ชาดก 500 ชาติ
โกสัมพิยชาดก ชาดกว่าด้วยอยู่คนเดียวดีกว่าร่วมกับคนพาล
ในสมัยพุทธกาลเมื่อครั้งที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอาศัยเมืองโกสัมพี ประทับอยู่ ณ โคสิตาราม ทรงปรารภเหล่าภิกษุที่ทะเลาะกันในเมืองโกสัมพีจึงตรัสเรื่องนี้ คราวนั้นภิกษุ 2 รูป คือ พระวินัยธรและพระธรรมกถึกอยู่ในอาวาสเดียวกัน วันหนึ่งพระธรรมกถึกถ่ายอุจจาระเหลือน้ำชำระไว้ในภาชนะแล้วก็ออกไป
“ ไม่ไหวแล้ว ๆ ข้าศึกบุกมาประชิดประตูเมืองแล้ว ” เมื่อพระธรรมกถึกไปแล้ว พระวินัยธรเข้าไปในที่นั้นหลัง เห็นมีน้ำเหลืออยู่ในภาชนะ จึงออกมาถามพระธรรมกถึก “ เฮ้อ ค่อยโล่งหน่อย ” “ เมื่อกี้ท่านปลดทุกข์แล้วเหลือน้ำไว้หรือ ” “ ใช่แล้ว ข้าเหลือน้ำไว้ ” “ ท่านไม่รู้หรือว่าเป็นอาบัติ ”
พระธรรมกถึกไม่รู้ว่าการเหลือน้ำไว้ในภาชนะนั้นเป็นอาบัติ ด้วยตนเป็นพระนักเทศน์ไม่ได้เชี่ยวชาญธรรมวินัย เหมือนพระวินัยธร “ ถ้าเป็นอาบัติข้าก็จะปลงอาบัติ ” “ ถ้าท่านทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็ไม่เป็นอาบัติหรอก ” เมื่อพระวินัยธรบอกเช่นนั้น พระธรรมกถึกก็เข้าใจว่า อาบัติที่ตนทำนั้นไม่เป็นอาบัติ
ส่วนพระวินัยธรเมื่อกลับไปแล้วก็ได้บอกเรื่องนี้แก่ศิษย์ของตน “ พวกเจ้าอย่าเอาอย่างพระธรรมกถึกเชียวนะ ทำอาบัติแล้วไม่รู้ตัว ” “ ใช้ไม่ได้ ใช้ไม่ได้จะมีใครเคร่งครัดเหมือนอาจารย์พวกเราอีก ” “ แหม แบบนี้มันต้องแซวกันหน่อยสะแล้ว แหะ ๆ ”
พวกศิษย์ของพระวินัยธรนั้น เมื่อเห็นพวกศิษย์ของพระธรรมกถึกผ่านมาก็พูดจาล้อเลียนเรื่องที่พระธรรมกถึกทำอาบัติ “ อุปัชฌาย์ของพวกเจ้าทำอาบัติแล้วยังไม่รู้ว่าเป็นอาบัติ ” “ พวกเจ้าอย่าทำอาบัติเหมือนอุปัชฌาย์ของพวกเจ้าละ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ” “ หนอยเจ้าพวกนี้ ดูถูกอุปัชฌาย์ของเรา แบบนี้ยอมไม่ได้ ”
พวกศิษย์ของพระธรรมกถึกได้ยินเช่นนั้นก็ไม่พอใจ จึงพากันไปบอกแก่อุปัชฌาย์ของตน “ อาจารย์ ๆ พวกศิษย์พระธรรมวินัย เอาเรื่องที่ท่านทำอาบัติแล้วไม่รู้ตัว ไปพูดนินทากันสนุกปากเลยละ ” “ แบบนี้ยอมไม่ได้นะอาจารย์ ” “ พระวินัยธรจะเอายังไงกันแน่ ตอนแรกบอกไม่อาบัติ พอตอนนี้บอกเป็นอาบัติ ”
เมื่อมีโอกาสเจอพวกศิษย์ของพระวินัยธรอีก ฝ่ายพวกศิษย์ของพระธรรมกถึกก็พูดจาตอบโต้บ้าง “ พวกเจ้าต้องศึกษาพระวินัยบ้างนะ ระวังจะเหมือนกับอุปัชฌาย์ที่อาบัติแล้วยังไม่รู้ตัว ” “ พวกเจ้าก็เหมือนกัน อย่าทำตัวแบบอุปัชฌาย์เจ้าที่เป็นคนพูดเท็จละ ” “ อย่ามาพูดพล่อย ๆ นะ พวกเจ้ามาหาว่าอุปัชฌาย์พูดเท็จได้ยังไงกัน ” “ ทำไมจะไม่ได้ ตอนแรกบอกกับอุปัชฌาย์ข้าว่า ไม่เป็นอาบัติ แล้วกลับไปพูดกับพวกเจ้า ว่าเป็นอาบัติได้ยังไง ” ต่อแต่นั้นพระวินัยธรได้ช่องจึงทำอุกเขปนียกรรมยกโทษในการไม่เห็นอาบัตินั้น
ตั้งแต่นั้นมาอุบาสก อุบาสิกาผู้ถวายปัจจัยแก่ภิกษุเหล่านั้นได้แบ่งเป็น 2 พวก ทั้งภิกษุณีผู้รับโอวาทก็ดี อารักขเทวาก็ดี กาสัฏฐกเทวดาที่เคยเห็นเคยคบกับอารักขเทวดาก็ดี ตลอดถึงพรหมโลก บรรดาที่เป็นปุถุชนได้แยกกันเป็น 2 พวกได้เกิดโกลาหลไปถึงภพอากนิษฐ์ “ พวกเราอย่าไปทำบุญร่วมกับพวกนับถือภิกษุที่ทำอาบัตินะ ” “ พวกข้า ก็ไม่อยากทำบุญร่วมกับพวกที่นับถือภิกษุพูดเท็จเหมือนกันนั้นละ ”
เวลาต่อมาภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระตถาคต เพื่อกราบทูลเรื่องความขัดแย้งของเหล่าภิกษุนั้นให้ทรงทราบ “ ตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่แล้วพระเจ้าค่ะ ภิกษุทั้งหลายได้แบ่งพรรคแบ่งพวกเป็นสองฝ่ายแล้วพระเจ้าค่ะ ”
พระศาสดาได้ทรงทราบแล้ว จึงทรงส่งภิกษุไปแจ้งพุทธดำรัสให้ภิกษุทั้งหลายสามัคคีกัน แต่ก็ไม่เป็นผล “ ภิกษุทั้งหลายพวกท่านจงสามัคคีกันเถิด ” “ ข้าไม่สามัคคีกับพวกพูดเท็จหรอก ” “ ข้าก็ไม่อยากดีด้วยกับพวกทำผิดพระวินัยหรอก ” พระศาสดาทรงส่งภิกษุไปถึงสองครั้งด้วยกัน แต่ก็ไม่อาจทำให้เหล่าภิกษุนั้นสามัคคีกันได้ ในครั้งที่สามทรงเสด็จไปยังสำนักของภิกษุเหล่านั้น ตรัสโทษในการยกโทษของพวกภิกษุผู้ยกโทษ และในการไม่เห็นอาบัติของพวกภิกษุเหล่านี้ แล้วเสด็จหลีกไป
พระศาสดาทรงบัญญัติวัตรในโรงภัตให้ภิกษุทั้งหลายพึงนั่งในอาสนะ ที่มีอาสนะอื่นคั่นในระหว่างแก่ภิกษุเหล่านั้นเพื่อทำอุโบสถกรรมเป็นต้นสีมาเดียวกัน ณ โฆสิตาราม แต่ก็ยังเกิดปัญหาขัดแย้งระหว่างภิกษุอยู่เช่นเคย พระศาสดาจึงตรัสเตือนภิกษุทั้งหลาย “ อย่าเลยภิกษุทั้งหลาย อย่าร้าวรานกันเลย" “ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเช่นนี้เคยมีมาแล้วในเมืองพาราณสี ” เมื่อตรัสดังนั้นแล้วพระศาสดาจึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาดังนี้
ในอดีตกาลพระนครพาราณสีได้มีพระเจ้ากาสีพระนามว่า พรหมทัต ทรงเป็นกษัตริย์มั่งคั่งทั้งพระราชสมบัติและไพร่พลมาก ส่วนพระเจ้าโกศลพระนามทีฆีติทรงเป็นกษัตริย์ขัดสนมีพระราชสมบัติน้อย และมีไพร่พลน้อย
ครั้งนั้นพระเจ้าพรหมทัตต้องการยึดราชสมบัติของพระเจ้าทีฆีติ เมื่อพระเจ้าทีฆีติทรงทราบ จึงหลบหนีออกจากพระนคร “ พระเจ้าพรหมทัตยกทัพมาแล้วเราคงไม่อาจต้านทัพไว้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เรารีบหนีดีกว่า ” พระเจ้าทีฆีติและพระมเหสีเสด็จหนีออกจากพระนครไปยังพระนครพาราณสี ทรงปลอมแปลงพระองค์ไม่ให้ใครรู้จัก ทรงนุ่งห่มเยี่ยงปริพาชก
ครั้นต่อมาไม่นานพระมเหสีก็ทรงตั้งพระครรภ์และให้กำเนิดราชโอรสนาม ทีฆาวุ “ ทีฆาวุกุมารลูกแม่เจ้าต้องมาลำบากต่างเมืองพร้อมกับพ่อแม่ เพราะพระเจ้าพรหมทัตแท้ ๆ เลย ”
เมื่อทีฆาวุราชกุมารเจริญวัยขึ้น พระเจ้าทีฆีติทรงดำริให้พระราชกุมารหลบซ่อนตัวอยู่นอกพระนคร ด้วยเกรงว่าพระเจ้าพรหมทัตจะส่งทหารมาเอาชีวิต “ ลูกพ่อ เจ้าจงหนีไปซ่อนตัวอยู่นอกพระนครเถิด หากพระเจ้าพรหมทัตส่งคนมาฆ่าเรา เจ้าจะได้ปลอดภัย ”
ทีฆาวุราชกุมารหลบอยู่นอกพระนครไม่นานนักก็ได้ศึกษาศิลปะสำเร็จทุกสาขา เมื่อทราบข่าวว่าพระบิดาและพระมารดาถูกจับแห่ประจานรอบเมือง ก็คิดจะไปช่วย “ เสด็จพ่อเสด็จแม่ ข้าต้องช่วยพวกท่านให้ได้ ”
ครั้นทีฆาวุราชกุมารเข้าไปสู่พระนครพาราณสี ก็ได้ทอดพระชนกพระชนนีถูกจับมัดอยู่ จึงเดินรี่เข้าไปหา พระเจ้าทีฆีติเห็นพระราชกุมารเสด็จพระดำเนินมาแต่ไกลก็ตรัสห้ามไว้ถึง 3 ครั้ง “ พ่อทีฆาวุ เจ้าอย่าเห็นแก่ยาว เจ้าอย่าเห็นแก่สั้น เวรทั้งหลายย่อมไม่ระงับเพราะเวรเลย แต่ย่อมระงับได้เพราะไม่จองเวร ”
เมื่อได้สติ ทีฆาวุราชกุมารก็หลบหนีไป ต่อมาพระราชกุมารได้ไปอาศัยอยู่ที่โรงช้างใกล้พระราชวัง คืนหนึ่งขณะที่ทีฆาวุราชกุมาร ทรงขับร้องและดีดพิณขับครอเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ที่โรงช้าง พระเจ้าพรหมทัตได้ทรงสดับก็พอพระทัยรับสั่งให้ทหารเรียกตัวมาเข้าเฝ้า “ เสียงเพลงนี้ช่างไพเราะยิ่งนัก ทหารจงนำตัวผู้เล่นเพลงนี้มาพบเราเดี๋ยวนี้ ”
พระเจ้าพรหมทัตทรงพอใจทีฆาวุราชกุมาร ทรงแต่งตั้งทีฆาวุราชกุมารในตำแหน่งผู้ไว้วางพระราชหฤทัยใกล้ชิดคนสนิทภายใน “ เรารู้สึกถูกชะตากับเจ้ายิ่งนักต่อไปเจ้าจงมาอยู่รับใช้เราเถิด ” “ เป็นพระมหากรุณาธิคุณพระเจ้าค่ะ ”
อยู่มาวันหนึ่งพระเจ้าพรหมเสด็จไปล่าเนื้อโดยทีฆาวุราชกุมารเป็นผู้ขับราชรถ ครั้นถึงทางแยกหนึ่งทีฆาวุราชกุมารก็ขับราชรถแยกจากขบวนตามเสด็จไปอีกทางหนึ่งแล้วจึงหยุดพัก “ เจ้าจงหยุดก่อน เราเหนื่อยแล้วต้องการจะหยุดพัก ” พระเจ้าพรหมทัตบรรทมอยู่บนตักของทีฆาวุราชกุมารครู่เดียวก็บรรทมหลับด้วยความเหนื่อยล้า ขณะนั้นทีฆาวุราชกุมารคิดถึงความหลังที่พระเจ้าพรหมทัต ปลงพระชนพระชนกพระชนนี
จึงชักพระแสงขรรค์ออกจากฝักหมายจะล้างแค้น “ เจ้าคนชั่วช้า หารู้ตัวไม่ว่าเจ้ากำลังหลับอยู่บนตักของศัตรู ดีหล่ะวันนี้เรามีโอกาสล้างแค้นแล้ว ” ก่อนที่ทีฆาวุราชกุมารจะลงมือสังหารพระเจ้าพรหมทัตนั้น ทรงนึกถึงพระราชดำรัสของพระชนกจึงยั้งพระทัยไว้เป็นอยู่อย่างนั้นถึง 3 ครั้ง (…..พ่อทีฆาวุ เจ้าอย่าเห็นแก่ยาว เจ้าอย่าเห็นแก่สั้น เวรทั้งหลายย่อมไม่ระงับเพราะเวรเลย แต่ย่อมระงับได้เพราะไม่จองเวร)
พระเจ้าพรหมทัตที่บรรทมหลับอยู่นั้นทรงสุบินว่า ถูกทีฆาวุราชกุมารฟันด้วยพระแสงขรรค์ก็สะดุ้งตื่น แล้วทรงเล่าความฝันให้ทีฆาวุราชกุมารฟัง “ เราฝันว่าถูกพระโอรสของพระเจ้าทีฆีติฟันด้วยพระแสงขรรค์น่ากลัวจริง ๆ ”
ทันใดนั้นทีฆาวุราชกุมารจับพระเศียรของพระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชด้วยพระหัตถ์ซ้าย ชักพระแสงขรรค์ด้วยพระหัตถ์ขวาแล้วได้กล่าวคำขู่แก่พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราช “ ข้านี่แหละ ทีฆาวุราชกุมาร โอรสของพระเจ้าทีฆีติคนนั้น พระองค์ทรงก่อความฉิบหายแก่พวกข้ามากมายนัก ”
พระเจ้าพรหมทัตกลัวถูกปลงพระชนจึงซบพระเศียรลงแทบพระยุคลบาทของทีฆาวุราชกุมาร แล้วตรัสวิงวรของชีวิต “ เราผิดไปแล้ว อย่าฆ่าเราเลยไว้ชีวิตเราด้วยเถิด ”
“ หม่อมฉันไม่อาจเอื้อมหรอกพระเจ้าค่ะ พระองค์ต่างหากควรไว้ชีวิตหม่อมฉัน ” “ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็จงเอาชีวิตเรา แล้วเราจะไว้ชีวิตเจ้า ” ครั้งนั้นพระเจ้าพรหมทัตและทีฆาวุราชกุมารต่างได้ให้ชีวิตแก่กันและกัน ได้จับพระหัตถ์กันและสาบานว่าจะไม่ทำร้ายกันอีกต่อไป
ลำดับนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมเทศนาจบจึงทรงให้โอวาทเหล่าภิกษุเหล่านั้น “ดูกร ภิกษุทั้งหลายขันติโสรัจจะเห็นปานนี้ได้มีแล้วแก่พระราชาเหล่านั้น ผู้ถืออาชญา ผู้ถือศาสตราวุธ ก็การที่พวกเธอบวชในธรรมวินัยอันเรากล่าวดีแล้วอย่างนี้ จะพึงอดทนและสงบเสงี่ยมนั้นก็จะพึงงามในธรรมวินัยนี้แน่ ”
พระศาสดาให้โอวาทถึง 3 ครั้ง แต่ภิกษุเหล่านั้นหาได้เลิกทะเลาะกันไม่ พระผู้มีพระภาคทรงดำริว่า โมฆบุรุษเหล่านี้หัวดื้อนักแล เราจะให้โมฆบุรุษเหล่านี้เข้าใจกันทำไม่ได้ง่ายเลย
ดังนี้แล้วเสด็จลุกจากพระพุทธอาสน์กลับไปครั้นเวลาเช้าหลังจากเสด็จบิณฑบาตในพระนครโกสัมพีแล้ว ก็เสด็จไปยังป่าริไรยกไพรสนประทับอยู่ ณ ที่นั้นตลอด 3 เดือน แล้วเสด็จไปเมืองสาวัตถีโดยไม่เสด็จมาเมืองโกสัมพีอีก พวกอุบาสกชาวเมืองโกสัมพีเห็นดังนั้นก็โทษภิกษุเหล่านั้น
ทีทำให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงไปเสีย จึงร่วมกันไม่กราบไหว้และไม่ถวายบิณฑบาตแก่ภิกษุเหล่านั้น “ ภิกษุเหล่านี้ทำให้พระศาสดาระอาพระทัยจนจากเมืองของเราไป ” “ ต่อไปพวกเราอย่าได้ไปกราบไหว้ภิกษุพวกนี้อีกนะ ” “ พวกเราจะไม่ถวายบิณฑบาตด้วยทำแบบนี้ ภิกษุเหล่านี้จะได้สำนึกเสียบ้าง”
เมื่อภิกษุเหล่านั้นถูกพวกอุบาสกลงทัณกรรมเช่นนั้นจึงสำนึกได้ พากันไปยังเมืองสาวัตถีกราบทูลขอขมาโทษต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
พระราชบิดาในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระเจ้าสุทโธทนมหาราช
พระราชมารดาในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระมหามายา
ทีฆาวุกุมารในครั้งนั้น ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล