ชาดก 500 ชาติ
ปัณฑรกชาดก-ชาดกว่าด้วยโทษการเปิดเผยความลับแก่ผู้อื่น
ปลายพุทธกาลวาระหนึ่ง เมื่อภิกษุในธรรมสภาปรารภถึงพระเทวทัตเถระซึ่งถูกทรณีสูบลงไปยังยมโลกเหตุเพราะก่อพุทธประหาร เทวทัตซึ่งนับเป็นพระญาติอันมากด้วยริษยาต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้นี้ทรยศหักหลังมิตร โดยนำเอาภิกษุบวชใหม่ในสำนักพระสารีบุตรไปเข้านิกายตน นับเป็นการแบ่งแยกหมู่สงฆ์ซึ่งเป็นอุกฤษโทษ เทวทัตผู้ล่วงเกินต่อมหาบุรุษแห่งพุทธะ ซึ่งเป็นหนึ่งไม่มีผู้เสมอเหมือน เคยรุ่งเรืองอยู่ในพระราชูปถัมภ์ของอชาตศัตรูที่มคธรัฐ
“สักวันเถอะ เราจะต้องยิ่งใหญ่แทนพระพุทธเจ้าให้ได้ ทุกคนจะต้องนับถือเราไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าองค์พระศาสดา”
เถระผู้นี้กระทำเหตุชั่วช้าเพราะมีกิเลสกำกับกายใจ ข้อธรรมใดๆ ที่สั่งสอนศิษย์ตนในคยาสีสะวิหารจึงล้วนทำลายศีลและข้อวินัยอันดีของพระพุทธศาสดาอยู่มิได้ขาด “ภิกษุทั้งหลายจงฟังเรา อันชื่อเสียงเกียรติยศเป็นสิ่งที่เราพึงมี ยิ่งมีคนนับถือเรามากเท่าไหร่ เราก็จะมีความสุขในธรรมมากเท่านั้น”
การทุศีลกล่าวคำสอนถ้อยผิดของพระเทวทัตครั้งนั้น พระผู้พิชิตมารทรงตรัสปัณทรกชาดก อธิบายแก่เหล่าภิกษุในธรรมสภาพระเชตะวันวาระนั้นว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเทวทัตใช่จะทรยศต่อมิตรในชาตินี้เท่านั้น อดีตในชาติภพเก่าก็เคยกระทำจนศีรษะแยกเป็น 7 เสี่ยงมาแล้ว” แล้วพระองค์ก็ทรงตรัสปัณทรกชาดกขึ้น
กาลนั้นยังมีชาวสำเภาผู้หนึ่งรอดตายจากพายุมาได้เพียงลำพัง ต้องเกาะแผ่นไม้ลอยเข้าฝั่ง จนกระทั่งพบแผ่นดินใหม่ ที่ท่าน้ำเมืองกทัมพียะในวันหนึ่ง “โอ๊ย รอดตายแล้วเรา ฮะ ฮ้า ฮะ ฮ้า ดีใจจังเลย ในที่สุดก็เจอฝั่งจนได้ ฮ้า ฮะฮ้า”
ชาวเรือผู้นี้ขึ้นฝั่งมาในสภาพเปลือยล่อนจ้อน ไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์แม้สักผืนเดียว “โอ๊ย...หนาว หนาวเหลือเกิน หาต้นไม้โคนไม้หลบก่อนดีกว่าเรา เกิดใครมาเห็นเข้าข้าคงแย่แน่ๆ เลย”
ชีเปลือยขึ้นบกมาได้ 2 วัน ก็ยังหาเสื้อผ้าใส่ไม่ได้ ต้องนุ่งลมห่มฟ้า เที่ยวหาผลไม้และไข่นกกินไปตามยถากรรม “ทำไมไม่มีใครทิ้งเสื้อผ้าเก่าๆ ไว้ม้านั่งบ้างนะ เฮ่อ..ไม่กล้าไปไหนเลยเรา จะหาอะไรมาปิดก็ไม่มี โอ๊ย..อุตส่าห์รอดชีวิตมาได้ ต้องมาตายเพราะกลายเป็นชีเปลือยนั่งล่อนจ้อนเสียแล้วเรา...โอ๊ย”
