ชาดก 500 ชาติ รวมนิทานชาดกพร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ชาดก 500 ชาติ : ชาดก 500ชาติรวมชาดก 500 ชาติพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ชาดก คือ เรื่องราวหรือชีวประวัติในอดีตชาติของพระโคตมพุทธเจ้า คือ สมัยที่พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่ พระองค์ทรงนำมาเล่าให้พระสงฆ์ฟังในโอกาสต่าง ๆ เพื่อแสดงหลักธรรมสุภาษิตที่พระองค์ทรงประสงค์ เรียกเรื่องในอดีตของพระองค์นี้ว่า ชาดก ชาดกเป็นเรื่องเล่าคล้ายนิทาน บางครั้งจึงเรียกว่า นิทานชาดก

ชาดก 500 ชาติ :: คุณชาดก ชาดกว่าด้วยมิตรธรรม

ชาดก 500 ชาติ

คุณชาดก ชาดกว่าด้วยมิตรธรรม

 

 
สุนัขจิ้งจอกและราชสีห์ผู้ซึ่งผูกมิตรด้วยน้ำใจที่มีต่อกัน
 
                      ครั้งหนึ่งเมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ราษฎรใกล้ไกลล้วนศรัทธาพระพุทธศาสนาหลั่งไหลกันมาฟังธรรมเจริญภาวนาอยู่ไม่ว่างเว้น
 
 
ราษฎรต่างพร้อมใจมาฟังธรรม
 
                       พระเทวีทั้ง 500_นางของพระเจ้ากรุงโกศลเองก็เช่นกัน แม้จะไม่สามารถออกมานั่งฟังธรรมอย่างคนอื่นๆได้ แต่ก็ได้นิมนต์พระเถระอานนท์ไปเทศนาธรรมถึงในวัง
 
 
 
พระเทวี 500 นางมาฟังธรรมจากพระอานนท์
 
                     เมื่อพระเทวีฟังธรรมจากพระอานนท์จบแล้วก็เกิดความเลื่อมใสถวายผ้าสาดกที่ได้รับมาจากพระเจ้าโกศลคนละผืนรวมทั้งหมด 500_ผืน พระอานนท์ก็รับไว้และมาให้ต่อกับภิกษุองค์อื่นๆที่ขาดแคลนจีวรนุ่งห่ม
 
 
พระเจ้าโกศลสงสัยที่พระเทวีของพระองค์ต่างนุ่งผ้าสาดกเก่าๆ
 
                       รุ่งเช้าพระเจ้าโกศลเห็นพระเทวีนุ่งผ้าสาดกเก่าๆ ออกมาปรนนิบัติก็แปลกใจ “เราให้ผ้าสาดกตั้งพันแก่พวกเจ้าเพราะเหตุไรพวกเจ้าไม่ห่มผ้าเหล่านั้นมา” “ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทพวกหม่อมฉันได้ถวายผ้าแก่พระเถระเสียแล้วเพคะ” “พวกเจ้าถวายให้ทั้ง 500 ผืน เลยเหรอ” “เพคะ” "แล้วพระอานนท์ก็รับผ้าไว้อย่างนั้นรึ" "เพคะ"
 
 
พระเจ้าโกศลเสด็จมานมัสการถามเรื่องที่ตนสงสัยกับพระอานนท์
 
                         พระอานนท์เถระจะคิดการค้าผ้าหรืออย่างไร ถึงทรงรับผ้ามากมายไว้ขนาดนั้น” ในเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุมีจีวรเพียง 3_ผืนเท่านั้น พระเจ้าโกศลเมื่อทรงเสวยพระกระยาหารเช้าเสร็จแล้ว ทรงเสด็จไปยังพระวิหารซึ่งเป็นที่อยู่ของพระเถระทรงนมัสการถามเรื่องที่เกิดขึ้น
 
