ชาดก 500 ชาติ
ลิตตชาดก-ชาดกว่าด้วยลูกสกาอาบยาพิษ
ครั้งเมื่อพุทธศาสนาเบ่งบาน ชาวพุทธศาสนิกชนทั้งยากดีมีจน ต่างแห่แหนกันนำภิกษามาถวายแด่พระภิกษุสงฆ์เพื่อหวังให้ผลบุญ จากการถวายนี้ส่งผลให้เขาได้ดีมีความสุข ปลอดจากสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ เหล่าภิกษุสงฆ์ เมื่อรับภิกษาต่าง ๆ จากผู้ที่นำมาถวายแล้ว ก่อนจะนำมาบริโภคใช้สอยก็จะนำมาก็จะต้องมีการพิจารณาว่าจีวรที่ได้ใส่เพียงเพื่อไว้กันร้อน กันยุง เหลือบ ริ้น ไร อาหารก็ฉันเพื่อให้อยู่รอด ผู้ไม่ได้พิจารณาปัจจัย ๔ แล้วบริโภค โดยมากจะไม่พ้นจากนรกและกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน
แต่มีภิกษุสงฆ์กลุ่มหนึ่งเมื่อได้รับภิกษาแล้วจะนำมาบริโภคทันที มิได้พิจารณา “ จีวรนี้เพิ่งได้มาใหม่ เนื้องามนัก เวลาใส่ก็เย็นสบายดูสิท่าน ” “ จีวรผืนนี้ก็เหมือนกัน ท่านเศรษฐีนำมาถวาย เห็นว่ามาจากต่างเมืองโน่น ใส่แล้วสบายยิ่งนัก สีก็สวยสด ”
ครั้นเวลาฉันก็เช่นกัน ภิกษุกลุ่มนี้ จะเลือกฉันเฉพาะอาหารที่ชื่นชอบ เลือกลิ้มรสเฉพาะรสชาติที่ถูกปาก มิได้พิจารณาว่าฉันเพียงเพื่อให้อยู่รอด “ อาหารบ้านเศรษฐีนี่ รสดีเหมือนเดิม ทานทีไรก็อร่อย ยิ่งแกงเผ็ดนี่อร่อยอย่าบอกใคร ” “ ใช่ ๆ ไม่เหมือนอาหารของชาวบ้านอื่น ๆ มีแต่ผักขม ๆ ทานแล้วก็สากลิ้น ” ความประพฤติของกลุ่มภิกษุสงฆ์กลุ่มนี้ เป็นที่เบื่อระอาของภิกษุสงฆ์รูปอื่น ๆ “ ภิกษุกลุ่มนี้ ช่างไม่สำรวมเสียเลย บริโภคปัจจัยที่มิได้พิจารณาเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับปุถุชนธรรมดา ”
ครั้นเมื่อเข้าธรรมสภาภิกษุอื่นๆ ก็หยิบยกเรื่องนี้มาพูดคุย พระศาสดาทรงทราบเหตุนั้น ตรัสธรรมกถาแก่ภิกษุทั้งหลายโดยปริยายเป็นอันมาก ตรัสถึงโทษในการไม่พิจารณาปัจจัยแล้วใช้สอย “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาภิกษุเมื่อได้รับปัจจัย ๔ แล้ว ไม่พิจารณาบริโภค ไม่ควรเลย เพราะฉะนั้นจำเดิมแต่นี้พวกเธอต้องพิจารณา แล้วจึงค่อยบริโภค
อนึ่งภิกษุในธรรมวินัยนี้พิจารณาโดยแยบคายแล้วจึงใช้สอยจีวรเพื่อต้องการปกปิดอวัยวะที่น่าละอาย การพิจารณาปัจจัย ๔ อย่างนี้แล้วบริโภคย่อมสมควร ขึ้นชื่อว่าการไม่พิจารณาแล้วบริโภคเป็นเช่นกับบริโภคยาพิษที่ร้ายแรงยิ่งใหญ่ ด้วยว่าคนในครั้งก่อนไม่พิจารณา ไม่รู้โทษ บริโภคยาพิษ ผลที่สุดต้องเสวยทุกข์ใหญ่หลวง ” แล้วพระองค์ก็ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาทกดังต่อไปนี้
ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี มีลูกเศรษฐีครอบครัวหนึ่งโปรดปรานการเล่นสกามาก เขาถือเป็นนักเลงสกามือหนึ่งในนครนั้น ในครั้งนั้นผู้คนต่างนิยมเล่นสกากันมาก ไม่ว่าบ้านไหน ๆ ก็จะต้องมีกระดานกับลูกสกาไว้เล่นกันภายในครอบครัว
บางบ้านก็ชวนเพื่อนมาเล่นกันด้วยความสนุกสนาน และหมู่บ้านนั้นจะมีศาลาไว้เพื่อเป็นจุดนัดพบของผู้นิยมเล่นสกา ครั้นเมื่อเล่นในบ้านของตัวเองจนฝีมือเก่งกาจแล้ว บางคนก็มักจะออกมาเล่นกับชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่มีฝีมือไม่แพ้กัน เพื่อจะได้เล่นกันอย่างสนุกสนานมากขึ้นบางคนที่เล่นไม่เก่งก็อาศัยเป็นกองเชียร์ บ้างก็เล่น บ้างก็เชียร์ลุ้นกันไปอย่างสนุกสนาน
“ โอ้ย แพ้อีกแล้ว ข้าว่าข้าฝึกมาดีแล้วนะเนี่ย เล่นกับเจ้าที่ไรต้องแพ้ทุกที เซ็งชะมัด ” “ ฮะ ฮ่า ฮ่า ไม่เป็นไรน่า แก้ตัวใหม่ได้ มาคนต่อไปที่อยากจะแข็งกับเรา มาเลย ” ธรรมเนียมของผู้เล่นในหมู่บ้านนี้เมื่อมีผู้เล่นมากมายไม่พอกับกระดานเล่นสกา ต้องมีการต่อคิวกันเล่น ใครแพ้ก็ลุกออกไปเชียร์ ใครชนะก็อยู่ต่อเล่นกับคนต่อไป ทุกคนเล่นผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ เปลี่ยนกันเล่นเปลี่ยนกันดูไปเรื่อย ๆ
แต่ในหมู่คนดีก็ย่อมมีหมู่คนพาล ในครั้งนี้มีนักเลงสกากลุ่มหนึ่ง นิสัยก้าวร้าว เกเร เมื่ออยากได้อะไรก็จะใช้กำลังบังคับ แม้แต่การเล่นสกากับคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านก็เช่นกัน “ เฮ้ย ลูกพี่ข้าจะเล่นสกา ใครฝีมือไม่ถึงหลีกไปเลย ให้ลูกพี่ข้าเล่นก่อน ”
“ เฮ้ย ลุกไปให้ข้าเล่นก่อน เจ้าลูกเศรษฐีเอาชนะข้าให้ได้สักตาสิ ” “ เจ้ามาแย่งเล่นอย่างนี้ได้ยังไง ข้ารอต่อคิวแต่เช้า เพิ่งจะได้เล่น อยากเล่นก็ไปต่อคิวสิ ” “ เจ้านี่พูดจาตลก ให้คนอย่างข้านี่นะไปเข้าคิว ตลกแล้ว ” “ ไม่เห็นตลกตรงไหน ที่เกลอคนนั้นพูดก็เป็นเรื่องถูกแล้ว ถ้าท่านอยากเล่นก็ต้องรอนะ ”
เมื่อไม่สามารถเกลี้ยกล่อมให้นักเลงสกาผู้นี้ออกไปได้ ลูกเศรษฐีก็จำใจเล่นด้วย เมื่อเล่นกันไปสักพัก นักเลงสกาก็จนมุมไม่ว่าจะพลิกแพลงยังไงก็แพ้ “ ฮะ ฮ่า ฮ่า เป็นยังไงล่ะ เจ้านักเลงกระจอก เอาสิ ไม่ว่าเจ้าจะเล่นไปทางไหนยังไงก็แพ้อยู่ดี ฮ่า ฮ่า ฮ่า ”