และแล้ววันหนึ่งก็มีคนมาพบชีเปลือยคนนี้เข้า เรื่องราวไม่ได้เลวร้ายดังที่ชาวเรือผู้นี้คิด คนที่พบเห็นต่างคิดว่าเขาเป็นผู้ทรงศีล โอ้ว...นั่นผู้ทรงศีล ผู้ตัดกิเลสไม่ยึดติดแม้อาภรณ์เสื้อผ้าก็ไม่ปรารถนา น่าเลื่อมใสจริงๆ” “เร็วเข้าเถอะรีบนำอาหารถวายแก่ผูทรงศีลกันเถอะ”
จากจุดเริ่มต้นก็นำมาสู่การขยายความเชื่อถือศรัทธา การไม่มีเสื้อผ้าห่อหุ้มตัวได้กลายเป็นผู้สละกิเลส กลายเป็นเหตุแห่งปัจจัยบูชามากมาย “เฮอะๆๆ โชคดีจังเลยเรา อยู่ๆ ก็มีลาภปาก ไม่เอาละเว้ยเสื้อผ้า แต่แหม...นั่งอย่างนี้นานๆ ก็เมื่อยเหมือนกันนะเนี่ย จะลุกไปไหนมาไหนไม่ได้เดี๋ยวไม่งาม” ยามที่ผู้คนชาวเมืองมากราบไหว้ นักบวชกำมะลอก็แสร้งทำสมถะ ไม่ยินดี แต่เมื่อลับหลังก็จะกลับกลายเป็นคนละคน
“โอ๊ย..ไปกันซะที ทนหิวตั้งนาน ฮ่ำๆๆ ขาไก่ทอดนี่อร่อยจริงๆ แต่น่าจะมีน้ำจิ้มรสเด็ดๆ แซ่บๆ ติดมาด้วยก็ดีนะ....เสียดาย”
ไม่ช้ากิตติศัพท์ของสมณะเปลือยก็เป็นที่รู้และศรัทธากันอย่างกว้างขวาง ผู้คนพากันมากราบไหว้ขอพรไม่ขาดสาย ชาวเมืองพากันเรียกสมณะเปลือยนี้ว่า กธัมพิละอเจโร บ้างก็เรียกว่า กัมพิลอเจลกะ
“เอาละๆ ไม่ต้องแย่งกันหรอก ใครมาก่อนก็ต้องขอพรก่อน สองคนที่มาใหม่นั่นก็นั่งรอสักครู่เถอะพ่อเอ้ย...” “หึ...คิดจะมาแซงคิวเหรอ ชิชะ เจ้านี่”
ในจำนวนนั้นก็ยังมีนาคราชตนหนึ่งซึ่งใฝ่ธรรมะและปรารถนาการหลุดพ้นในสังสารวัฏ ได้ปรากฏกายขึ้นใกล้ๆ โคนไม้ใหญ่ที่สมณะอาศัย เพื่อมากราบไหว้สนทนาธรรม “วันนี้เข้าไปสนทนาธรรมกับผู้ทรงศีลต่อดีกว่า เมื่อวานคุยยังไม่จบเลย ธรรมะข้อนี้ชั่งเข้าใจอยาก ต้องไปปรึกษาแก่ผู้ทรงศีลยาวหน่อย”
พญานาคตนนี้คือ ปัณทรนาคราช อาศัยอยู่กับบริวารนาคอีกมากมายในมหาสมุทรไกลออกไป
นักบวชปลอมเคยเดินทางค้าขายพบปะผู้คนมากมาย มีประสบการณ์เจรจามากมาย จนสามารถพูดให้น่านับถือได้
พญานาคจึงแวะเวียนมาหาบ่อยครั้ง “เชื่อเถอะสิ่งใดออกจากปากเรา สิ่งนั้นย่อมมาจากการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบทั้งสิ้น” “สาธุ เราจะเชื่อฟังคำพูดของท่าน”
วันหนึ่งขณะที่พญานาคราชลากลับสู่ท้องทะเลของตน ได้สวนทางกับบุรุษร่างใหญ่ซึ่งแวะเข้ามาหาสมณะเปลือยเช่นกัน แค่เห็นหลังยังทำให้พญานาคปัณทรกะนาคราชสะท้านเยือกทั้งกาย เพราะนี่คือพญาครุฑผู้ครองผืนฟ้าและเป็นศัตรูร้ายของเหล่านาคนั่นเอง “เฮอะ คนผู้นี่เป็นใครกันนะ ทำไมเวลาเดินสวนกันแล้วเรารู้สึกสั่นสะท้านยังไงชอบกล” “เอ๊ะ..เมื่อกี้เป็นใครกันนะ ทำไมเรารู้สึกแปลกๆ เมื่อเดินผ่าน”