 
พระอานนท์ได้อธิบายถึงการมาฟังธรรมตามปกติของพระเทวี
 
                        “พระคุณเจ้าพวกหญิงในเรือนของข้าพเจ้า ยังฟังธรรมหรือเรียนธรรมในสำนักของท่านอยู่หรือไม่" "ยังฟังธรรมหรือเรียนธรรมอยู่ พวกหญิงเหล่านั้นเรียนในสิ่งที่ควรเรียน ฟังสิ่งที่ควรฟัง" "ถวายพระพรพระคุณเจ้าพวกเธอฟังธรรมเท่านั้น หรือถวายผ้านุ่งผ้าห่มให้พระคุณจ้าด้วย”  
 
 
พระอานนท์ได้อธิบายถึงการรับผ้าสาดกจากพระเทวี
 
                        “ขอถวายพระพรวันนี้พวกหญิงนั้นได้ถวายผ้าสาดก ราคาหนึ่งพันประมาณ 500_ผืน” “แล้วพระคุณเจ้ารับไว้ กระนั้นหรือ” “ขอถวายพระพร อาตมา รับไว้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตให้มี จีวร 3_ผืนเท่านั้น แก่ภิกษุรูปหนึ่งโดยหลักการสำหรับใช้ แต่มิได้ทรงห้ามในการรับ
 
 
พระอานนท์ได้อธิบายการใช้ผ้าที่ได้รับมาต่อพระเจ้าโกศล
 
                          เพราะฉะนั้นอาตมารับผ้านั้นไว้ ก็เพื่อถวายภิกษุซึ่งมีจีวรเก่ารูปอื่น”  จากนั้นพระอานนท์ก็ได้อธิบายขั้นตอนในการใช้ผ้าที่ได้รับมาจากการถวายของพุทธศาสนิกชน ว่าเมื่อได้รับจีวรใหม่แล้วจีวรเก่าก็ได้ทำเป็นผ้าห่ม ผ้าห่มผืนเก่าก็ทำเป็นผ้านุ่ง ผ้านุ่งผืนเก่าก็ทำเป็นผ้าปูนอน ผาปูนอนผืนเก่าก็ทำเป็นผ้าปูพื้น ผ้าปูพื้นผืนเก่าก็ทำเป็นผ้าเข็ดเท้า
 
 
พระเจ้าโกศลทรงโสมนัสยิ่งนักในคำตอบของพระอานนท์
 
                          ส่วนผ้าเช็ดเท้าผืนเก่าก็นำไปผสมดินเหนียวฉาบทาที่เสนาสนะ “ขอถวายพระพรธรรมดาของที่ถวายด้วยศรัทธา จะทำให้เสียไปไม่ควร ผ้าที่ถวายอาตมาก็มิได้เสียหายย่อมเป็นของใช้สอยทั้งนั้น” พระเจ้าโกศลเมื่อได้ฟังคำตอบของพระเจ้าเถระก็ทรงชื่นชมโสมนัสยิ่งนัก  รับสั่งจ่ายผ้าอีก 500_ผืนที่เก็บไว้ในพระตำหนักมาถวายพระอานนท์
 
 
พระอานนท์ได้ถวายผ้า 500 ผืนแก่ภิกษุผู้มีอุปการะ
 
                          พระอานนท์เถระได้ถวายผ้า 500_ผืนที่ได้ครั้งหลังทั้งหมดแก่ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งที่เป็นผู้มีอุปการะ กวาดบริเวณสถานที่ เข้าไปตั้งน้ำ ใช้น้ำ ฉัน ถวายไม้สีฟัน  น้ำล้างหน้า และน้ำสง ชำระล้างวัชกุตี จัดเรือนไฟและเสนาสนะ นวดมือ นวดเท้า นวดหลัง แม้ภิกษุรูปนั้นก็ได้แบ่งผ้าทั้งหมดถวายภิกษุผู้ร่วมอุปัชฌาย์ของตน
 
 
บรรดาภิกษุทั้งหลายพากันเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา
 
                          ภิกษุทั้งหลายผู้ที่ได้ผ้าสาดกเหล่านั้นก็ตัดย้อมแล้วนุงผ้ากาสายะอันมีสีดุจดอกกันนิกา พากันไปเข้าเฝ้าพระศาสดาภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งที่เป็นอุปัชฌาย์ของภิกษุหนุ่ม ได้ทูลองค์พระศาสนดาของที่มาของผ้าว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเถระผู้เป็นธรรมพันนะทาคาริก อุปัชฌายของข้าพระองค์ทั้งหลายให้ผ้าสาดก 500_ผืน ราคา 1000_แก่ภิกษุรูปเดียวเท่านั้นแต่ภิกษุหนุ่มรูปนั้นได้แบ่งผ้าที่ตนได้ให้แก่พวกข้าพระองค์พระเจ้าค่ะ"
 
 
พระบรมศาสดาทรงตรัสเล่าเรื่องอดีตเกี่ยวกับผู้มีอุปการะคุณแก่ตน
 
                          "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานนท์ไม่ได้ให้ภิกษุเพราะเห็นแก่หน้า แต่ภิกษุหนุ่มรูปนั้นมีบุพการะแก่เธอมาก เพราะฉะนั้นเธอคิดเห็นด้วยอำนาจอุปการะของผู้อุปการะของตนว่า ขึ้นชื่อว่าผู้มีอุปการะเราควรทำอุปการะตอบด้วยอำนาจคุณ และด้วยอำนาจการกระทำเหมาะสม จึงได้ให้ด้วยความกตัญญูกตเวทีด้วยประการชะนี้อันที่จริงบัณฑิตแต่ก่อน ก็ยังทำอุปการะตอบ แก่ผู้มีอุปการะแก่ตนเหมือนกัน"
 
 
ราชสีห์มองหาเหยื่อจากหน้าผาก่อนทุกครั้งที่จะลงไปทุ่งหญ้าข้างล่าง
 
                         เมื่อภิกษุเหล่านั้นทูลอาราธนา พระองค์ทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่าว่า กาลครั้งหนึ่งมีราชสีห์อาศัยอยู่ถ้ำแห่งกับตัวเมียคู่ครองถึงเวลาออกหากินราชสีห์ตัวนี้มักจะยืนอยู่บนยอดเขามองลงมาดูสัตว์น้อยใหญ่ที่มาหากินอยู่ข้างสระใหญ่เสมอเพื่อเล็งหาเหยื่อที่เป็นเป้าหมาย
 
 
บริเวณสระน้ำเป็นแหล่งหากินของบรรดาสัตว์น้อยใหญ่
 
                           มองลงมาจากยอดเขานั้นจะเห็นสระใหญ่แห่งหนึ่งที่มีดินดอนเกิดจากตะกอนตมดอนหนึ่ง เมื่อดินดอนแห้งจะมีหญ้าอ่อนขึ้นเป็นที่หากินของ กระต่าย กวาง และสุนัขจิ้งจอกเสมอ และสัตว์เหล่านี้จะมักเป็นเหยื่อของราชสีห์ทุกครั้งไป "ไหนดูสิวันนี้อาหารของเราจะเป็นเนื้ออะไรนะ"
 
 
ราชสีห์มองเห็นเหยื่อเป้าหมายที่จะเป็นอาหารของตน
 
                        “โอ้โห มื้อนี้เป็นเนื้อกวางหรือเนี่ย กำลังเล็มหญ้าอย่างเอร็ดอร่อยทีเดียวเลยนะกินให้อร่อยไปเลยเดี๋ยวก็จะไม่ได้กินแล้วละ รีบลงไปดีกว่าเดี๋ยวมันจะอิ่มซะก่อน” ราชสีห์เห็นกวางก็หมายจะกินให้ได้จึงกระโดดจากเขาวิ่งตรงมาที่กวาง แต่กวางได้ยินเสียงก่อนจะวิ่งหนีไปได้อย่างหวุดหวิด
 
 
เจ้ากวางได้ยินเสียงราชสีห์มาแต่ไกล เลยวิ่งหนีได้ทัน
 
                      “นั่นเสียงวิ่งของราชสีห์นี่นาชัดเจนเลยเสียงวิ่งอย่างนี้เผ่นดีกว่าเรา” ราชสีห์วิ่งมาได้ความเร็วจึงเบรกไม่ทันจะตกไปในบ่อตมขึ้นมาไม่ได้ยืนอดอาหารอยู่อย่างนั้นถึง 7_วัน “ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยด้วย ไม่น่าวิ่งมาเร็วขนาดนี้เลยเราโอยหิวจังปานนี้น้องยาหยีของเราจะหิวแย่แล้วโธ่”
 
