อรรถกถา ธังกชาดก
ว่าด้วย การร้องไห้ไม่มีประโยชน์
ณ พระวิหารเชตวัน "นมัสการพ่ะย่ะค่ะพระศาสดา กระหม่อมนำของหอมและดอกไม้มาถวายพระองค์ เนื่องจากหม่อมฉันได้ออกจากห้องขังแล้ว เพราะพระราชารู้ความจริงว่าไม่ได้กระทำความผิดอย่างที่ขุนนางฝั่งตรงข้ามกล่าวอ้าง จึงสั่งให้ปล่อยตัวกระหม่อมออกมา โชคดีจริงๆเลยนะขอรับ ที่กระผมนั้นติดคุก เลยมีเวลานั่งภาวะนา"
“ท่านอำมาตย์ สิ่งที่ท่านเอ่ยถึงนั้นคือความโชคร้าย ซึ่งไม่มีใครที่อยากประสบพบเจอ เพราะเหตุใดท่านถึง ตอบว่าเป็นสิ่งที่ดีล่ะ” “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะการถูกขังครั้งนี้ทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสนั่งภาวนาจนบรรลุโสดาปัตติมรรคบัง”
"ดูก่อนอุบาสก มิใช่แต่ท่านเท่านั้น แม้ในอดีตบัณฑิตทั้งหลายก็เป็นเช่นท่านเหมือนกัน" จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตเล่าให้ฟัง
ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดเป็นพระโอรสของพระเจ้าพรหมทัตซึ่งมีพระนามว่า ฆฏกุมาร เมื่อเติบใหญ่ ทางพระเจ้าพรหมทัตได้ส่ง ฆฏกุมาร เข้าเรียนศาสตร์และศิลปะด้านต่างๆเพื่อปูทางสำหรับการขึ้นเป็นกษัตริย์ในอนาคต เมื่อเวลาผ่านไปพระโพธิสัตว์เรียนศาสตร์ด้านต่างๆจนกระทั่งจบการศึกษา จากนั้นไม่นานจึงได้ขึ้นครองราชย์ เนื่องจากพระองค์นั้นเป็นกษัตริย์ที่ปกครองโดยธรรม ส่งผลให้บ้านเมืองนั้นเจริญก้าวหน้า ประชาชนมีกินมีใช้ ไม่อดอยาก ทางสำนักพระราชวังจึงเก็บภาษีได้เป็นกอบเป็นกำ จนกระทั่งมีอำมาตย์คนหนึ่งดันเข้าไปเห็นทรัพย์สินของพระโพธิสัตว์เข้า จึงเกิดความละโมบ อยากได้สมบัติ จึงพยายามประทุษร้ายหวังยึดครองตำแหน่งของพระองค์ แต่ก่อนที่จะได้ลงมือดันถูกจับได้เสียก่อน จึงถูกจับขังรอการพิจารณาโทษ จนกระทั่งวันที่พิจารณาคดีมาถึง
"หม่อมฉันไม่ได้ทำอะไรเลยกระหม่อมถูกใส่ร้าย" อดีตอำมาตย์พยายามแก้ต่างให้ตนพ้นผิด "แล้วสิ่งนี้คืออะไร" พระโพธิสัตว์หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา ก่อนเปิดอ่านข้อความในนั้น "อาทิตย์หน้าเริ่มลงมือได้เลย นี่คืออะไรท่านอำมาตย์ ! " พระโพธิสัตว์ถามเสียงเข้ม อดีตอำมาตย์ถึงกับนิ่งอึ้ง ดวงตาคู่เรียวเล็กถึงกับเบิกกว้าง ใบหน้าซีดเผือด "พูดมาสิ นี่คืออะไร!" ไม่มีคำตอบใดหลุดออกมาแม้แต่น้อย พระโพธิสัตว์ที่กำลังจ้องมองไปยังชายตรงหน้า ถอนหายใจออกมาเสียงดัง ก่อนหันไปทางทหารคู่ใจ "เนรเทศออกจากเมืองไปซ้ะ"
