ชาดก 500 ชาติ
กัฏฐหาริชาดก-ชาดกว่าด้วยโทษแห่งการแบ่งชนชั้น
นับแต่โบราณนานมา ณ ถิ่นกำเนิดพระพุทธศาสนานั้นยังมีการถือชนชั้นกีดกันวรรณะกันอย่างรุนแรงแม้แต่ในหมู่พระประยูรญาติขององค์พระพุทธศาสดาเองก็ตาม อุษาสางวาระหนึ่งเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอดส่องพระญาณก็ทรงพบว่า ความทุกข์เวทจากวรรณะได้เกิดกับพระญาติแห่งศากยวงศ์ขึ้นแล้ว
พระองค์ทรงมีทิพยญาณเห็นพระราชธิดาของพระเจ้ามหานามแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ได้ถูกขับจากพระบรมมหาราชวังแคว้นโกศล อีกทั้งยังถูกถอดพระยศอัครมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล แม้พระโอรสวทูฑภก็ถูกถอดจากการเป็นรัชทายาทไม่ละเว้นทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำความผิดใดๆ
ความเป็นมาทั้งหมดเกิดจากพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเลื่อมใสในองค์พุทธศาสดาอย่างสูงสุดหวังเกี่ยวดองเป็นพระยุรยาทจึงได้ขอพระราชธิดาของพระเจ้ามหานามซึ่งร่วมราชวงศ์เดียวกับพระพุทธองค์มาอภิเษก “โอ้โฮ วันนี้มีแขกต่างวังมากันตั้งเยอะแยะแน่ะ เค้ามาทำอะไรกันนะ”
“อึม ราชวงศ์ของเราก็ราชสกุลเก่าแก่ ธิดาของเราก็น่าจะได้อภิเษกเจ้าเมืองที่คู่ควรกว่าแคว้นโกศล ครั้นจะไม่ยอมก็เกรงว่าจะมีภัยสงครามตามมาเป็นแน่ เห้อ..จะทำยังไงดีน่ะ อ้อ..นึกออกแล้วเช่นนี้ เราส่งวาสภขัตติยาไปอภิเษกกับพระเจ้าปเสนทิโกศลดีกว่า ใครจะไปรู้ว่ามารดาของนางเป็นเพียงนางทาสีวรรณะจัณฑาลต่ำต้อย เรานี่ช่างฉลาดจริงๆ”
ตั้งแต่นั้นมาพระเจ้าปเสนทิโกศล ก็ได้อภิเษกกับพระธิดาวาสภอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข โดยไม่มีใครรู้เรื่องวรรณะต่ำต้อยของพระนางเลย “น้องหญิงช่างงดงามเพียบพร้อมสมเป็นราชสกุลศากยวงศ์จริงๆ พี่ดีใจจริงๆ นะที่ได้น้องหญิงมาครองคู่” “น้องมีความสุขเพคะ..ที่ได้อยู่ใต้ร่มฉัตรแคว้นโกศล”
ล่วงมาอีก 1 ปี พระธิดาวาสภก็มีพระประสูติกาลพระโอรส พระเจ้าแคว้นโกศลดีพระทัยดุจได้แก้วจากสรวงสวรรค์ “เหอะๆๆๆ ลูกพ่อนี่แหละคือโซ่ทองระหว่างแคว้นโกศลกับศากยวงศ์ของพระพุทธองค์” ข่าวนี้สะพัดไปทั่วชมพูทวีป ท้าวพระยาต่างแดนก็พากันมาชื่นชมพระบารมียังสาวัตถีเมืองหลวงแห่งแคว้นโกศลมิได้ขาด
“ลูก..ให้เสด็จพ่ออุ้มนานๆ เสด็จพ่อจะเหนื่อยนะจ๊ะ” แต่แล้วความลับเรื่องชาติตระกูลทางมารดาของพระมเหสีวาสภขัตติยาก็ถูกเปิดเผยขึ้นในวันหนึ่ง “ฮึ...ใยสวรรค์แกล้งข้าให้ต้องร่วมชีวิตกับจัณฑาลต่ำต้อยเช่นนี้ ไม่น่าเลย ทำไมน้องหญิงต้องปิดปังเราด้วย แล้วนี่เราจะสู่หน้ากับราษฏรของเราได้เช่นไร”
ถึงจะอาลัยรักสักปานใดพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ต้องตัดพระทัยขับไสไปตามราชประเพณี ราชธิดาผู้พลัดบ้านเมืองก็ต้องอุ้มโอรสชันษาเพียงขวบปีมาเลี้ยงดูยังตำหนักเล็กๆ ท้ายพระราชวัง “ฮือๆๆ ทรงประทับอยู่ตำหนักนี้เถอะ หม่อมฉันจะช่วยดูแลพระโอรสเองเพคะ โธ่...น่าสงสารโอรสน้อยทำไมต้องมาลำบากอย่างนี้ด้วย” “ฮือๆๆ ขอบใจเจ้ามาก ขอบใจที่ไม่ทิ้งเราไปอีกคน ฮือๆๆ” เหตุอันเป็นทุกข์นี้เกิดจากการถือตนแบ่งชั้นโดยแท้
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้แจ้งในพระญาณโดยตลอด พระองค์มีพระทัยเปี่ยมล้นด้วยเมตตา ทรงปรารถนาอนุเคราะห์พระนางกับโอรส ผู้ปราศจากความผิดและปรารถนาจะขจัดความหลงตน ถือชั้นวรรณะในแผ่นดินให้หมดสิ้นไป
รุ่งอรุณวันหนึ่งพระองค์นำพระภิกษุสงฆ์ออกจากพระเชตวันมหาวิหารสู่พระบรมมหาราชวังนครสาวัตถี “พระบรมศาสดาจะเสด็จพระมหาราชวังทำไมนี่” “ไปโปรดพระเจ้าปเสนทิโกศลสิท่าน เรารีบตามเสด็จเถอะ” องค์ศาสดาทรงเสด็จไปประทับบนพระพุทธอาสน์ในท้องพระโรง
เมื่อฉันภัตตาหารเสร็จสิ้นก็ทรงตรัสถามหาพระมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล “มหาบพิทบัดนี้มเหสีของท่านบัดนี้อยู่ที่ไหน” “เอ่อๆ ๆ อยู่ที่ตำหนักเล็กท้ายวังโน่นพระเจ้าคะ” เมื่อพระเจ้าโกศลเล่าความจริงถวาย พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสถามด้วยเมตตา “ดูก่อนมหาบพิทพระนางวาสภนี้เป็นธิดาพระราชาแห่งศากย นางมายังเมืองนี้ด้วยใครขอให้มา” “ข้าพระพุทธเจ้าไปสู่ขอนางมาเป็นมเหสีเองพระเจ้าข้า” “ดูก่อนเถอะ มหาบพิท นางเป็นธิดาพระราชามาสู่พระราชา ได้โอรสก็โดยอาศัยพระราชา ไฉนพระโอรสนั้นจึงไม่มีสิทธิ์ในบัลลังค์ของพระชนกเล่า” “เอ่อ..อือ..เอ่อ....”
“มหาบพิทเมื่อครั้งอดีต ก็เคยมีพระราชาเคยมีพระโอรสกับหญิงเก็บฟืนมาแล้ว เมื่ออยู่กันเพียงไม่นานพระองค์ยังทรงยอมมอบราชสมบัติแด่รัชทายาทนั้นได้” “โธ่น่าสงสารมเหสียิ่งนัก ฮือๆๆ” “เมื่อไหร่เจ้าจะเลิกร้องไห้เนี่ย มเหสีนะไปอยู่ตำหนักเล็กเป็นเดือนแล้วนะ นี่ยังร้องอยู่อีก” พระเจ้าปเสนทิโกศลแม้จะเคารพเชื่อฟังพระบรมศาสดา แต่ก็ยังไม่สบายพระทัยนักกับการยอมรับ จึงกราบอาราธนาให้ทรงเล่าเรื่องในอดีตชาติครั้งนั้น
พระบรมศาสดาจึงทรงตรัสกัฏฐหาริชาดกขึ้นแสดงโปรดไว้ดังนี้ ครั้งเมื่อพระเจ้าพรหมทัตยังเป็นกษัตริย์หนุ่มได้เสด็จประพาสป่าเพื่อการบันเทิงพระหฤทัยเป็นเนืองนิตย์ กระทั่งครั้งหนึ่งที่เสด็จประพาสอุทยานใกล้กำแพงเมือง “พวกเราอย่าประมาท ต้องอารักขาไว้ให้ดีน่ะ” “ฮึย..เจ้าแมลงวันบังอาจมาบินใกล้องค์เหนือหัวของเรา นี่จิ้มซะเลย ฮิๆๆๆ” “พวกเจ้าเสียงเบาๆ หน่อยเถอะ หนวกหูจริงๆ” ธรรมชาติรื่นรมย์ครานั้นครอบงำจิตใจกษัตริย์หนุ่มให้ตกอยู่ในอารมณ์รักไว้อย่างละมุนละไม "ลันลาลันล้าๆ"
“เอะ!..เสียงผู้ใดไพเราะน่าฟังยิ่งนัก” พระเจ้าพรหมทัตรับสั่งให้ผู้ติดตามเดินทางล่วงหน้าไปก่อนด้วยปรารถนาจะพบเจ้าของเสียง ที่สดใสดุจนกน้อยนั้น ลันลาลันล้า ลันลาลันลา “เธอเป็นใครกันนะ ทำไมถึงขับร้องได้จับใจเช่นนี้ โอ้..นางไม้หรืออัปสรสวรรค์แปลงกายมาครองหัวใจเราแน่ๆ” พระเจ้าพรหมทัตทอดพระเนตรนางงามร่ายรำขับร้องอย่างร่าเริงอยู่ครู่หนึ่งจึงแสดงองค์ออกไป “น้องหญิง” “อุ๊ย..ใครน่ะ เข้ามาตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย”
“ขออภัยน้องหญิง ที่ข้าทำให้เจ้าตกใจ ข้าได้ยินเสียงน้องหญิงร้องเพลงช่างไพเราะน่าฟังยิ่งนัก จึงเดินตามเสียงมา” เมื่อนางงามนั้นคลายความตกใจ พระเจ้าพรหมทัตก็ปลอบโยนด้วยมธุรสวาจา ทรงเผยความในใจข้อที่โดนกามเทพยิงศรรักปักทรวงตั้งแต่แรกเห็น “แหม่ ท่านช่างปากหวานจริงๆ"
จุดเริ่มต้นดังกล่าวนั้นนำความผูกพันรักใคร่ จนล่วงล้ำเกินเลยตามธรรมชาติฉันชายหญิง เวลาล่วงมาเกือบร้อยราตรีหญิงชาวป่าสัมผัสว่าเริ่มตั้งครรภ์ และมีนิมิตเห็นแสงในครรภ์สว่างพร่างพราย “ท่านพี่ น้องตั้งครรภ์เพคะ และน้องมีนิมิตแปลกๆ เห็นแสงในครรภ์ส่องสว่างออกมา นิมิตอย่างนี้แปลว่าอย่างไรก็ไม่รู้นะเพคะ”
“โอ้..น้องหญิงนิมิตของเจ้า เป็นนิมิตดีนะจ๊ะ” องค์พรหมทัตโสมนัสยินดีนัก ทรงถอดพระธรรมรงค์โกเมนประทานให้วงหนึ่ง “น้องหญิงเอย ถ้าทารกเป็นหญิงเธอจงนำแหวนนี้ขายไว้เลี้ยงชีวิตเถิด แต่หากทารกเป็นชาย เจ้าจงนำเขาเข้าไปหาพี่ในพระนคร” แล้วพระเจ้าพรหมทัตก็เสด็จจากไป “ดูแลรักษาตัวให้ดีนะน้องหญิงพี่ต้องกลับไปทำภาระกิจซะที”
สาวชาวป่าเฝ้าถนอมครรภ์จนครบกำหนดเวลา ก็คลอดเป็นกุมารน้อยงดงามน่ารัก นางเลี้ยงดูต่อมาจนวัยดรุณนั้นย่างเข้า 5 ขวบปี “แม่จ๋า..พ่อหนูละ พ่ออยู่ไหนทำไมพ่อไม่อยู่กับเราละจ๊ะแม่” “ไว้ถึงเวลาแล้วแม่จะเล่าเรื่องพ่อของลูกให้ฟังนะจ๊ะ” “จ๊ะๆ แม่จ๋า” วันหนึ่งซึ่งความสงสารบุตรมากล้นจนเก็บเป็นความลับไว้ไม่ไหว
“แม่จ๋า แม่ พ่อหนูละจ๊ะ พ่ออยู่ไหน ทำไมแม่ไม่เล่าเรื่องพ่อให้หนูฟัง คนในหมู่บ้านเค้าเรียกหนูว่าลูกไม่มีพ่อ ไม่จริงใช่ไหม๊จ๊ะแม่ หนูมีพ่อใช่ไหม แล้วพ่อหนูอยู่ไหนละจ๊ะแม่ ฮือๆ” “โธ่...ลูกรักของแม่ช่างน่าสงสารจริงๆ” นางให้กุมารนั่งลงประนมกรแสดงความเคารพดุจนั่งอยู่เบื้องพระภักตร์ของบิดาก่อนเผยพระนาม “พ่อของลูกก็คือพระเจ้าพรหมทัต เป็นพระราชาของเราชาวพาราณสีทั้งมวล” “เหรอจ๊ะแม่ ลูกอยากกราบพระบาทพ่อสักครั้ง” “ก็ได้จ๊ะ พรุ่งนี้แม่จะพาเจ้าไป”
รุ่งอรุณวันต่อมาสองแม่ลูกก็เดินทางมาถึงยังกำแพงมหาราชวัง “แม่จ๋าเดินเร็วๆ ซิจ๊ะแม่ ลูกอยากพบเสด็จพ่อ” “จ๊ะๆๆ โอ้ย..ทำไมช่างกล้าอย่างนี้น่ะ ช้าๆ จ๊ะลูก ทหารเค้าจ้องเราใหญ่แล้ว” ลักษณะพระโพธิสัตว์องอาจผึ่งผายทำให้ทหารรักษาประตูวังมีจิตเมตตา ครั้นรู้เรื่องราวประกอบกับเห็นพระธรรมรงค์โกเมนก็เข้าช่วยเหลือให้เข้าเฝ้ายังตำหนักหลวงได้ง่ายดาย “หึๆๆ...น่ารักน่าชังจริงๆ”
เมื่อสองแม่ลูกเข้ามาถึงพระราชวังก็ได้พบกับพระเจ้าพรหมทัต แต่เรื่องก็ไม่ง่ายอย่างที่พวกเขาคิด “โอ้ย..ตายๆๆ..แย่แล้วเรา โธ่ๆๆ..นึกไม่ถึงเลยว่าจะจู่โจมเร็วแบบนี้”
พระเจ้าพรหมทัตตกพระทัยและไม่กล้ารับว่าเคยมีสัมพันธ์กับหญิงชาวบ้าน “นี่ยังไงละเพคะ..พระธรรมรงค์โกเมน ที่เสด็จพี่เคยประทานให้น้องไว้” “มันยืนยันอะไรไม่ได้หรอก แหวนนั้นนะ ข้าทำหายไปตอนเที่ยวป่าตั้งนานแล้ว เจ้าคงเก็บได้นะซิ” “เสด็จพ่อใจร้ายจัง ทำไมพูดกับแม่อย่างนี้”
“เมื่อพระองค์ไม่ทรงเชื่อ หม่อนฉันก็มีแต่สัจจะและบุญกุศลที่หม่อมฉันทำมา หากกุมารนี้เป็นโอรสพระองค์ เมื่อถูกโยนขึ้นเบื้องสูง ก็ขอให้ร่างลอยอยู่อย่างไม่ตกลงมา แต่หากไม่ใช่ก็จงตกลงมาตายซะ” “ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยแม่ของหนูด้วยนะจ๊ะ แม่โยนลูกขึ้นเถอะจ๊ะ หนูเชื่อแม่”
หญิงชาวป่าเหวี่ยงร่างกุมารขึ้นบนอากาศสุดแรง “ฮ้า” กุมารนั้นลอยตัวนิ่งอยู่ได้เป็นอัศจรรย์ ด้วยแรงอธิษฐาน เธอประนมกรถวายบังคมพระราชบิดา “ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งหมู่ชนโปรดชุบเลี้ยงข้าพระบาทผู้เป็นโอรสไว้เฉกเช่นเลี้ยงดูคนเหล่านั้นเถิด” ด้วยเดชะพระบารมีแห่งพระโพธิสัตว์เจ้า พระเจ้าพรหมทัตก็ทรงตรัสเรียกกุมารลงมาซบพระอุระ ณ บัดนั้น “ลูกเอ้ย..พ่อจะเลี้ยงเจ้าเอง” หลังจากนั้นพระเจ้าพรหมทัตก็ประกาศให้จัดงานเฉลิมฉลอง ประกาศนามพระราชโอรสว่า กัฏฐวหนะ และพระราชทานให้เป็นมหาอุปราช
“ดีใจจัง แม่จ๋า” “ลูกน่ะมีพ่อแล้ว เสด็จพ่อยอมรับในตัวลูกแล้ว” หญิงชาวป่ากับโอรสน้อยใช้ชีวิตอยู่ในวังอย่างมีความสุขจวบจนกระทั่งพระราชบิดาเสด็จสวรรคต กุมารน้อยราชโอรสก็ครองราชย์สมบัติสืบมาทรงพระนามว่า พระเจ้ากัฏฐวาหน ครองทศพิธราธรรมจนครบอายุขัย
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสชาดกจบลง พระเจ้าปเสนทิโกศลก็สบายพระทัยคืนตำแหน่งให้พระธิดาแห่งศากยวงศ์และพระราชโอรสดังเดิม
ในสมัยพุทธกาล สาวชาวป่ากำเนิดเป็น พระนางสิริมหามายา
พระกุมารน้อย เสวยพระชาติเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า