 
ราชสีห์วิ่งมาด้วยความเร็วเลยตกบ่อตม
 
                          ในวันที่ 7_ได้มีสุนัขตัวหนึ่งได้ออกมาหากินใกล้บ่อตมพอเห็นราชสีห์เข้าก็ตกใจวิ่งหนีแต่ราชสีห์เห็นก็รีบให้ช่วยเหลือ “นั่นราชสีห์นี่น่าหนีดีกว่าเรา” “หยุดก่อนอย่าเพิ่งไปช่วยเราด้วย” “ช่วยอะไร ถ้าเราช่วยท่านเมื่อไหร่ท่านก็คงกินเราเมื่อนั้นละสิ” “โธ่เราไม่ทำอย่างนั้นหรอกถ้าท่านช่วยเราได้ท่านก็เป็นผู้มีพระคุณกับเราแล้วเราจะกินท่านได้อย่างไรเล่า”
 
 
ราชสีห์อ้อนวอนให้สุนัขจิ้งจอกช่วยตน
 
                         สุนัขจิ้งจอกได้ฟังท่านราชสีห์พูดอย่างนั้นก็ตะกุยช่วยขุดเลนด้วยเท้าทั้งสี่ทำให้เป็นรางทำให้น้ำไหล พอน้ำไหลเข้าไปทำให้เลนอ่อนมันจึงช่วยไปดึงท้องราชสีห์ขึ้นมาได้ “โอ้ยหิวก็หิวแทบไม่มีแรงเลยนะเนี่ย”
 
 
ราชสีห์ขึ้นจากหลุมโคลนได้ก็ลงอาบน้ำชำระล้างตัว
 
                           ราชสีห์กระโดดขึ้นจากหลุมได้ก็ได้กระโดดไปอาบน้ำในสระ “ขอบใจท่านมากเราขอชำระล้างเนื้อตัวก่อนเถิดแล้วเดี๋ยวเราจะไปหาอาหารมาให้ท่านเอง” เมื่ออาบน้ำเสร็จราชสีห์ก็ขึ้นมาล่าควายป่ามาได้ตัวหนึ่งจากนั้นก็คาบเนื้อมาให้สุนัขจิ้งจอก
 
 
ราชสีห์นำเนื้อมาให้สุนัขจิ้งจอกตามสัญญา
 
     “กินเนื้อนี้สิสหายท่านคงเหนื่อยจากการช่วยเราเมื่อตะกี้กินซะสิเนื้อควายป่านี้หวานมากเลยนะ” “ท่านกินให้อิ่มก่อนเถิดหากเหลือเราค่อยทานก็ได้ขอบใจท่านมากเลยนะถ้าอย่างนั้นเราขอเนื้อก้อนนี้ละกันนะภรรยากำลังรออาหารจากพวกเราอยู่”
 
 
สุนัขจิ้งจอกขอแบ่งเนื้อไปให้ภรรยาของตน
 
                           “ที่เหลือนี้ท่านก็ทานไปเถอะถ้าอย่างนั้นท่านก็ไปพบภรรยาของท่านก่อนเถิดเราเองก็จะเอาเนื้อนี่ไปให้ภรรยาของเราเองเช่นกัน” “ได้สิภรรยาของเราคงดีใจที่ได้กินเนื้อควายป่าที่ท่านล่าให้” จากนั้นครอบครัวราชสีห์และสุนัขจิ้งจอกก็ย้ายมาอยู่ใกล้กัน
 
 
ราชสีห์และสุนัขจิ้งจอกต่างนำเนื้อไปฝากภรรยาของตน
 
                             เวลาผ่านไปนางราชสีห์และนางสุนัขจิ้งจอกได้ลูกคนละ 2_ตัวราชสีห์ตัวผู้ให้ความใส่ใจครอบครัวสุนัขจิ้งจอกมากคอยดูแลปกป้องภรรยาและลูกน้อยเป็นอย่างดี “นี่เนื้อกวางสดๆเลยนะเจ้าทานสิป่านนี้สามีเจ้ายังไม่กลับมาเลยเอาให้ลูกๆของเจ้ากินสิคงหิวกันแย่แล้วละ”
 
 
ครอบครัวของราชสีห์และสุนัขจิ้งจอกย้ายมาอยู่ใกล้ๆ กัน
 
                         “ขอบใจท่านนะท่านก็แบ่งภรรยาของท่านบ้างสิพวกเรากินไม่หมดหรอก” “ไม่เป็นไรพวกเจ้ากินกันก่อนเหลือแล้วเราค่อยเอาไปให้ภรรยาของเราก็ได้” "ทำไมนะราชสีห์สามีเราถึงได้รักนางสุนัขจิ้งจอกและลูกของมันมากเหลือเกินดูสิเมียยังไม่ได้กินอะไรแท้ๆกลับเอาเนื้อพวกนั้นไปให้สุนัขจิ้งจอกกินหมด"
 
 
ราชสีห์นำเนื้อมาให้ครอบครัวสุนัขจิ้งจอกก่อนเสมอ
 
                             “เฮ้อ..อย่างนี้แปลว่านอกใจใช่ไหม ปล่อยไว้ไม่ได้แล้วต้องกำจัด" รุ่งเช้าสุนัขจิ้งจอกตัวผู้ได้ออกไปล่าเหยื่อ ราชสีห์ตัวเมียก็คิดจะใช้โอกาสนี้ขับไล่สุนัขจิ้งจอกให้ไปอาศัยอยู่ไกลๆถ้ำของมัน
 
 
ภรรยาของราชสีห์ไม่พอใจยิ่งนักในการกระทำของสามีตน
 
                            “เฮ้อเจ้าสุนัขจิ้งจอกเจ้ารู้บ้างหรือเปล่าว่าการที่ครอบครัวของเจ้ามาอาศัยอยู่ใกล้ครอบครัวของเราเนี่ยมันทำให้ครอบครัวของเราลำบากแค่ไหนเจ้าไม่รู้หรอกเหรอ” “ฉันเนี่ยทนมานานละ ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมสามีของฉันต้องทนดูแลครอบครัวของเธออยู่ได้เป็นภาระจริงๆเลย”
 
 
นางราชสีห์ได้ขับไล่นางสุนัขจิ้งจอกและครอบครัวให้ไปอยู่ที่อื่น
 
                               “ถ้าครอบครัวของเราทำให้ท่านต้องลำบากถึงเพียงนี้เราก็จะย้ายไปอยู่ที่อื่นต้องขอโทษท่านด้วยละกันที่เรารบกวนท่านมานานพรุ่งนี้เช้าพวกเราจะออกเดินทางไปอยู่ให้ไกลพวกท่าน ท่านสบายใจเถอะนะ”
 
 
นางสุนัขจิ้งจอกได้เล่าเรื่องที่โดนนางราชสีห์ไล่ไปอยู่ที่อื่นกับสามีตน
 
                              “พี่จ๊ะเราย้ายออกไปอยู่ที่อื่นกันเถอะการที่เราอาศัยอยู่ใกล้กับครอบครัวราชสีห์นี้สร้างความลำบากแก่ครอบครัวของท่านราชสีห์มากเลยนะพี่จ๋า” “ทำไมเจ้าถึงคิดอย่างนี้เล่า ท่านราชสีห์ไม่คิดอย่างนี้หรอก เขาเต็มใจที่จะดูแลปกป้องเราเจ้าก็รู้นี่นา" "ท่านราชสีห์อาจจะเต็มใจแต่ภรรยาของเขานี่สิเขาคงไม่ยินดีเท่าไหร่นักที่เราอาศัยใกล้อยู่แบบนี้”    
 
