ชาดก 500 ชาติ
โกสิยชาดก-ชาดกว่าด้วยถ้อยคำกับการกินไม่สมกัน
โกสิยชาดก "เป็นเรื่องของนางพราหมณีซึ่งเป็นหญิงที่มีนิสัยหยาบช้า นางนั้นหลุ่มหลงอยู่ในกามราคะ ประพฤติผิดประเวณี คบชู้สู่ชายและมักใช้เล่ห์กลมารยาแกล้งป่วย ไม่ทำการงาน ให้พราหมณ์หนุ่มผู้เป็นสามีบำรุงบำเรอด้วยอาหารที่ดีและปราณีตอยู่เป็นประจำ
ณ ชมพูทวีปดินแดนอันเป็นปฐมบทแห่งพระพุทธศาสนา ซึ่งพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ไว้ดีแล้วถึงพระธรรมคำสอนที่พระองค์ทรงบำเพ็ญเพียร ภาวนาธรรมมาแล้วหลายพบหลายชาติ หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงออกจาริกแสวงบุญ โปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายที่จมอยู่ในมูลกิเลส เวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารแห่งทุกข์นั้น เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายจึงได้พบหนทางสว่าง เห็นแสงธรรมแห่งการดับทุกข์ ยึดถือเอาพระธรรมคำสอนแห่งพระพุทธองค์ อาราธนาขึ้นเป็นหลักในการครองตน
“นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ” “ยุบหนอ พองหนอ สบายหนอ มีความสุขหนอ เฮ้อ สบายใจจริงๆ ไม่เคยสุขใจเท่านี้มาก่อนเลย เฮอะ ฮะ ฮ่าๆ” “ใช่ๆ ใช่ ปลงๆ ซะนะลุง เนี่ยเนื้อหนังเหี่ยวย่นหมดแล้ว ฮิๆ ฮิ” “ ไม่แก่บ้างให้มันรู้ไปนะเจ้า” “อุ๊ย ไม่ได้ๆ เราต้องไม่โกรธ ไม่โกรธหนอๆ ”
พุทธกาลวาระนั้น ยังมีพราหมณ์หนุ่มผู้หนึ่ง อาศัยอยู่กับภรรยาในนครสาวัตถี พราหมณ์หนุ่มมีความเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนายิ่งนัก พราหมณ์ผู้นี้ มักเดินทางเข้าออกในพระเชตวันมาฟังพระธรรมเทศนาจากพระบรมศาสดาเป็นประจำ ต่างจากนางพราหมณี ซึ่งเป็นหญิงที่มีนิสัยหยาบช้า ลามก มักมากในกาม นางนั้นหลุ่มหลงอยู่ในกามราคะ ประพฤติผิดประเวณีคบชู้สู่ชายและมักใช้เล่ห์กลมารยาแกล้งป่วย ต่อตะพราหมณ์ผู้เป็นสามี
“หึๆ วันนี้ไม่มีใครอยู่สบายเลยเรา นัดหนุ่มๆ มาที่เรือนดีกว่า ลาลัลลา ลัลลา” เหตุแห่งการประพฤติเช่นนี้ จึงทำให้พราหมณ์หนุ่มไม่มีเวลาไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา เป็นที่สังเกตในหมู่ภิกษุสงฆ์ในพระเชตวัน “เอ้ ท่าน ช่วงนี้ไม่เห็นพราหมณ์มาเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาเลย” “นั้นนะสิ สงสัยจะไม่สบายมั้งท่าน” แต่แล้ววันหนึ่งพราหมณ์หนุ่มก็มายังพระเชตวัน พร้อมกับของหอมดอกไม้ มาเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา เมื่อมาถึงก็หมอบกราบพระบรมศาสดาอย่างนอบน้อมเหมือนเช่นเคยที่ได้กระทำ
แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงตรัสว่า “ดูก่อนพราหมณ์ เพราะเหตุอันใดท่านจึงไม่ค่อยได้มาในพระเชตวันแห่งนี้” พราหมณ์หนุ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พระบรมศาสดาทรงสดับ แท้ที่จริงแล้วพระบรมศาสดานั้นทรงทราบถึงนิสัยของนางพราหมณีเป็นอย่างดีแล้ว จึงตรัสกับพราหมณ์หนุ่มว่า “ดูก่อนพราหมณ์เอ๋ย เมื่อมาตุคามนอนเสียอย่างนี้ โรคที่เป็นอยู่ก็ไม่สงบ ต้องปรุงยาอย่างนี้แลจึงจะสมควร แม้ในครั้งก่อนบัณฑิตเองก็เคยบอกกล่าวแก่ท่านมาแล้วเช่นกัน แต่ท่านกลับกำหนดจดจำไม่ได้ซะเอง เพราะมีเหตุที่ภพกรรมมากำบังไว้”
พราหมณ์หนุ่มเมื่อได้ฟังเช่นนั้น ก็กราบทูลขออาราธนาพระบรมศาสดาทรงเล่าอดีตชาติในกาลก่อนให้ฟัง พระบรมศาสดาจึงทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณนำเอาเรื่องโกสิยชาดก มาสาทกดังนี้ ย้อนไปในอดีตกาล สมันที่พระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติปกครองนครพาราณสีอันรุ่งโรจน์ในวาระนั้น เป็นภพชาติที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติบังเกิดในสกุลพราหมณ์มหาศาล ร่ำเรียนศิลปวิทยาการทุกแขนงในสำนักตักศิลา จนสำเร็จแตกฉาน
ได้เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ร่ำลือถึงสติปัญญาอันเฉลียวฉลาด ที่สำคัญยังเปี่ยมไปด้วยจริยธรรม สมดั่งที่ผู้คนให้ความเลื่อมใสศรัทธามากมาย ทั้งเหล่าขัตติยราชกุมาร ทั่วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำและพราหมณ์กุมารต่างพากันมาร่ำเรียนศิลปวิทยาการในสำนักของท่าน เป็นจำนวนมากมาย ในครั้งนั้นมีพราหมณ์ชาวชนบทผู้หนึ่งร่ำเรียนไตรเทพและวิทยฐานะ 18 ประการ ในสำนักของพระโพธิสัตว์แล้วได้ตั้งหลักปักฐานอยู่กับภรรยาธิดาแห่งโกสิยพราหมณ์ในกรุงพราราณสีนั้นเอง ในแต่ละวันนั้น พราหมณ์ผู้นี้
จะเดินทางเข้าออกในสำนักของพระโพธิสัตว์ วันละ 2-3 ครั้ง ซึ่งต่างกับนางพราหมณีผู้เป็นภรรยาของเขาอย่างโดยสิ้นเชิง “น้องหญิงจ๋า วันนี้ ไม่ไปศึกษาธรรมกับพี่หรือ” “เฮ้อ พี่น่ะไปเถอะจ๊ะ น้องขอพักในเรือนดีกว่า” (หึ!.. ผู้ชายอะไร น่าเบื่อที่สุดเลย ไปเถอะไป๊ กว่าจะไปซะที เฮ้อ เสียอารมณ์จริงๆ) นางพราหมณีผู้นี้เป็นหญิงหยาบช้าลามก มักมากในกามประพฤติผิดประเวณีอย่างร้ายแรง ครั้นยามใดพราหมณ์หนุ่มผู้เป็นสามี ต้องออกไปกระทำกิจนอกเรือนเป็นเวลานานๆ
นางพราหมณีก็สบโอกาสแอบนัดชายชู้มาเสพสังวาสยังเรือนนอนของตน อย่างไม่ละอายใจ “มามะ มาให้พี่ชื่นใจหน่อย อดใจรอมานานแล้วกว่าเจ้าพราหมณ์จะออกไปได้ซะที ฮะฮ่าฮา มามะๆ” นิสัยไม่ดีอีกอย่างของนางพราหมณีผู้นี้ คือ เป็นคนเกียจคร้านการงาน อันเป็นหน้าที่ที่พึงกระทำของตน คอยแต่จะหลบเลี่ยงโดยแกล้งแสดงท่าทางอย่างคนป่วยไข้ นอนทอดกายถอนใจอยู่ไปมา “เฮ้อ..เฮ้อ.. เฮ้ย” “ถอนหายใจ ไปอะไรไปหรือน้องหญิง” “เฮ้อ น้องน่ะ รู้สึกอึดอัด เหมือนลมมันเสียดแทงอีกแล้วจ๊ะท่านพี่” “อืม ถ้าอย่างนั้นน้องต้องการให้พี่ช่วยอะไรก็บอกมาน่ะ”
“น้องน่ะ ต้องการรับเนยใส แล้วก็น้ำนมสดจ๊ะท่านพี่ เผื่อว่าได้ทานอาหารอันประณีตแล้ว อาการจะทุเลาขึ้นบ้าง” “งั้นน้องหญิงนอนพักก่อนน่ะ เดี๋ยวพี่จะไปจัดหามาให้” พราหมณ์หนุ่มนั้นเป็นผู้มีจิตใจดี คอยดูแลเอาใจใส่ภรรยามิได้ขาด หากนางเอ่ยปากต้องการสิ่งใด ก็จะหามาให้ในทันที ด้วยหวังเพียงว่าจะสามารถช่วยบรรเทาให้อาการป่วยของนางทุเลาลง “มาแล้วจ้าน้องหญิง ของที่น้องหญิงต้องการค่อยๆ กินนะจ๊ะ” “อื้อ อร่อยจังเลย น้องอิ่มแล้วจ๊ะท่านพี่ แต่น้องนะ ยังรู้สึกเสียดแทงอยู่นิดๆ คงต้องนอนสักพัก คงจะดีขึ้นรบกวนท่านพี่เก็บสำรับอาหาร แล้วก็เอาจานไปล้างแทนน้องด้วยน่ะจ๊ะ โอ๊ะๆ โอ้ย เฮ้อ”
“น้องหญิงพักเถิดน่ะ ไม่ต้องกังวลเดี๋ยวพี่จะทำทุกอย่างให้เอง” “น้องเกรงใจท่านพี่จังเลย นี่ถ้าน้องไม่ป่วยนะน้องไม่ให้พี่ต้องลำบากหรอกจ๊ะ โอ๊ะๆ โอ้ย ปวดมาอีกแล้ว” จนวันเวลาล่วงเลยผ่านไป พราหมณ์หนุ่มเฝ้าดูแลปรนนิบัติภรรยาจนไม่มีเวลาไปร่ำเรียนวิชาในสำนักของพระโพธิสัตว์ แต่ทว่าอาการป่วยของนางก็ไม่ได้ทุเลาขึ้นเลยแม้แต่น้อย
“เฮ้อ ทำไม อาการลมเสียดแทงหน้าอกของน้องหญิง ถึงไม่ดีขึ้นเลยน่า ทั้งๆ ที่เราก็ดูแลเป็นอย่างดี จะทำยังไงดีน่า” เมื่อคิดได้ดังนั้นพราหมณ์หนุ่มจึงเดินทางไปยังสำนักของพระโพธิสัตว์เพื่อขอคำแนะนำ “กราบสวัสดีท่านอาจารย์ผู้เจริญขอรับ ที่กระผมไม่มีโอกาสได้มารับโอวาทจากท่านอาจารย์ ก็เพราะต้องคอยปรนนิบัติภรรยาที่ล้มป่วยกระผมรู้สึกแปลกใจจริงๆขอรับ ทั้งที่กระผมบำรุงเธอด้วยเนยใส น้ำนมสดและอาหารอันประณีตจนผิวพรรณเปล่งปลั่ง แต่เหตุไฉนอาการลมเสียดแทงหน้าอกของนางไม่ทุเลาขึ้นเลยขอรับ”
ฝ่ายพระโพธิสัตว์อาจารย์ทราบว่าแท้ที่จริงนางมารวิกานั้นนอนหลอกพราหมณ์นี้เสียแล้ว จึงชี้แนะด้วยความหวังดีที่มีต่อศิษย์ “นั้นก็เป็นเพราะเจ้าจัดยาที่ไม่เหมาะสมให้แก่นางนั้นเอง” “แล้วอย่างนี้กระผมควรทำอย่างไรดีครับท่านอาจารย์” “ต่อแต่นี้ไปเจ้าอย่าได้ให้เนยใสและนมสดแก่นางเป็นอันขาด แต่จงโขลกใบไม้ 5 อย่าง และผล 3 อย่างใส่ในมูตรโคและแช่ใส่ไว้ในภาชนะทองแดงใหม่ๆ ให้กลิ่นโลหะมันจับแล้วตอนที่เอาให้นางเจ้าต้องถือเชือก หวาย หรือไม้เรียวก็ได้ จากนั้นก็กล่าวคาถาแก่นาง ว่ายานี้เหมาะแก่โรคของเจ้า เจ้าจงกินยานี้หรือไม่เช่นนั้นก็ลุกขึ้นทำการงานที่สมควรแก้ภัตรที่เจ้าบริโภค หากนางไม่ยอมดื่มยา ก็ต้องเอาเชือกหวายหรือไม้เรียวหวดนางลงไปอย่างไม่ต้องนับ แล้วก็จิกผม กระชากมาถองด้วยศอก อาการป่วยของนางก็จะหายเป็นปลิดทิ้งจักลุกขึ้นทำงานในทันที”
“ดีจริงขอรับ ขอบพระคุณท่านอาจารย์มากขอรับ แต่นี้ไปอาการของนางก็จะได้หายซะที” พราหมณ์หนุ่มท่องจำคาถาที่พระโพธิสัตว์ให้มาจนขึ้นใจ จากนั้นก็จัดแจงปรุงแต่งยาตามสูตรที่ได้มาพร้อมทั้งไม้เรียวอันหนึ่ง ตามคำชี้แนะของพระโพธิสัตว์ในทันที “อ้า เสร็จแล้ว” “อี้ ท่านพี่ นี่มันกลิ่นอะไรกันเนี่ย”
“อ๋อ กลิ่นยาน่ะจ๊ะน้องหญิง มากินสิจ๊ะ อาการป่วยของเจ้าจะได้หายซะที” “อี้ ใครจะไปกินลง แค่ได้กลิ่นก็จะอ้วกและ ท่านพี่หนะ กินเองเถอะ แหวะ ท่านพี่ ไปเอายานี้มาจากไหนเนี่ย” “ท่านอาจารย์ของพี่บอกมาจ๊ะ ให้เจ้ากินยาขนานนี้ ไม่อย่างงั้นหนะ อาการลมจุดเสียดของเจ้า ก็ไม่มีวันหาย เอ้า น้อง เอายาไปกินสิเจ้า” “ไม่ น้องไม่ดื่มมันหรอก ยาอะไรก็ไม่รู้ไปไกลๆ เลยท่านพี่”
เมื่อนางพราหมณีไม่ยอมดื่มยานั้น พราหมณ์หนุ่มจึงกล่าวคาถาทันที “ยานี้เหมาะแก่โรคของเจ้า เจ้าจงกินยานี้ หรือไม่เช่นนั้น ก็ลุกขึ้นมาทำการงานให้สมควรแก้ภัตรที่เจ้าบริโภค แต่หากเจ้ายังดื้อดึงไม่ยอมดื่มละก็เจ้าจะโดนไม้เรียวนี้เฆี่ยนตี เจ้าจงเลือกเอาเถอะ” เมื่อพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว ธิดาแห่งโกสิยพราหมณ์ผู้เป็นภรรยาก็ฉุกคิดในใจด้วยความยำเกรงในอาจารย์ว่า “หึย ซวยแล้วเรานี่ท่านอาจารย์คงรู้ว่าที่ผ่านมาเราเป็นหญิงประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ถ้าเช่นนั้นท่านพี่เขาก็คงจะรู้แล้ว ว่าเราโกหกเช่นกัน เฮ้ย เรานี่ ไม่น่าเลยช่างน่าละอายใจยิ่งนัก”
เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว นางโกศย จึงปรับตัว ปรับเปลี่ยนนิสัยของตนเอง กลายเป็นภรรยาที่เพียบพร้อมลุกขึ้นประกอบกิจตามหน้าที่ของตน ทั้งยังเป็นหญิงมีศีลงดเว้นจากการทำความชั่วทั้งปวงเมื่อพระบรมศาสดาสาทกพระธรรมเทศนา โกสิยชาดกจบแล้ว พราหมณ์หนุ่มก็น้อมนำพุทธโอวาทนี้ไปใช้กับนางพราหมณีของตน ซึ่งนางนั้นก็ไม่กล้าทำอนาจารซ้ำอีกด้วยความเคารพในพระศาสดาเช่นกัน
ในพุทธกาลนั้น พราหมณ์และนางโกสิยพราหมณีในกาลก่อน
บังเกิดเป็น คู่พราหมณ์สามีภรรยาในบัดนี้
พระอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เสวยพระชาติเป็น พระบรมสัมมาสัมพุทธเจ้า
ยถา วาจา จ ภุญฺชสุสุ ยถา ภุตตญฺจ พุยาหร
อุภยนฺเต น สเตมิ วาจา ภุตตญฺจ โกสิเยติ
ดูก่อนนาง ผู้โกสิยะ เจ้าจงกินยา ให้สมกับที่อ้างว่าป่วย
หรือจงทำการงานให้สมกับอาหารที่บริโภค
เพราะถ้อยคำกับการกินของเจ้าทั้งสองอย่างไม่สมกันเลย