สุบรรณราชหรือพญาครุฑตนนี้ได้รับการต้อนรับจากนักบวชปลอมอย่างดีเป็นพิเศษ จนพญาครุฑกล้าสอบถามความลับข้อสำคัญของเหล่านาคได้ “จริงหรือที่ท่านผู้ทรงศีลรู้จักสนิทสนมกับเหล่านาคเป็นอย่างดี ถ้าอย่างนั้นนะ ท่านช่วยเราหน่อยเถอะ พวกครุฑอย่างเรานะ เมื่อจับนาคมักจะตกทะเลจมน้ำตายบ่อยครั้ง เราจึงอยากรู้ว่าทำอย่างไรจึงสามารถจับพญานาคได้อย่างปลอดภัย” “ได้ซิ เดี๋ยวเราจะถามความลับนี้จากพญานาคให้” “แล้วพญานาคจะบอกความลับนี้แก่ท่านรึ” “โอ๊ย..เรานี้ก็เป็นเหมือนครูบาอาจารย์เค้า ไม่เร็วไม่ช้าก็ต้องรู้ความลับนั้นแน่ๆ” “ถ้าอย่างนั้นก็ดีนะซี ต่อจากนี้ไปพวกเราครุฑก็สามารถจับพญานาคกินได้ตามสะดวก ไม่ต้องจมทะเลตายไปมากมายอีกต่อไปแล้ว” “วางใจเถอะพญานาคเค้าไว้วางใจเรา ท่านรอฟังข่างดีเถิด”
เมื่อสมณะเปลือยรับปากน่าเชื่อถือเช่นนั้น ประมุขแห่งเทือกสุบรรณก็ทะยานคืนร่างกลับไปสู่วิมานฉิมพลีเหนือสุเมรุมาสอย่างเปรมปรีและหายไปหลายวันเพื่อเปิดโอกาสให้พญานาคมาสนทนาธรรมได้ตามสะดวก “วันนี้มีความสุขจริงๆ เลย ต่อจากนี้ไปนะ ครุฑก็สามารถจับนาคกินได้อย่างปลอดภัย”
ทุกครั้งเมื่อพญานาคขึ้นจากน้ำมาหานักบวชชีเปลือย ก็มักพูดหว่านล้อมถามความลับของเหล่านาค แต่ปัณทรกะ ก็ยังไม่ยอมบอก “ว่าอย่างไรละท่านพญานาค ท่านมีวิธีอย่างไรถึงทำให้เหล่าครุฑจมทะเลได้ เราอยากจะศึกษาไว้เผื่อเอาไว้พิจารณาเรื่องธรรม” “ข้าแต่สมณะ เรื่องนี้เราคงบอกท่านไม่ได้ เนื่องจากเป็นความลับของเหล่านาค ขอท่านอย่าได้ถามเราเลย” “เราเข้าใจว่าเป็นความลับของเหล่านาค แต่เรื่องนี้เราสัญญาว่าจะไม่ไปบอกกับใคร ท่านได้โปรดบอกเราด้วยเถิด” “เมื่อท่านสัญญาอย่างนี้ เราจะบอกให้ก็ได้ แต่ท่านต้องรักษาสัญญานะ อย่าบอกใคร ความลับเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก หากเปิดเผยออกไปย่อมเท่ากับฆ่าตัวเองและเหล่าญาติทั้งหมดเลยทีเดียว”เพราะพญานาคเห็นแก่ผู้ทรงศีลความลับที่ครุฑอยากรู้ก็เลยเปิดเผยออกมา
“ความลับนั้นก็คือ ก่อนที่พวกเราจะโผล่ขึ้นผิวน้ำนั้นได้กลืนเอาก้อนหินลงไปเพื่อถ่วงน้ำไว้ เมื่อพบเหล่าครุฑพวกเราจะถูกขบกัดแต่ทุกครั้งก็จะถูกครุฑจับได้ และครุฑก็จะจับส่วนศีรษะลากไปตามวิสัยนก แต่พวกครุฑก็ไม่อาจดึงเอานาคพ้นจากน้ำทะเลได้ เพราะหินในท้องถ่วงน้ำหนักไว้”
“หึ..เก่งนักก็อุ้มขึ้นไปซิ ฮ้า..ฮ่าๆ” “โอ๊ย...หนักจังเลยโว๊ย” “อ้อ..อย่างนี้นี่เอง เมื่อบินไม่ไหวครุฑถึงได้จมน้ำตายกันบ่อยๆ เป็นอย่างที่พญาครุฑพูดไว้แท้ๆ” “ห๊า..ท่านว่าใครพูดไว้นะ” “อะ..เปล่าๆๆ เราเดาเหตุการณ์เอานะ เออ..พญานาคอย่าห่วงเลยนะความลับของมิตรสหายย่อมต้องเป็นความลับสุดยอด เรารู้อยู่ผู้เดียวแน่นอน”
เมื่อพญาครุฑหวนกลับมาอีกครั้งความลับของเหล่านาคก็ไม่ลับอีกต่อไป “โอ้..เรื่องง่ายดายเช่นนี้เองรึ ถ้าอย่างงั้นนะ เราก็แค่จับนาคส่วนหางขึ้นไปก้อนหินเหล่านั้นก็จะไหลออกมาทางปากจนตัวเบา แล้วครุฑก็จะได้กินนาคสมใจอยาก หึๆๆ” มหาสุบรรณขอบคุณสมณะปลอมนั้น
แล้วเหิรเวหาด้วยฤทธิ์พญานก จากนั้นก็ออกค้นหาตัวพญานาคปัณทรกะทั่วมหาสมุทร “นั่นไง พบจนได้พญานาคผู้กลืนกินก้อนหิน ดูซิว่าครั้งนี้จะใช้แผนกลืนก้อนหินหลอกเราได้อีกหรือเปล่า ฮ่ะๆๆ”
ครุฑโฉบเพียงครั้งเดียวก็จิกเอาลำตัวพญานาคไว้ในกรงเล็บได้ ครั้งนี้ครุฑจับนาคที่หางแล้วเขย่าจนหินไหลร่วงจากปากจนหมด “โอ้..พญาครุฑทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร คงเป็นเพราะเราบอกความลับนี้แก่ผู้ทรงศีลแน่แท้ ไม่น่าเลย ภัยเกิดเพราะเราแท้หนอ หลงผิดไว้ใจนักบวชทุศีล คบคนชั่วเป็นสหาย” “อ่ะ..นักบวชนั่นนะ หลอกเอาความลับจากท่านรึ”
พญาครุฑได้ยินคำประณามก็ร่อนลงยังพื้นแผ่นดิน ปล่อยนาคราชเป็นอิสระ เพราะคุณธรรมและบารมีจากอดีตชาติ ทำให้คิดได้ถึงภัยจากการทรยศต่อมิตรว่าอันตรายกว่าภัยของศัตรู “เราไม่ถามเรื่องนี้กับนักบวชเลย ถ้าเราทำร้ายท่าน ก็ถือว่าเราไร้คุณธรรม เราทำไม่ได้หรอก”
“ข้าแต่พญาสุบรรณ เราหลงผิดบอกความลับต่อผู้ทุศีลประทุษร้าย แต่ท่านเป็นอริกลับมีเมตตา ต่อแต่นี้ไปจงคิดต่อเราเสมอบุตรเถิด” ปัณทรกะนาคราชคืนร่างเป็นมนุษย์เข้าอัญชลีต่อพญาครุฑแล้วปวารนาไม่ทรยศและไม่กระทำเนรคุณเป็นอันมั่นคง “จากนี้ไปเหล่านาคจะไม่คิดร้าย ประทุษร้ายต่อเหล่าครุฑ เราขอสัญญา” “เอาเถอะเมื่อเป็นเช่นนี้ เหล่าครุฑก็จะไม่ทำร้ายนาคเช่นกัน แต่สำหรับผู้ไม่ซื่อต่อมิตร โดยเฉพาะมิตรผู้มีคุณ ย่อมประสบความเสื่อม พบแต่ความฉิบหาย มิอาจเป็นสุขได้ ท่านกับเรากลับไปหาสมณะกัมพิลอเจลกะผู้ตระบัติสัตย์นั่นกันเถอ”
อรุณรุ่งอีกวันสมณะผู้หักหลังมิตรก็ตกใจแทบสิ้นสติที่เห็นพญาครุฑเจ้าเวหาเคียงคู่มากับพญานาคเจ้าสมุทร “อ่ะๆๆ..อ้าว รู้จักกันเหรอเนี่ย ตายๆๆ ตายแน่เรา คราวนี้ซวยแน่ๆ เลย ไม่น่าเลย”
“ว่าไงผู้ทรยศเอ๋ย ในเมื่อท่านผิดคำสัญญา ก็ขอให้สมองอันฉ้อฉลของท่านจงแยกออกเป็น 7 ส่วนเถิด”
สิ้นคำสาปของนาคราช ชีเปลือยก็ดิ้นพล่าน โลหิตไหลออกทั้ง 9 ทวาร ดวงปราณดับ ดวงจิตดิ่งลงอเวจีมหานรกให้กรรมต่อไป “โอ๊ยปวดๆๆ ปวดเหลือเกิน โอ๊ยๆๆๆ...อ๊ากๆๆ..”
ในพุทธกาลสมัยนั้น สมณะเปลือยกำเนิดเป็น พระเทวทัต
ปัณฑรนาคราช กำเนิดเป็น พระสารีบุตร
พญาครุฑ เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า