ชาดก 500 ชาติ
กัณฑินาชาดก ว่าด้วยโทษของการตกอยู่ในอำนาจสตรี
ครั้นเมื่อพระพุทธศาสดาทรงตรัสรู้พบอริยะ และประกาศพระศาสนาขึ้นในแคว้นมคธดิแดนอารยันนั้น กิตติศัพท์แห่งความจริงอันเป็นหลักธรรมของพระองค์ ก็แผ่คลุมทั่วภารตะประเทศ มีผู้คนไกลใกล้ทยอยกันมาสู่มคธรัตนเพื่อขอบวชในพระพุทธศาสนามากมาย
กุลบุตรเหล่านี้ส่วนใหญ่เลื่อมใสเพราะได้ฟังสัจธรรมจากพระพุทธองค์ยิ่งนานวัน จำนวนสงฆ์สาวกก็ยิ่งทวีจำนวนขึ้น จากกลุ่มคหบดีและนายวาณิชในพระนคร รังสีแห่งพุทธธรรมก็ฉาบฉายไกลออกทั่วนิคมชนบททั้งของแคว้นมคธ กาสี และโกศล
กุลบุตรตระกูลพราหมณ์ผู้หนึ่ง มีโอกาสได้ฟังธรรมในพระเวฬุวันต์อันเป็นอารามแรกในพระพุทธศาสนาก็ศรัทธาจนแก่กล้าประพฤติตนอยู่ในหลักคำสอนตั้งแต่นั้น “อึม..รักษาศีลภาวนาปฏิบัติธรรม ที่ผ่านมาเรามีแต่กิเลสตัณหา บัดนี้ถึงเวลาที่จะชำระล้างจิตใจเสียที”
ชายหนุ่ม ลด ละ เลิก ความประพฤติตามวิสัยของฆราวาสผู้ครองเรือนไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นผู้ถือศีลแบบสมณะอยู่ในบ้านในที่สุด สิ่งนี้ได้สร้างความกังวลแก่ภรรยาเป็นอย่างมาก “ท่านพี่นะท่านพี่ทำไมถึงได้เมินเฉยต่อน้องนัก น้องทำอะไรผิดไปเหรอ”
ภรรยาสาวพราหมณ์หนุ่มเริ่มหาคำตอบในการเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างกระวนกระวาย แต่เนื่องจากไม่เคยรู้รสพระธรรมเช่นสามี จึงไม่อาจรู้ถึงความสำคัญสิ่งนั้นได้ “เราก็ยังสวยงามไม่มีที่ตินี่น่าการบ้านการเรือนก็มิได้น้อยหน้าภรรยาผู้ใด แล้วทำไมท่านพี่ต้องห่างเหินเราด้วยนะ”
แม้ความพิศวาสรักใคร่ที่สามีเคยชมชอบ ก็ถูกกำจัดตัดขาดไปสิ้น “กามกิเลสเป็นศัตรูของผู้ปฏิบัติธรรม “น้องหญิงอย่าพยายามเลย” “โอ้ นี่เราคงสูญเสียเค้าไปแล้วจริงๆ ทำไงดีนะที่จะได้ความสุขกลับมาได้เหมือนเดิม”
อันตำราที่ว่าน้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ ย่อมใช้ได้กับคนทุกชาติทุกภาษา ครั้นเมื่อสามีหนุ่มประสงค์จะออกบวชในพระพุทธศาสนา ภรรยาสาวจึงโอนอ่อนผ่อนตามไปก่อน “ในที่สุดท่านพี่ก็จากเราไปจริง ช่างเถอะค่อยหาทางดึงกลับมาทีหลัง” “อื้อหือยังสาวอยู่แท้ๆ สามีออกบวชอย่างนี่ คงจะเหงาแย่ละซินะ" "อย่าแม้แต่จะคิดนะตาแก่” “โอยไม่หรอกจ๊ะพี่ยังไม่คิดที่จะบวชหรอก” “ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องบวช อย่ามาทำไขสือ อย่าให้รู้ว่าแกแอบไปทำเจ้าชู้ที่ไหน แม่จะเล่นงานให้”
มานพหนุ่มเมื่อได้อุปสมบทเป็นพระสงฆ์สมเจตนา ก็ระมัดระวังกายใจไม่ให้ตกเป็นทาสกิเลส เฝ้าประพฤติตามพุทธบัญญัติมิได้บกพร่องอยู่ในพระอาราม “ในที่สุดเราก็ได้บวชในพระพุทธศาสนาดังใจซะที จากนี้ก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมให้บรรลุจงได้”
วันคืนล่วงไปมิทันนาน ภรรยาผู้เหมือนตกพุ่มหม้ายแต่ยังสาวก็คิดแผนการ ดึงตัวภิกษุกลับคืนมาอยู่กินเช่นเดิมได้ “เราต้องทำให้หลวงพี่ระลึกถึงสิ่งเก่าๆ แล้วค่อยอ้อนวอนท่าน ดูซิจะทนไหวไหม” นางผู้ก่อบาปเพื่อความสุขของตน ได้แต่งกายสวยงาม อบรั่มกลิ่นกายจนหอมกรุ่น แล้วนำอาหารที่พระภิกษุชอบเข้าไปถวาย ขอปวารนาตนเป็นอุบาสิกาดูแลเรื่องของฉันต่อไปอีก
“น้องจะมาถวายภัตตาหารให้หลวงพี่ทุกเช้าทุกเพลเลยนะจ๊ะ” “ไม่ต้องถือเป็นประจำนิตยภัตก็ได้โยม อาตมามิได้ขัดสนอะไร” แม้ภิกษุหนุ่มห้ามปรามไว้ก็ไม่เป็นผลดีขึ้นมาได้ นางผู้เป็นภรรยายังคงปฏิบัติตามแผนของตนอยู่เช่นนั้นสืบมา บางครั้งก็นำปัญหาการดูแลตนเองอย่างน่าเวทนามาให้พระพลอยมีจิตกังวลหม่นหมอง “น้องอยู่คนเดียวหาเลี้ยงตนได้ยากลำบาก บ้านช่องก็ขาดคนซ่อมแซม ตอนกลางคืนก็น่ากลั๊ว น่ากลัว อยากจะนิมนต์หลวงพี่กลับไปดูบ้าง”
เมื่อโดนรบเร้าบ่อยขึ้น สุดท้ายภิกษุใหม่ก็ทนไม่ไหว ยอมไปฉันอาหารที่บ้านบ้าง ไปๆ มาๆ กันได้ไม่นาน ภรรยาก็ปรับปรุงบ้านเรือนให้สดชื่นขึ้นเรื่อยๆ อารมณ์อันเกิดจากใจที่ไปสัมผัสสิ่งสดชื่นสวยงามก็เริ่มถูกโน้มเข้าสู่กับดักของหญิง นิมนต์คะหลวงพี่ เช้านี้น้องเตรียมอาหารที่หลวงพี่โปรดไว้ทั้งนั้นเลย
ในที่สุดขันติของภิกษุหนุ่มก็ขาดลง “ฮืม..อนิจจาเห็นทีจะหนีกิเลสตัณหาไม่พ้นแน่แล้วหนอ เสียดายจริงๆ” กลางราตรีหนึ่ง สงฆ์สาวกรูปนี้จึงตัดใจขอลาสิกขาต่อพระพุทธองค์ ครั้นกราบทูลว่าจะขอลาจากเพศบรรพชิตออกไปครองคู่กับนางผู้เป็นภรรยา
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสดับเรื่องราวแล้วทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อภิกษุผู้ลุ่มหลงนั้น ตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุเมื่อชาติก่อนโน้น หญิงผู้นี้ทำให้เธอสิ้นชีวิตมาแล้ว" ภิกษุหลายรูปในธรรมสภาจึงอาราธนาให้ทรงเล่าอดีตชาติเรื่องนั้น พระพุทธองค์จึงทรงแสดงกัณฑินาชาดก ดังนี้
แคว้นมคธที่นี่ เมื่อกาลก่อนยังมีฝูงกวางกระจัดกระจายหากินอยู่เขตที่สูงในป่าติดกันกับชนบท ยามวสันตฤดูอาหารบนที่ราบสูงในป่าก็อุดมสมบูรณ์ เหล่ากวางหากินกันอย่างมีความสุข มนุษย์ซึ่งทำนาทำไร่อยู่เบื้องล่างก็ไม่ขึ้นมารังควาน "เร็วเข้าซิ ทางโน้นมีใบไม้อ่อนๆ เยอะเลย" "เดี๋ยวซิจ๊ะพี่ ทางนี้ก็มีเหมือนกัน" "ทางนี้ดีกว่า" เจ้ากวางสองตัวนั้นจะวิ่งไปกินที่ไหน แถวนี้อาหารก็มีเยอะแยะ
จนกระทั่งหมดฝนเข้าชนฤดูแล้งที่แห้งผากยากต่อการหาอาหาร เหล่ากวางน้อยใหญ่ก็สุดจะทนอดอยากได้ พวกมันเฝ้ามองข้าวของชาวนาอย่างกระหาย "ดูซิข้าวในนา น่ากินจังเลย เห็นแล้วน้ำลายไหล" "นั่นนะซิ ในป่าที่พวกเราอยู่ก็แห้งแล้ง เนี่ยไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้วหิวจนแสบท้องไปหมดเลย" "ข้าก็หิวเหมือนกัน เราแอบไปกินข้าวในนาสักหน่อยชาวนาอาจจะไม่รู้ก็ได้นะกินนิดกินหน่อยไม่เป็นไรหรอกมั้ง"
เมื่ออาหารในป่าหายากเข้ากวางหลายตัวก็พากันลงมากินข้าวในนาจนเกิดความเสียหายไปทั่ว “ง่ำๆ ง่ำๆ อร่อยจังเลย ดีนะที่พวกเราตัดสินใจกินข้าวในนา ไม่งั้นคงหิวตายแน่เลย” “ไม่ใช่มีแต่พวกเราที่มาแอบกินหรอกนะ กวางตัวอื่นก็มาแอบกินกันเยอะแยะเต็มไปหมด" "ถ้าอย่างนั้นพวกเราต้องรีบกิน รีบหนีนะ เดี๋ยวชาวนามาเห็นเข้า” กวางทั้งหลายลงมากินข้าวนาอย่างอิ่มหนำหารู้ไม่ว่าชาวนาในหมู่บ้านกำลังจ้องจะกำจัดอย่างเอาเป็นเอาตาย
“หนอย..พวกข้าทำงานกันแทบตาย เจ้ากวางพวกนี้มากินซะหมด เดี๋ยวเหอะข้าจะเหวี่ยงแหคลุมมันแล้วจะมัดมาเชือดกินซะให้หายแค้นเลย หื้อ” “ข้าวยังไม่ทันสุกได้เกี่ยวเลย ดูซิพวกกวางทำลายจนหมดแล้ว” “จัดการมันเลยพ่อ อย่าให้รอดไปได้สักตัวเลย” ชาวชนบททั้งหลายพากันแค้นพวกกวางจึงวางแผนกันตามภูมิปัญญาตัวซึ่งล้วนน่ากลัวทั้งสิ้น
“เดี๋ยวเถอะให้มันลงมาในนาข้าวเราอีกเถอะนะ พ่อจะวางบ่วงและซุ้มยิงให้เกลี้ยงเลย หึ หึ หึ" "ส่วนข้าจะใช้เจ้านี่ตะครุบมันไว้เอาไปเป็นอาหารเย็นน่าจะดีนะ" เมื่อฝูงกวางถูกกำจัดบ่อยครั้งเข้าก็พากันเตลิดหนีขึ้นป่่าสูง ไม่ลงมาขโมยข้าวในนากินอีก
บนป่าสูงขึ้นไปนั้นมีกวางหนุ่มซึ่งเกิดและโตในป่าลึกไกลผู้คนมาติดพันกวางสาวที่อาศัยอยู่ชายป่าติดเขตหมู่บ้าน ไม่นานทั้งสองก็ร่วมชีวิตกัน "กระเถิบมานอนใกล้ๆ พี่นี่ซิจ๊ะ เดี่ยวพี่จะคอยไล่แมลงให้น้องจะได้นอนหลับสบาย" "แหม..พี่ก็ แค่นี่ก็ยังใกล้ไม่พออีกหรือจ๊ะ"