"พระองค์อย่าไล่หม่อมฉันเลย..ยย ได้โปรดยกโทษให้เถิดจากนี้ไปกระหม่อมจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว" อดีตอำมาตย์ร้องคร่ำครวญอ้อนวอน ขณะเดียวกับทหารที่จับเข้าที่เเขนทั้งสองข้าง ฉุดกระชากลากถูกับพื้นห้อง "ฮึกๆ" "ได้โปรด อย่าทำอย่างนี้เลยให้หม่อมฉันรับใช้พระองค์ต่อเถิด" เสียงโวยวายยังคงดังก้องไปทั่วท้องพระโรง อดีตอำมาตย์พยายามขืนตัว ไม่ให้ตัวไหลไปตามแรงลากจูง ฝ่ายพระเจ้าฆฏะ ทอดพระเนตรภาพเบื้องหน้าก่อนเอ่ย " ทุกอย่างนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย เมื่อตัดสินใจเลือกเเล้วต้องรับผลของที่จะตามมาด้วย"
และแล้วอดีตอำมาตย์ก็ถูกทหารลากออกมาจากเมืองได้สำเร็จ "เดินเร็วๆๆหน่อยสิ แค่นี้ทำเป็นสำออย" ก่อนจะผลักให้ล้มลงกับพื้น "ไปโว้ย!!!กลับกันเถอะ คนชั่วๆ ส่งแค่นี้พอแล้ว" ก่อนจะหันหลังเดินจากไป ชายกลางคนใช้มือยันพื้น ค่อยๆพยุงตัวให้ยืนขึ้นพร้อมปัดฝุ่นที่เปื้อนกางเกง “ซวยชะมัด....พระราชารู้ได้ไงว้ะ” ก่อนจะถมน้ำลายลงพื้น “ชิ! คอยดูนะข้าผู้นี้นี่แหละจะทำให้กษัตริย์พาราณสีสยบอยู่ใต้แทบเท้าของข้า” “ฮ่าๆ” ก่อนจะเงยหน้าขึ้นฟ้า หัวเราะอย่างสะใจ
จากนั้นอดีตท่านอำมาตย์จึงออกเดินทางตรงไปยังเมืองสาวิถีทันทีระหว่างทางก็พยายามคิดหาทางแก้เเค้นกษัตริย์เมืองพาราณสีไปด้วย ก่อนจะขอเข้าเฝ้าพระเจ้าธังกราช ณ ท้องพระโรง “ท่านอดีตอำมาตย์มีเรื่องอันใดหรือ ทำไมมาถึงที่นี่” “ กระหม่อมมีเรื่องสำคัญที่จะแจ้งพระองค์ " "ว่ามา” "พาราณสีกำลังจะยกทัพมาตีเมืองสาวิถี" "หืม..ท่านพูดจริงหรือ " "พะย่ะค่ะ" พระราชาเมืองสาวิถีมีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด "ขอข้าพิจารณาก่อน ขอบใจท่านมาก" ก่อนจะทรงเอ่ยกับองครักษ์ประจำพระองค์ว่า "ช่วยหาที่พักให้กับแขกของข้าด้วย"
จากนั้นเป็นต้นมาพระราชาเมืองสาวิถีจึงเริ่มปรึกษาเรื่องต่างๆ กับอดีตอำมาตย์ วันหนึ่งขณะที่พระเจ้าคันธาน อยู่ที่ลานกว้าง “ข้าจะยกทัพไปตีเมืองพาราณสี” "ไปเมื่อไหร่หรือพระเจ้าข้า" อดีตอำมาตย์เอ่ย "สักอาทิตย์หน้า ชิงตัดหน้าก่อนที่เมืองพาราณสีจะยกทัพมาที่เมืองของข้า"
สองอาทิตย์ต่อมา กองทัพขนาดใหญ่เคลื่อนเข้าประชิตเมืองพาราณสี “เฮ้ยนั้นกองทัพมาจากที่ไหน” เหล่าทหารที่เฝ้าประตูเมือง เห็นกองทัพขนาดใหญ่ใกล้เข้ามาถึง “ รีบไปส่งข่าวถึงพระราชาเร็ววววว”
“ถวายบังคมพะยะค่ะ แย่แล้วตอนนี้มีข้าศึกจากต่างเมืองยกกองทัพตรงมาทางเมืองของเรา” “เจ้าพูดจริงรึ” พระโพธิสัตว์มีสีหน้าเคร่งเครียด “พ่ะย่ะค่ะ” “จัดเตรียมกองทัพด่วน รวบรวมอาวุธกระสุนปืนใหญ่ให้ได้มากที่สุด!” เหล่าทหารต่างลุกฮือ รีบกระวีกระวาดจัดเตรียมบรรดาอาวุธต่างๆ แต่ช้าไปเสียแล้ว กองทัพจากเมืองสาวิถีนั้นบุกเข้ามาล้อมกำแพงเมืองได้ทั้งหมด
“บัดซบเอ้ย... ไม่ทันแล้ว” เสียงอุทานจากทหารเฝ้าตรวจตราดังขึ้น แม้ตนพยายามจะส่งข่าวให้พระราชาของตนให้เร็วที่สุด
ปังๆ ปังๆ เสียงลูกกระสุนปืนใหญ่ที่ถูกยิงด้วยเครื่อง ลอยขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะตกลงกระทบเข้ากับกำแพงสูงที่ตั้งตระหง่านล้อมรอบเมืองพาราณสีดัง ตู๊มมมมม! ผนังหนาแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ เหล่าทหารกล้าผู้เคราะห์ร้าย ปลิวไปตามแรงกระแทก ก่อนจะตกลงยังพื้นเบื้องล่าง กระดูกในร่างแหลกละเอียด เลือดสีแดงสดไหลออกมาอย่างน่าสยดสยอง แม่ทัพก้มมองลูกน้องของตน ที่ตอนนี้ได้สิ้นชีพไปแล้ว “กล้าดียังไง มาทำร้ายลูกน้องของข้าาาาา !” สายตาอาฆาตหันขวับไปยังกองทัพศัตรู พร้อมกับตะโกนก้อง “ไอ้บ้าเอ้ย อย่าอยู่เลยยย” “พลธนูยิง..งง” ลูกธนูนับหมื่น พุ่งตรงไปยังกองทัพศัตรูทันที เหมือนกับฝนห่าใหญ่ ที่ตกมาจากท้องฟ้า ก่อนจะปักเข้าที่เหล่านักรบแนวหน้า ปั๊ก ปั๊ก ปั๊ก เลือดสีแดงสดไหลออกจากบาดแผล อ้ากกกก เสียงร้องจากความเจ็บปวดดังกึกก้อง ก่อนทหารนับพันจะล้มลงกับพื้น แต่กระนั้นก็ไม่สามารถหยุดทหารฝั่งตรงข้ามได้ ทั้งหมดยังคงวิ่งตรงไปที่กำแพงเมือง พร้อมด้วยอาวุธเพื่อใช้สำหรับ ทะลุทะลวงผ่านกำแพงที่ตั้งตระหง่านได้
“สงครามเริ่มแล้วสินะ” พระโพธิสัตว์ที่ทอดพระเนตรผ่านกำแพงแกร่ง ที่กำลังฉายภาพการบาดเจ็บล้มตายของเหล่าทหารกล้าที่ลูกธนูจากฝั่งพาราณสี พุ่งตรงเข้าหาศัตรูรอบแล้วรอบเล่า ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงแม้แต่น้อย
ด้านกองทัพเมืองสาววิถี ต่างบุกตะลุยเข้าโรมรันทหารนับหมื่นวิ่งกรูเข้าใกล้กำแพงเมืองอย่างบ้าคลั่ง พร้อมด้วยบันไดขนาดใหญ่ พยายามพาดเข้ากับกำแพงสูงตระหง่าน เพื่อปีนข้ามผ่านกำแพงหนา “โครม” บันไดอันแล้วอันเล่าถูกทหารฝังพาราณสีผลักออกล้มระเนระนาด จนหล่นทับทหารผู้เคราะห์ร้ายไปหลายคน แต่กระนั้นก็ไม่อาจต้านทานได้ เมื่อมีอันหนึ่งที่สามารถ ลำเลียงทหารฝั่งศัตรูขึ้นมาบนกำแพงสูงได้
ดาบสีเงินเล่มใหญ่ตะหวัดเข้าที่ร่างทหารพาราณสีอย่างจัง คมมีดทะลุชุดเกราะเข้าไปกรีดเนื้อของนักรบผู้โชคร้าย อ้ากกกกกก ก่อนที่เลือดจะกระเซ็นสาดจนเปรอะเปื้อนไปทั่ว “โป้นนนน” เสียงแตรเป่าดังลั่น เป็นสัญญาณว่าทหารของฝั่งศัตรูได้บุกเข้ามาในเมืองแล้ว
อีกฟากฝั่งหนึ่ง ประตูเมืองกำลังจะพังลง ปัง! ปัง! ปัง! เสียงท่อนไม้ขนาดใหญ่ กระทบเข้ารอบแล้วรอบเล่า และแล้วสิ่งที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้นก็ปรากฏ ประตูที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างดี กำลังจะพังลง ครืนนนน ประตูที่ทุกคนในเมืองเชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดบัดนี้ได้เปิดออกเพราะน้ำมือศัตรู เหล่าทหารพาราณสีกำดาบสีเงินเล่มยาวแน่น ฝั่งสาวิถีต่างพากันกรูกันเข้ามาพร้อมกับเสียงตะโกนลั่น เหมือนจงใจให้ข่มขวัญคู่แข่ง และแล้วเสียงจากพระโพธิสัตว์ก็ดังขึ้น “จับอาวุธให้มั่น แล้วปกป้องเมืองของเราซ้ะ”
ก่อนจะควบม้าวิ่งตะบึง เข้าสู่ฝูงชนอย่างไม่เกรงกลัว เคร็ง!..เสียงดาบปะทะกัน ดังอย่างต่อเนื่อง เหล่าทหารกล้าเข้าโรมรันอย่างไม่มีทีท่าจะเหน็ดเหนื่อย มีด หอกแหลมพุ่งเข้าหาศัตรูของตนครั้งแล้วครั้งเล่า ทหารศพแล้วศพเล่า ล้มลงอย่างกับใบไม้ร่วงเลือดสีแดงไหลอาบทั่วพื้นพสุธา กลิ่นกลิ่นคาวคละคลุ้งชวนให้สะอิดสะเอียน แต่กระนั้นก็หามีใครหาสนใจไม่
ทหารฝั่งพาราณสีถูกสังหารจากฝ่ายศัตรู จนลดน้อยถอยลง "ฝั่งของเราเสียเปรียบ" คำตอบที่แล่นเข้ามาในหัว "ถอยยยยย! " เสียงตะโกนก้องจากองค์กษัตริย์ ก่อนที่ทุกคนจะหลบเข้าฐานที่มั่น
"สู้ต่อไปคงจะไม่มีประโยชน์แล้ว" พระโพธิสัตว์เอ่ย "แต่ว่ากระหม่อมยินดีสละชีวิตเพื่อถ่วงเวลาให้พระองค์หนีไป" แม่ทัพคู่ใจเอ่ย "หยุดเถิด ท่านอย่าทำเช่นนั้นเลยผู้คนจะล้มตายมากขึ้น เพราะข้าคนเดียวอย่างนั้นหรือ ทหารให้ม้าเร็วไปส่งข่าวว่า ข้าจะมอบตัว!"
ณ ลานกว้างหน้าพระราชวัง ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยซากศพที่กำลังนอนเกลื่อนกลาด อดีตอำมาตย์จากเมืองพาราณสี มีสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความยินดีขณะมองตรงมายังที่พระโพธิสัตว์ ซึ่งบัดนี้กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าตน สลับกับสีหน้าของพระเจ้าฆฏะที่ยังคงมึนงงปนสงสัย ก่อนที่จะไตร่ตรองได้ "ทุกอย่างที่เกิขึ้นเพราะชายคนนี้เองสินะ" และแล้วพระราชาเมืองสาวิถีจึงกล่าวขึ้น "ฮ่าๆ กล้าหาญดีนี่ที่เลือกเช่นนี้ ทหาร! จับกษัตริย์เมืองพาราณสีไปเข้าคุกเดี๋ยวนี้"
จากนั้นเป็นต้นมาพระโพธิสัตว์ใช้เวลาที่อยู่ในคุกนั่งภาวะนาเรื่อยมา จนกระทั่งฌานได้บังเกิดขึ้น วันหนึ่งขณะที่พระเจ้าธังกราช ได้เข้าเยี่ยมพระเจ้าฆฏะ ทรงเห็นใบหน้างดงามผ่องใส มีออร่าเหมือนนักบุญ ต่างจากนักโทษทั่วไปจึงเกิดความสงสัย
"ทำไมถึงท่านยังมีพระพักตร์ผ่องใสไม่โศกเศร้า ทั้งที่เสียทุกอย่างไป แล้วยังถูกตราหน้าว่าเป็นกษัตริย์ผู้อ่อนแอ"
"สิ่งที่ท่านเอ่ยถึงนั่นคืออดีต ซึ่งนั้นก็ผ่านไปหลายปีแล้วถึงแม้จะพยายามไขว่คว้าอยากให้เป็นเช่นเดิมแต่ก็ทำไม่ได้ แล้วจะมัวเศร้าโศกอยู่ทำไมทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าผลเป็นเช่นไร ถ้าลองเอาใจมาไว้กับปัจจุบัน ท่านก็จะพบกับความสุขเช่นกระหม่อมตอนนี้"
พระเจ้าธังกราช ได้ฟังเช่นนั้นเกิดความเลื่อมใสก่อนฉุกคิดขึ้นมาได้ หรือสิ่งที่เราได้ยินมาจากอดีตอำมาตย์อาจไม่ใช่ความจริง
จากนั้นจึงได้มอบสมบัติคืนให้กับพระโพธิสัตว์ ฝ่ายพระฆฏะมอบราชสมบัติแก่อำมาตย์ทั้งหลาย แล้วไปยังหิมวันตประเทศ บวชเป็นฤาษี
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า
พระเจ้าธังกราชในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระอานนท์
ส่วนพระเจ้าฆฏราชได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล