็อย่างนั้นแหละ เมื่อก่อนเราเคยอยู่กันอย่าง เบียดเสียด ดูตอนนี้บางตาลงตั้งเยอะ” “แบบนี้ต้องปรึกษาพญาหนูซะแล้ว”
หมาจิ้งจอกแสดงท่าทีว่าห่วงใยและต้องการที่จะปกป้องบรรดาหนูทั้งหลาย
จำนวนหนูในฝูงที่ลดลงนั้น ทำให้พวกหนูเริ่มสงสัย จึงนำเรื่องนี้ไปบอกแก่พญาหนู “ท่านพญาหนู ข้าว่า ที่ชาวหนูเราบางตาลงน่ะ ต้องเกี่ยวกับท่าน อัคคิกภารทวาชะ แน่ๆ เลย” “เฮ้ย เจ้าอย่ากล่าวหาใครส่งเดช เอาไว้ข้าจะคอยจับตาดูก็แล้วกัน”
พญาหนูยอมให้เจ้าจิ้งจอกเข้ามาดูแลปกป้องฝูงหนูของตน
พญาหนูสงสัยว่า เจ้าหมาจิ้งจอกต้องมีส่วนที่ทำให้หนูในฝูงลดลงเป็นแน่ จึงได้วางแผนเพื่อจับผิดเจ้าจิ้งจอกนั้น วันหนึ่งเมื่อหนูทั้งหลายออกหาอาหารตามปกติ พญาหนู ได้ให้บริวารหนูทั้งหลายเดินนำหน้าไป ส่วนตนเองอยู่รั้งท้าย
หมาจิ้งจอกแอบกินหนูตัวสุดท้ายในขบวนหลังจากที่กลับมาถึงที่พักในแต่ละวัน
“พวกเจ้าเดินนำหน้าไปก่อน ข้าจะอยู่ท้ายแถวเอง” จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ เมื่อเห็นว่าพญาหนูอยู่ท้ายแถว ก็คิดจะจับพญาหนูกินเป็นอาหาร จึงได้วิ่งไปสกัดพญาหนูเอาไว้ “วันนี้ได้กินหนูตัวใหญ่ ลาภปากข้าจริงๆ”
หมาจิ้งจอกแกล้งนับจำนวนของหนูว่ามีจำนวนครบถ้วนดังเดิมในแต่ละวัน
“เจ้าจิ้งจอก เจ้าวิ่งมาดักหน้าข้าทำไม” “ฮ่ะๆ ฮ่า ถามได้ ข้าก็จะจับเจ้ากินเป็นอาหารนะสิ” “หนอย เจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ แกล้งทำทีเป็นผู้มีศีล ที่แท้เจ้านั่นเอง ที่แอบกินหนูในฝูงของข้า” “รู้ตัวตอนนี้ ก็สายซะแล้ว มามะมาเป็นอาหารของข้าซะดีๆ ฮ่าๆๆ”
บรรดาหนูเริ่มสังเกตได้ว่าเพื่อนหนูของตนเริ่มมีจำนวนลดน้อยลงเรื่อยๆ
“เจ้าจิ้งจอก เจ้าใช้จุกบนหัว หลอกลวงผู้อื่นว่าเป็นผู้มีธรรม เพื่อหาอาหารมาเลี้ยงปากท้อง เจ้าต่างหากล่ะ ที่จะไม่รอด” พญาหนูกล่าว พลางกระโดดเกาะคอของหมาจิ้งจอกนั้นไว้ แล้วกัดเข้าที่คอจนจิ้งจอกนั้นถึงแก่ความตาย
เจ้าหมาจิ้งจอกแสดงธาตุแท้ของมันออกมาให้พญาหนูโพธิสัตว์ได้ประจักษ์ต่อสายตา
“โอ๊ยๆๆ ปล่อยข้าเดี่ยวนี้น่ะ” “วันนี้ ถึงวันตายของเจ้าแล้ว นี่แน่ะๆ ๆ” “อ๊ากๆๆ” เมื่อจิ้งจอกสิ้นลง ฝูงหนูทั้งหลายที่เดินนำหน้าไปนั้น ก็กลับมากัดกินเนื้อจิ้งจอกนั้นจนสิ้น นับแต่นั้นมา พวกหนูก็หมดภัย
พญาหนูกระโดดกัดคอหมาจิ้งจอกจนมันสิ้นใจตายในที่สุด
ได้อยู่อย่างมีความสุขอีกครั้ง “อ้าว พวกเรา มากินเนื้อจิ้งจอกกันเถอะ” “กินกันให้หนำใจ เจ้านี่บังอาจมาหลอกพวกเราได้” พระศาสดาทรงนำพระเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
หมาจิ้งจอกในครั้งนั้น ได้มาเป็น ภิกษุหลอกลวงในครั้งนี้
พญาหนู ได้มาเป็นเรา ตถาคต ฉะนี้แล