วันหนึ่งถึงคราวชะตาชีวิตพลิกผัน กวางตัวผู้เกิดอยากลงไปหาอาหารยังชายป่าข้างล่างขึ้นมา นางกวางสาวก็ไม่ได้ห้ามปราม "อืม..ข้าวกำลังโตเต็มคอรวงเขียวสดน่าเคี้ยวจัง รีบลงไปเถอะน้อง" "ได้ซิจ๊ะพี่จ๋า น้องก็กำลังอยากกินอยู่พอดีเลย" เนื่องจากกวางสาวเกิดและโตในบริเวณแถบนี้จึงเป็นผู้นำทาง โดยมีกวางสามีเดินตามหลัง เมื่อพ้นชายป่าออกทุ่งโล่ง เธอได้กระสากลิ่นมนุษย์ก็ชะลอฝีเท้าลงอย่างระมัดระวังแต่ก็มิได้ตักเตือนกวางหนุ่ม
"อุ๊ย..กลิ่นคุ้นๆ อื้ย..กลิ่นมนุษย์นี่ไปทางนั้นอันตรายแน่ๆ " "มาซิจ๊ะน้องจ๋า มัวช้าอยู่ทำไม เร็วๆ พี่หิวแล้ว" "ยิ่งเดินเข้าไปยิ่งกลิ่นแรง ไม่เอาดีกว่าเรา ขืนเข้าไปใกล้กว่านี้ซวยแน่ๆ" กวางตัวเมียปล่อยให้กวางตัวผู้ซึ่งมาจากป่าลึกไม่เคยรู้จักกลิ่นมนุษย์กระโจนลงไปแต่เพียงผู้เดียว "มาเร็วเข้าน้องรวงข้าวเขียวๆ กับหญ้าเพิ่งแตกยอดอ่อนเต็มไปหมดเลย เห็นเจ้าร่ำๆ ว่าอยากกินไม่ใช่เหรอ มาซิ ชักช้าพี่กินหมดเลยนะ"
"เชิญกินไปตัวเดียวเถอะชั้นไม่อยู่แล้ว ตรงนี้มีนายพรานแน่ๆ กลิ่นฉุนกึกเลย ไว้เจอกันชาติหน้านะพี่นะ ไปก่อนล่ะ" นางกวางสาวไม่เพียงแต่หยุดเดิน หากยังหันหลังกลับแล้วตะกุยหนีอย่างเร็วอีกด้วย อาการเช่นนั้นของกวางสาวคือสัญญาณอันตรายของป่าที่สัตว์ทุกตัวรู้ดี แต่กวางหนุ่มก็ถล่ำลงมาจนไม่อาจแก้ไขให้พ้นอันตรายได้แล้ว
"มาแล้วรึ เสร็จชั้นแน่เจ้ากวางเอ๋ย" "เฮ้ย..นั่นนายพรานนี่นาแอบซุ่มตั้งแต่เมื่อไหร่นี่ แย่แล้วเราหนีดีกว่า" "หนีตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว" "เจ้ากวางเอ๋ย มา มารับลูกธนูซะดีๆ ตายซะเถอะเจ้ากวางตะกละ"
"เฮ้ยไม่นะ!..โอ๊ย!!." ระยะใกล้บวกกับไม่มีที่กำบัง ลูกธนูแข็งแกร่งก็เสียบชำแหละปักคาต้นคอจนลึกสุดคมศร กวางหนุ่มล้มทั้งยืน แต่ยังตะกายหนีตามกวางสาว หนีขึ้นบนที่สูงไปจนได้ "โอ๊ย..น้องจ๋าช่วยพี่ด้วย" กวางหนุ่มไม่สามารถทนพิษบาดแผลได้ ล้มลงด้วยพิษธนู
ความเจ็บปวดแผ่ไปทั่วร่าง ตรงบริเวณต้นไม้ใหญ่ต้นทางเข้าป่านั่นเอง รุกขเทวดาอันเป็นเทพประจำป่าก็แสดงร่างออกมาโปรดสัตว์ "ตั้งจิตเป็นกุศลไว้เถิดเจ้ากวางเอ๋ย อย่าได้เคียดแค้นสตรีต้นเหตุนี้เลย"
รุกขเทพได้ติเตียนการตายนี้ 3 ประการคือ พรานผู้ยิงศร ภรรยาที่เป็นผู้นำทางและกวางสามีผู้ปล่อยตัวให้ตกในอำนาจสตรี จงเกิดในภพภูมิใหม่และอย่าได้สมเพชเพราะโง่เขลาดังชาตินี้ที่มาตายเพราะหลงติดในกามเลย
สมัยพุทธกาลต่อมา กวางหนุ่มกำเนิดเป็น พระภิกษุใหม่ผู้พ่ายแพ้กิเลสกาม
นางกวางสาวกำเนิดเป็น ภรรยาผู้อยากสึกพระ
รุกขเทวดาเสวยพระชาติเป็น องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า