 
ครอบครัวสุนัขจิ้งจอกได้ร่ำลาราชสีห์ว่าจะขอย้ายไปอยู่ที่อื่น
 
                               “เมื่อตอนกลางวันนางมาพูดกับน้องให้ไปอยู่ที่อื่น นางบอกว่าพวกเราทำให้ครอบครัวของเขาต้องลำบาก” “จริงรึเมื่อนางพูดเช่นนี้เราก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นกันเถอะพี่เองก็ไม่อยากสร้างความลำบากให้แก่ใครเหมือนกัน พรุ่งนี้เช้าพี่จะพาพวกเจ้าย้ายไปอยู่ที่ท้ายป่าด้านโน้นตรงนั้นก็มีความอุดมสมบรูณ์พี่คิดว่าพวกเราคงอาศัยอยู่ที่นั่นได้ไม่ลำบากหรอก”
 
 
ราชสีห์ขอร้องให้ครอบครัวสุนัขจิ้งจอกอยู่กับตนต่อไป
 
                              รุ่งเช้าสุนัขจิ้งจอกตัวผู้พาครอบครัวไปร่ำลากับราชสีห์ก่อนจะออกเดินทางย้ายไปอยู่ที่ป่า “นายข้าอยู่ที่นี่นานแล้วเราเกรงใจท่านและนางราชสีห์ยิ่งนักภรรยาของท่านได้ไล่ภรรยาของท่านแล้วเห็นทีข้าจะไปแล้วละ” “อะไรนะเมียของเราไล่เมียของท่านเหรอนางทำอย่างนี้ได้อย่างไรท่านเป็นผู้มีพระคุณของเราถ้าเราไม่ได้ท่านเราก็คงไม่มีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้ท่านและครอบครัวของท่านอยู่ที่นี่ต่อไปเถิดเราจะอธิบายภรรยาของเราเอง”
 
 
ราชสีห์ได้อธิบายเหตุผลในการที่ต้องคอยดูแลครอบครัวสุนัขจิ้งจอกให้ภรรยาได้ฟัง
 
                               “น้องเอ๋ยเจ้าลำบากใจนักหรือที่ครอบครัวสุนัขจิ้งจอกมาอาศัยอยู่ใกล้ครอบครัวของเรา” “ใช่จ๊ะก็พี่ได้แต่ดูแลนางกับลูกๆเนื้อสดๆก็ให้นางกินก่อนแล้วข้ากับลูกถึงได้กินทีหลังน้องก็น้อยใจเหมือนกันนะ” “ถ้าไม่มีครอบครัวของสุนัขจิ้งจอกพี่คงดูแลน้องกับลูกๆดีกว่านี้ น้องเอ๋ยฟังพี่ก่อนเถิดที่พี่ต้องดูแลครอบครัวของสุนัขจิ้งจอกเป็นอย่างดีก็เพราะว่าสุนัขจิ้งจอกนั้น ได้เคยช่วยชีวิตพี่ไว้หากไม่ได้ช่วยเขาไว้ในตอนนั้นวันนี้พี่ก็คงไม่ได้อยู่ดูแลเจ้าอย่างนี้
 
 
นางราชสีห์ได้ขอโทษครอบครัวสุนัขจิ้งจอกในเรื่องที่ตนเข้าใจผิด
 
                               เขาเป็นผู้ที่มีพระคุณต่อครอบครัวเรา” “อ๋อยังนี้เองหรือน้องต้องขอโทษด้วยที่ทำอะไรโง่เขลาไป” “เจ้าคิดได้อย่างนี้ก็ดีแล้วไปขอโทษครอบครัวของสุนัขจิ้งจอกกันเถิด” นางราชสีห์เมื่อรู้เรื่องทั้งหมดแล้วก็ได้ไปขอโทษสุนัขจิ้งจอก ตั้งแต่นั้นมาสัตว์ทั้งหมดก็อยู่กันอย่างกลมเกลียวและเป็นมิตรรักของกันและกันมาโดยตลอด
 
                               พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา แล้วทรงประกาศอริยสัตย์ทรงประชุมชาดก ในเมื่อจบอริยสัตย์ ภิกษุบางพวกได้เป็นโสดาบัน บางพวกได้เป็นสาทาคามี บางพวกเป็นพระอนาคามี บางพวกได้เป็นพระอรหันต์
 
สุนัขจิ้งจอก กำเนิดเป็น พระอานนท์
ราชสีห์ เสวยพระชาติเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 
 
บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

* * ชาดก 500 ชาติ แนะนำ * *

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล