ชาดก 500 ชาติ
ขัลลฏิยชาดก-ว่าด้วยความลุ่มหลง
ขัลลฏิยชาดก เป็นเรื่องของความหลงผิด คิดรวยทางลัดด้วยการประกอบมิจฉาชีพ เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ทำให้ตนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ยิ่งได้มากก็ยิ่งลุ่มหลงเผลอก่อกรรมทำบาปเพิ่มขึ้น ความสำนึกในบาปบุญเริ่มหมดสิ้นไป.......
สาวัตถีนครใหญ่เป็นศูนย์กลางการค้าและวัฒนธรรมมาช้านาน ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของพระเจ้าปเสนทิโกศลมหาราช ผู้เป็นองค์อุปถัมภ์พระพุทธศาสนาอย่างเอนกอนันต์พระองค์หนึ่ง ในฤดูพรรษาพระพุทธเจ้าจะนำหมู่สงฆ์กลับมาจากการโปรดเวไนยสัตว์เข้าจำพรรษา ยังวิหารเชตวันในเมืองนี้นานราว 4 เดือน
มหาชนใกล้ไกลพากันหลั่งไหลมาฟังพระธรรมเทศนา ที่อยู่ต่างแดนทางบกก็เดินทางด้วยเท้าบ้าง ขบวนเกวียนบ้าง ที่ห่างไกลออกไปก็ใช้เรือข้ามน้ำข้ามทะเลมา จอดรอดไว้ตามท่าจอดแล้วเดินทางเข้าเมืองมุ่งสู่พระเชตวันมหาวิหารมิได้เว้นวัน
ในครั้งนี้ก็มีนายสำเภาพ่อค้าและบริวารจำนวนหนึ่งพากันเดินทางมาจากมหาสมุทรกว้างใหญ่เพื่อเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “พวกเจ้านั่งกันให้เป็นระเบียบเรียบร้อยนะ” “ตื่นเต้นจัง ล่องเรือมานานจะได้ฟังธรรมซะที”
เมื่ออาราธนาศีลแล้วนายสำเภาก็จัดถวายทำบุญอันปราณีต พร้อมขอถวายผ้าทิพย์อันได้มาโดยพิศดาร “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในกลางสมุทรไกลโพ้นยังมีเปรตนางฟ้ารูปงามนางหนึ่งรับผลกรรมอยู่ เวมานิกเปรตนั้นขอฝากไหว้ด้วยเศียรด้วยเกล้าแทบพระบาทพระพุทธองค์ผู้ประเสริฐ กับทั้งขอถวายคู่ผ้าทิพย์เป็นเครื่องบูชา ขอพระพุทธองค์ทรงอนุโมทนาเพื่อกุศลประโยชน์แก่นางนั้นเถิด” สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระกรุณาธิคุณแก่นายสำเภาและอุบาสกบริวารตามอาราธนา
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เหตุการณ์ที่ข้าพระองค์และเหล่าลูกเรือได้ประสบเจอมาช่างน่าพิสดารยิ่งนัก” เมื่อนายสำเภาปรารถนาบอกเล่าสิ่งอัศจรรย์ องค์ศาสดาจึงได้ทรงอนุญาตให้นายสำเภาเล่าเหตุการณ์ที่พบเจออุบาสกทั้งสิ้น จึงตั้งใจเป็นกุศล สดับฟังโดยพร้อมเพรียง ย้อนเวลากลับไป 7 วันก่อนหน้านี้
นายสำเภาและบริวารอันเป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนาพากันนำสำเภาบรรทุกสินค้ามุ่งไปยังอาณาจักรสุวรรณภูมิ ในครั้งนั้นเกิดพายุคลื่นลมแรง สำเภาบรรทุกสินค้าถูกพัดพาออกสู่มหาสมุทรใหญ่ สำเภาล่องลอยไปนอกเส้นทางหลายวัน แล้วทุกคนก็ได้พบสิ่งแปลกประหลาดเข้าอย่างหนึ่ง
ภาพที่ทุกคนเห็นคือวิมานสวยงามปรากฏอยู่กลางมหาสมุทร ยิ่งนำสำเภาเข้าใกล้ ก็ยิ่งตื่นตะลึง “โอ้ นี่เราอยู่ในทะเลหรือสวรรค์กันแน่ วิมานนี้ช่างสวยงามเหลือเกิน” “ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นปราสาทที่ไหนสวยเท่านี้มาก่อนเลย สวรรค์แน่แล้วนายท่าน วิมานนั่นนะ ต้องมีนางฟ้าอาศัยอยู่แน่ๆ เลย”
“เฮ้ย..แล้วมันมาอยู่กลางมหาสมุทรกว้างใหญ่นี้ได้ยังไงนี่ อัศจรรย์แท้ๆ นายท่าน” “ข้านะ อยากเห็นนางฟ้า เราลดใบเข้าเทียบวิมานนั่นเถิด” เมื่อนำสำเภาเข้าเทียบใกล้ ก็เห็นดรุณีนางหนึ่ง นางผู้นี้มีเส้นผมดำขลับยาวสลวยสวยงาม แต่ประหลาดที่นางคอยหลบเร้น มิกล้าออกมาให้เห็นเต็มร่างได้
“พวกท่านอย่าเข้ามาใกล้เราเลย เราต้องโทษตามบุพกรรมมานานแล้ว มีเพียงเส้นผมพอปิดกายบ้าง แต่ผ้าห่มผ้านุ่งหามีไม่ ท่านอย่าเข้ามานะ” “เช่นนั้นน้องหญิงรอสักครู่เถิด นายสำเภามีผ้านุ่งห่มอยู่มาก เราจะจัดให้เพื่อน้องหญิงจะได้ออกมาจากวิมานได้” นายสำเภาเร่งรีบนำผ้านุ่งห่มส่งให้ดรุณีนางนั้น
“น้องหญิงนี่คือผ้าห่มและผ้านุ่งอย่างดีจากแคว้นกาสี เราจะนำเข้าไปวาง ณ ประตูวิมาน สักครู่น้องหญิงออกมารับไปนุ่งห่มให้มีสุขเถิด” “ขอบใจท่านมาก แต่ไม่มีประโยชน์ใดเลยท่านผู้ใจบุญ ข้านี้มีกรรมเก่าจำต้องเอาเส้นผมปิดบังร่างกายเช่นนี้ อาภรณ์เสื้อผ้าใดก็รับมาสวมใส่ไม่ได้เลย”
“แล้วพี่จะช่วยน้องนางได้อย่างไรเล่า” “ท่านต้องบริจาคผ้านั้นแด่อุบาสกในพระพุทธศาสนา แล้วอุทิศส่วนกุศลมาให้เท่านั้น ข้านี้รับไว้ได้แต่เฉพาะผลบุญที่อุทิศมา” เนื่องจากพ่อค้าสำเภาเหล่านี้ต่างเป็นพุทธบริษัท นายสำเภาจึงให้อุบาสกคนหนึ่งชำระร่างกายรับเอาผ้านุ่งผ้าห่มคู่นั้นไว้
และเมื่อกรวดน้ำอุทิศบุญกุศล พลันอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นทันตาเห็น “ดีใจจัง เรามีอาภรณ์ปิดบังร่างกายแล้ว” นางเวมานิกผู้ตกบ่วงกรรมเป็นเปรต ได้พ้นทุกข์ไม่ต้องเปลือยกายตากลม ห่มฟ้าอีกต่อไป “โอ้ นางช่างงามกว่าชาวพระนครไหนๆ มารวมกันอีกนะเนี่ย” “ช่างสวยแท้ ดุจดังเทพธิดาเลย”
เมื่อพ้นบุพกรรมได้ นางกลางสมุทรนั้นก็ตั้งจิตรำลึกพระกรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้า “ท่านผู้เจริญ ข้าขอฝากกราบไหว้พระสมณโคดมสมเด็จพระพุทธเจ้าไปด้วยคู่ผ้าทิพย์ ข้าว น้ำ และแก้วต่างๆ เป็นพุทธบูชาไป ณ เวลานี้ด้วย” ต่อมาสำเภาและอุบาสกทั้งหมดก็ลัดทะเลข้ามมายังนครสาวัตถี
อันมีพระเชตวันเป็นพุทธสถานอยู่ ด้วยแรงอธิษฐานของนางนั้น เมื่อนายสำเภาเล่าเรื่องราวอันประสบมาครบถ้วน สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสดับแล้วทรงปรารภนางเปรต ขัลลฏิยะ เป็นชาดกแสดงเหตุแห่งบุญและบาปขึ้นดังนี้ พาราณสีในพุทธันดรหนึ่ง ยังมีหญิงงามผู้หนึ่ง
ยังชีพอยู่ด้วยรูปโฉมอันงามพร้อมทั้งสรรพางค์กาย ดุจสร้างจากสรวงสวรรค์ที่นิยมยินดีโดยทั่วกัน โดยเฉพาะเส้นผมของนางนั้นยาวสลวยอ่อนนุ่มเป็นพิเศษ ผู้ใดเห็นก็มักชื่นชม ดรุณีนางนี้จึงมีชื่อเสียงโดดเด่นกว่าสตรีใดในพาราณสี นางมักได้รับการคัดเลือกเป็นเทวี มีหน้าที่สำคัญในงานฉลองต่างๆ มิได้ว่างเว้น จึงมีผู้คิดริษยาอยู่บ้างเป็นธรรมดาของโลก “ทำไม่ชั้นไม่เคยได้เป็นผู้เชิญพานดอกไม้เลย ฮึ หมั่นไส้นัก” “นั่นนะสิ สวยอยู่คนเดียวรึไง ทั้งเมืองนี้นะ”
ถึงคราวที่กรรมบันดาลมารทำลาย เธอกลับเป็นเพื่อนสาวผู้ใกล้ชิด หญิงสาวผู้นี้เก็บความริษยาไว้มิดชิดยิ่ง “ผมเธอช่างดกดำ นุ่มสลวยยิ่งนัก ถือได้ว่าเป็นของมีค่าแก่ชาวนิคมเราเลยนะ ใครได้ยินก็อยากจะมาชมโฉม เป็นหน้าเป็นตาแก่พวกเราจริ๊งๆ” “อิจฉาละสิ” “เปล่าคนอย่างชั้นนะเหรอที่
แต่แล้ววันหนึ่งเหตุร้ายก็เกิดขึ้น “นี่เธอ ชั้นได้สมุนไพรชั้นดีมา เธอเอาไปใช้สิ เอาชโลมผมไว้ให้ทั่วศีรษะนะ สมุนไพรนี้นะ จะช่วยให้เส้นผมดกดำเป็นเงางาม นุ่มสลวยยิ่งขึ้นนะ” “ดีจังเลย ขอบใจเธอมาก เธอมาใช้ด้วยกันสิ” “อุ้ย ไม่ต้องหรอก ชั้นนะไม่สวยอยู่แล้ว บำรุงยังไงก็คงสวยไม่เท่าครึ่งเธอหรอก เฮ้อ..เสียดายของเปล่าๆ เธอเอาไว้ใช้เถอะจ๊ะ ผมที่สวยอยู่แล้ว จะได้สวยมากขึ้น” (หึๆ เชิญใช้ไปคนเดียวเถอะ)
สมุนไพรที่เพื่อนสาวนำมาให้ หาใช่สมุนไพรบำรุงผมไม่ แต่กลับกลายเป็นยาทำลายเส้นผม หญิงสาวเชื่อใจเพื่อน ใช้ไปโดยไม่รู้ว่ามีภัย “หือ..สมุนไพรนี้ดีจริงๆ เลย กลิ่นห้อม หอม ทำให้ผมนุ่มสวยด้วย”
เช้าวันใหม่เมื่อหญิงงามตื่นนอน หังใจของเธอแทบสลาย เมื่อผมที่เคยนุ่มสลวยสวยงาม มาบัดนี้ได้ร่วงโกร๋นเป็นฝอยติดหนังศีรษะน่าเกลียดน่ากลัว “โอ๊ะ!!..ทำไม ทำไม ผมชั้นหายไปไหน มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย!! และความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็นำมาซึ่งชีวิตของนางงามที่ต้องเปลี่ยนไป “หือๆๆ แล้วชั้นจะกล้าสู้หน้าคนอื่นได้เช่นไร หือๆๆ” เธอตัดสินใจรวบรวมเงินทองที่มีทั้งหมดเดินทางออกจากเมืองไปยังนิคมชนบทห่างไกลออกไป
จนไม่พบใครๆ ที่รู้จัก “เฮ้อ แล้วนี่เราจะทำอะไรดี เคยแต่มีคนดูแลเอาใจ งานหนักสักนิดก็ไม่เคยได้ทำ” หญิงงามได้ปักถิ่นฐานเป็นร้านสุรา แล้วบดน้ำมันงาขายที่หมู่บ้านชายแดนแคว้นกาสี “โอ้ย เหนื่อยเหลือเกิน ทั้งเมล็ดงา ทั้งไหเหล้า หนักแขนแทบหลุดแล้ว ทนอย่างนี้ต่อไปคงไม่ไหว งานหนักแทบตายได้เงินมาแค่นิดเดียว"
"ต้องหาวิธีรวยทางลัดบ้างแล้ว จะได้อยู่อย่างสุขสบายเหมือนเมื่อก่อน” เนื่องจากผ่านภาวะรับกรรม ทนกับความลำบากมานาน ทำให้หญิงสาวหมดสิ้นความสำนึกในบาปบุญคุณโทษ หลงทำผิด ทำบาปมากมาย “ฮึๆ ขายเหล้านี่ ดีจริงๆ เมาก็หมดสติ แอบเอาสร้อยมายังไม่รู้ตัวอีก โอ้โห เส้นนี้คงขายได้หลายตังค์”
จากจุดเริ่มเล็กน้อย นานวันเข้าก็เริ่มความผิดใหญ่หลวงขึ้น วันหนึ่งนางถึงกับขโมยผ้านุ่งผ้าห่มของคนเมาไปเก็บซ่อนไว้ สร้างความอับอายเดือดร้อนแก่บุรุษยิ่งนัก “ฮึย...ทำไม่ตื่นมาแล้วเสื้อผ้าหายหมดเลยว่ะเนี่ย ต้องเอาใบไม้ปิด ทุเรศจังเลย” “รึว่าตอนเมา เราเผลอถอดว่ะเนี่ย หึย..อ๊าย อาย กลับกันดีกว่า” (หึๆ สมน้ำหน้า ชอบเมาแล้วอาละวาด ต้องแกล้งซะให้เข็ด)
ฐานะนางงามดีขึ้นในเวลาไม่นาน และในครั้งหนึ่งได้มีภิกษุต่างเมืองจาริกผ่านมา ด้วยเหตุกุศลเจตนา นางได้นิมนต์ท่านนั่งบนอาสนะ แล้วถวายแป้งผสมน้ำมันงาของตน นางทำบุญนั้นด้วยจิตเป็นสุข จึงตั้งจิตอธิษฐานโดยปรารถนาให้ผมของนางกลับมาสลวยสวยงามดังเดิม “ข้าแต่พระคุณเจ้า ขอให้เส้นผมของข้าพเจ้ายาวสลวย นุ่มนวลดกดำดังเดิมเถิด”
พระเถระภิกษุผู้ภิกขาจารทรงแสดงอนุโมทนา แล้วออกจาริกบุญยังนิคมอื่นผ่านไป ครั้นหมดอายุขัยด้วยผลกรรมที่คละกันทั้งดีและชั่ว นางจึงมีผมสวยอยู่ในวิมาน แต่ไม่มีผ้านุ่งห่มเพราะเคยลักขโมยผ้าผู้อื่น ต้องหลบซ่อนเอาเส้นผมสวยงามนั้นปิดกายอยู่ในวิมานนานถึงหนึ่งพุทธันดรดังนี้
หตฺเถน หตฺถ เต ทินฺนํ น มยฺหํ อุปกปฺปติ เอเสตฺถุปาสโก สทฺโธ
เอตํ อจฺฉาทยิตฺวาน มม ทกฺขิณมาทิสา ตถาหํ สุขิต เหสฺสํ
ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ ทานที่ให้ในมือเรา ย่อมไม่สำเร็จ ยังไม่ควรเป็นเครื่องบริโภค อุบาสกผู้มีศรัทธาในที่นี้ ควรได้นุ่งห่มผ้าที่จะให้แก่เรา แล้วให้ทักษิณาธรรมดังนี้ จึงได้รับความสุข