“ เอาแล้วไง เตรียมเดินอย่างนี้ แพ้แน่ ๆ พูดอะไรไม่ออกละซิ ” “ เฮ้ย พวกเจ้าเงียบไปเลย ลูกพี่ข้าเสียสมาธิ(Meditation)หมด เกมส์ยังไม่จบสะหน่อยจะมาหาว่าลูกพี่ข้าแพ้ได้ยังไงกัน ”..(ทำยังไงดีว่ะเรา ขืนเล่นต่อไปแพ้แน่ ๆ ไม่ได้เด็ดขาด เราจะมาแพ้ต่อหน้าชาวบ้านพวกนี้ไม่ได้เด็ดขาด เฮ้ย ) นักเลงสกาเมื่อหาวิธีเอาชนะไม่ได้ ก็เอาลูกสกาเข้าไปในปากแล้วกลืนลงไปดื้อๆ
“ เฮ้ย เล่นต่อไม่ได้แล้วโว้ย ลูกสกาขาดไปตัวหนึ่งครั้งนี้ไม่ได้ถือว่าเราแพ้เจ้าหรอกนะ ไปเว้ยพวกเรา ลูกสกาหายเล่นต่อไม่ได้แล้ว อยู่ไปก็เปล่าประโยชน์ ” “ โอ้โห ลูกพี่เรานี่เอาตัวรอดได้เจ๋งจริง ๆ นับถือ ๆ ” “ พวกข้าไม่ได้เล่น พวกเจ้าก็ไม่ได้เล่นเหมือนกัน ฮะ ฮ่า ” เมื่อนักเลงสกากลืนลูกสกาเข้าไป ชาวบ้านที่เหลือก็ขาดลูกสกาเล่นต่อไม่ได้ทุกคนจึงหมดสนุก ต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน วันรุ่งขึ้นลูกเศรษฐีและชาวบ้านคนอื่น ๆ ก็มารวมกลุ่มกัน
ณ ศาลาที่ใช้เล่นสกากันเช่นเคย พวกเขาประชุมกันถึงวิธีจัดการกับนักเลงสกาที่มาก่อกวน “ เจ้านักเลงพวกนั้นเป็นอย่างนี้ทุกที ทำท่าว่าจะแพ้เมื่อไหร่เป็นต้องพาลทำลายข้าวของอย่างนั้นอย่างนี้ ทำให้พวกเราเล่นต่อไม่ได้กันสักที เฮ้ย เจ็บใจจริงๆ ” “ นั้นนะสิ ครั้นจะไม่ให้เล่นก็เกรงว่าพวกลูกสมุนจะเข้ามาทำร้าย ” “ เอาอย่างนี้ไหมพวกเรา หากเมื่อใดที่พวกนักเลงนั้นมาอีก พวกเราก็ปล่อยให้มันเล่นชนะไป เมื่อชนะแล้ว พวกมันคงพอใจแล้วก็กลับกันไปเอง แล้วจากนั้นพวกเราก็ค่อยเล่นกันเหมือนเดิม ”
เมื่อวางแผนกันเป็นที่เรียบร้อย เมื่อกลุ่มนักเลงสกาเดินเข้ามาในศาลาจากที่เคยทำท่าทางรังเกียจ ครั้งนี้ต่างกวักมือเรียกให้มาเล่นกันด้วยความยินดี “ มา มาเล่นด้วยกัน โอ้ย พ่อคุณรอตั้งนานแน่ะ นึกว่าวันนี้จะไม่มาสะแล้ว เราเตรียมที่ไว้ให้เจ้าตั้งแต่เช้าแล้วนะเนี่ย ” ( วันนี้มาแปลกเว้ย ทุกที่ไม่เห็นอยากให้เราเล่นด้วยขนาดนี้เลย ช่างเถอะ )
“ มา มาเล่นกันสักตาสิ ” ลูกเศรษฐีเมื่อได้เล่นสกากับนักเลงสกา ก็เริ่มทำตามแผน ลูกเศรษฐีเริ่มเดินตัวสกาไปเรื่อย ๆ ใกล้แกล้งเล่นเดินผิดเดินถูกให้ตัวเองแพ้ นักเลงสกาเมื่อเห็นว่าตัวเองเป็นต่อก็หัวเราะชอบใจ “ เจ้าลูกเศรษฐี เดินอย่างนี้ก็เสร็จข้านะสิ ฮ่า ฮ่า โอ้ย เด็กจริง ๆ เล่นอย่างนี้ ข้าหลับตาเล่นยังชนะเลย ” นักเลงสกาเมื่อเอาชนะลูกเศรษฐีและชนะคนอื่น ๆ ได้ก็โห่ร้องยินดี ไม่ยอมหยุดเล่นง่าย ๆ เหมือนอย่างแผนที่ลูกเศรษฐีได้วางไว้ ชาวบ้านต่างเบื่อหน่ายเนื่องจากไม่ได้เล่นอย่างสนุกเหมือนที่เคย แถมยังโดนกลุ่มนักเลงสกาต่อว่าเยอะเย้ยก็ยิ่งเจ็บใจ “ ลูกพี่นี่สุดยอดจริง ๆ ฉลาดล้ำเลิศกว่าใคร ๆ ชาวบ้านพวกนี้ก็โง่จริงๆ เลยนะ ไปไถนาสะเถอะไป๊ อย่ามาเล่นสกากับใครเขาเลย ที่นี่เขาให้คนฉลาดได้เล่นกันโว้ย ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่ได้เรื่อง ”
“ เอาไงดีล่ะ มาไม้นี้พวกมันไม่ยอมหยุดเล่นกันแน่ พวกเราเล่นแบบแกล้งยอมแพ้มันก็ไม่สนุก ” “ ก็นั่นนะสิ เจ็บใจจริงๆ เล้ย โดนต่อว่าเสีย ๆ หาย ๆ นี่พวกเราไม่ได้แพ้จริง ๆ สะหน่อย ” “ งั้นเรามาเล่นจริง ๆ กันเถอะ ให้พวกนั้นแพ้สะราบคาบเลย ” ลูกเศรษฐีเมื่อเห็นนักเลงสกาต่อว่าคนโน้นคนนี้ก็ทนดูความยโสนั้นไม่ได้ จึงหวังเอาชนะให้พวกนักเลงนั้นรู้สึกเสียหน้าสักครั้ง “ ท่านผู้ฉลาดกว่าใคร มาเล่นกับเราอีกสักตาเถอะ เราอยากจะฝึกปรือฝีมือกับคนเก่ง ๆ อย่างท่านอีกครั้ง ” “ ในเมื่อเจ้าอ้อนวอนอย่างนั้น เราก็จะเล่นด้วยอีกสักตา แต่เล่นไปก็เท่านั้นเดี๋ยวเจ้าก็แพ้อีก ” “ ไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างนั้นเราก็ยังดีใจที่ได้เล่นกับท่าน ”
เมื่อเล่นกันสักพัก นักเลงสกาก็หน้าเสียเมื่อเกมส์ไม่ง่ายอย่างที่คิด เขาถูกลูกเศรษฐีต้อนจนจนมุม เดินไปทางไหนก็แพ้ นักเลงสกาเริ่มวิตกกังวลทำอะไรไม่ถูกนั่งหน้าเครียดอยู่อย่างนั้น “ ตาท่านเดินบ้างละนะ เอาสิช้าอยู่ใยเล่า ” นักเลงสกาเมื่อจนมุมก็ใช้แผนเดิม เอาลูกสกาเข้าปากแล้วแกล้งปัดกระดานจนพลิกคว่ำ ลูกสกาหล่นลงบนพื้นกระจัดกระจาย “ อ้าว ลูกสกาหายไปไหนตัวหนึ่งเนี่ย ช่วยกันหาหน่อย อ้าวตายล่ะ มือเผลอไปโดนกระดานเข้า ตาย ตาย ตาย จำไม่ได้แล้วสิว่าตัวเล่นอยู่ตรงไหนบ้าง ” ชาวบ้านต่างรู้ว่านั้นเป็นแผนของนักเลงสกาที่ไม่ยอมแพ้ลูกเศรษฐี แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ทุกคนต่างระอากับพฤติกรรมของกลุ่มนักเลงนั้น แล้วก็พากันกลับบ้านไป “ เอ้ เราจะหาวิธีอะไรมาสั่งสอนเจ้านักเลงนี่ดีนะ แกล้งแพ้ พวกมันก็ได้ใจกันยกใหญ่ จะเล่นให้ชนะ มันก็ต้องแกล้งกลืนลูกสกาทำให้พวกเราเล่นกันต่อไม่ได้ทุกที เออจริงสินะ อยากกลืนลูกสกาดีนัก จะใช้แผนนี้แหละ ” ลูกเศรษฐีเอาลูกสกาทั้งหมดที่ใช้เล่นในหมู่บ้านมาชุบยาพิษอย่างแรง จากนั้นก็นำไปตากแดด แล้วก็นำมาชุบใหม่ แล้วก็เอาตากแดด
ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง จนลูกสกานั้นมีพิษร้ายแรงเคลือบอยู่หนาเตอะ เมื่อเตรียมลูกสกาอาบยาพิษไว้เรียบร้อย ลูกเศรษฐีก็ไปยังศาลาที่ใช้เล่นสกาดังเดิม เขานัดแนะแผนการนี้กับกลุ่มเพื่อนชาวบ้านที่เล่นสกาด้วยกัน “ เราได้ชุบยาพิษไว้ที่ลูกสกาแล้ว หากเจ้านักเลงนั่นเอาลูกสกาเข้าปากอีก เป็นต้องโดนพิษเจ็บปวดครวญครางแน่ คราวนี้คงจะกำราบพวกมันได้สะที ” เหตุการณ์ทั้งหมดเป็นไปตามแผน
นักเลงสกาเข้ามาก่อกวนและเล่นสกาดั่งเช่นเคย ครั้งนี้มันก็ถูกต้อนให้จนมุม ( หึ หึ ดูสิว่าคราวนี้ เจ้าจะแกล้งเอาลูกสกาใส่ปากอีกหรือเปล่าบุรุษกลืนลูกสกาอันเคลือบยาพิษอย่างแรงยังไม่รู้ตัว ดูก่อนเจ้าคนร้าย เจ้านักเลงชั่ว จงกลืนเข้าไปเถอะ ภายหลังผลร้ายจะมีแก่เจ้า) นักเลงสกาเมื่อเห็นว่าตนจะต้องแพ้แล้วแน่ ๆ ก็ทำตามแผนเดิม หยิบลูกสกาใส่ปาก คราวนี้เป็นลูกสกาที่อาบยาพิษไว้อย่างร้ายแรง
ทันใดที่ลูกสกานั้นเข้าไปในปาก เขาก็ถูกพิษนั้นแทรกซึมลงไปถึงกระเพาะ รู้สึกปวดแสบปวดร้อนทรมานอย่างเป็นที่สุด “ โอ้ย ปวด ปวด ปวด โอ้ยทรมานเหลือเกิน ลูกสกานั้นมีอะไรเคลือบอยู่ ทำไมเราปวดอย่างนี้นะ ” “ อ้าว นี่ท่านกลืนลูกสกาเข้าไปรึ โธ่เอ้ย ท่านไม่รู้ไงว่ามันมีพิษลูกสกาเขาเอาไว้เล่น ท่านจะกลืนไปทำไมล่ะ คราวนี้เจ้าคงจะเข็ดหลาบแล้วสินะ ”
ขณะที่ลูกเศรษฐีกำลังพูดอยู่ด้วยกำลังของยาพิษ เจ้านักเลงนั้นในตากลับ คอตก ล้มฟาดลง ลูกเศรษฐีเห็นดังนั้นก็คิดว่าควรจะให้ชีวิตเป็นทานแม้แก่เขา จึงให้ยาสำรอกที่ปรุงด้วยโอสถจนสำรอกออกมา และให้กินเนยใส น้ำอ้อย จากนั้นนักเลงสกาก็ได้สติฟื้นขึ้นมา เมื่อนักเลงสกาฟื้นคืนได้สติ ก็สำนึกในความผิด ลูกเศรษฐีสั่งสอนให้เขาเลิกทำกรรมชั่ว
จากนั้นนักเลงสกาก็เลิกเป็นคนพาล กระทำบุญ มีทาน ไปตามยถากรรม พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายขึ้นชื่อว่าการไม่พิจารณาแล้วบริโภคย่อมเป็นเช่นกับการบริโภคยาพิษอันตนเคยกระทำไว้ แล้วทรงประชุมชาดกว่า
ลูกเศรษฐีผู้เป็นบัณฑิตในกาลนั้น ได้มาเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า