อรรถกถา นังคุฏฐชาดก
ว่าด้วย บูชาไฟด้วยหางวัว
ณ พระเชตวันมหาวิหาร "นมัสการพระคุณเจ้า" "ท่านมีอะไรหรือภิกษุ คือกระผมมีเรื่องสงสัยขอรับ ทางด้านหลังของวิหาร มีนิกายชีวกซึ่งผู้คนที่อยู่ในลัทธินั้นบำเพ็ญไม่ถูกต้อง แล้วอย่างนี้จะได้กุศลหรือพระเจ้าข้า?"
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย "กุศลนั้นย่อมไม่เกิดกับผู้ปฎิบัติไม่ถูกต้องหรอก" ก่อนนำเรื่องราวในอดีตมาเล่าให้ฟังมีดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดในสกุลอุทิจจพราหมณ์ ในวันที่คลอดบุตรทุกอย่างในคฤหาสน์ "พระอัคคี ขอโชคอำนวยอวยชัยแก่ภรรยาของกระผมด้วยเถิด" "อุแว้ๆ" ก่อนประตูจะเปิดขึ้น "ลูกของท่านปลอดภัย" ก่อนผู้เป็นสามีจะหันกลับหาพระอัคคี "ขอบคุณมากที่ช่วยให้ลูกปลอดภัย"
ครั้นเมื่อพระโพธิสัตว์เติบโตขึ้นจึงได้เข้าเรียนที่เมืองตักกสิลาจนกระทั่งจบการศึกษาจากนั้นจึงเดินทางกลับบ้านเกิดของตน คืนวันนั้นเอง ขณะที่ทั้งสามร่วมโต๊ะทานอาหารด้วยกัน คนเป็นแม่ได้เอ่ยกับลูกชายว่า “ลูกเอ๋ย เจ้าอยากใช้ชีวิตแบบไหนต่อจากนี้ ถ้าอยากครองเรือน จงเรียนพระเวททั้งสามหรือถ้าอยากไปพรหมโลก จงถือไฟเข้าป่าแล้วดูแลให้สว่างไสวตลอดเวลา" ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ก่อนเอ่ย "ผมไม่ต้องการอยู่ครองเรือน"
เช้าวันต่อมา "พ่อแม่ครับ ผมขอกราบลาท่านทั่งสอง" คนเป็นแม่ทรุดตัวลงกับพื้นใช้มือลูบหัวลูกชายอย่างเบามือ ก่อนจับเข้าไปที่ใบหน้าของลูกชาย "ตั้งใจบูชาพระอัคคีนะลูก" "ครับท่านเเม่" จากนั้นจึงหยิบไม้คบเพลิงเดินเข้าป่าไป
หลายปีต่อมา วันหนึ่งขณะที่พระโพธิสัตว์เดินบิณฑบาตรในหมู่บ้านแถวเขตชายป่า "ขอนมัสการพระคุณเจ้า" "กระผมขอถวายโคเนื้อตัวนี้แด่ท่าน" "ขอบใจท่านมาก" จากนั้นพระโพธิสัตว์ได้รับโคของชาวบ้าน ก่อนพาตรงไปยังอาศรมที่ตั้งอยู่กลางป่า ระหว่างทางพระโพธิสัตว์มีความคิดว่า “เราจะให้พระอัคคีฉันเนื้อโคนี้ แต่เอ๊ะ! ที่อาศรมนั้นไม่มีเกลือ พระอัคคีฉันเนื้อที่ไม่มีรสชาติไม่ได้ด้วยสิ เราไปหาเกลือมาดีกว่า"
ก่อนที่พระโพธิสัตว์จะผูก โคไว้กลางทางพร้อมย้อนกลับไปยังหมู่บ้านเพื่อหาเกลือ ขณะนั้นพระโพธิสัตว์เดินจากไป ขณะเดียวกันมีพรานกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา "เฮ้อ วันนี้โชคร้ายจัง ยังยิงสัตว์ไม่ได้เลย" "ข้าก็เช่นกัน" เพื่อนพรานที่เดินมาด้วยกันสำทับ แต่ในขณะนั้น "เฮ้ย ดูนั่นโคเนื้อยืนอยู่กลางป่า" "เฮ้ยเอ็งล้อเล่นกับข้าหรือ" ก่อนที่จะใช้มือฟาดเข้าไปที่ท้ายทอยแบบเต็มเเรง "โอ้ย...ใครล้อเล่นกัน" "ดูนั่นสิ" ก่อนจะชี้ไม้ชี้มือไปทางที่มี โคเนื้ออยู่ ก่อนเพื่อนจะหันไปตามมือที่เพื่อนพรานด้วยกัน "เออจริงด้วย" "ลาบปากพวกเราแล้ว" ก่อนที่จะเดินตรงไปยังโคเนื้อผู้โชคร้าย
กองไฟที่ถูกสุมโดยใช้กิ่งไม้แห้งเป็นเชื้อเพลิงถูกจุดขึ้น กลุ่มนายพรานกำลังย่างเนื้อกินอย่างเอร็ดอร่อย ด้านพระโพธิสัตว์เดินกลับเข้าไปหมู่บ้านอีกครั้ง "พระคุณเจ้าท่านต้องการสิ่งใด ถึงย้อนกลับมาอีกครั้ง" "เราต้องการเกลือท่านพอมีไหม"
จากนั้นพระโพธิสัตว์เดินถือเกลือห่อใหญ่กลับเข้าไปในป่าอีกครั้ง ด้านกลุ่มนายพราน "ข้าอิ่มแล้ว ไปกันเถอะตอนนี้ก็บ่ายแล้วถ้าช้ากว่านี้คงถึงบ้านตอนมืดแน่" จึงพากันเดินออกไป ทิ้งไว้เพียงหางและหนังไว้ เวลาผ่านไปครู่หนึ่งพระโพธิสัตว์เดินมาถึงที่ตนผูกโคไว้ ภาพเบื้องหน้าเศษหนังที่ถลกออก กระดูกที่ถูกขูดเนื้อจนหมด ไม่เหลือที่จะเอามาแปรรูปได้ "ปุ๊..." เกลือในถุงหลุดจากมือ "ใครกันที่ทำเช่นนี้ เฮ้อโคเนื้อของท่านยังมีสภาพเเบบนี้เลย เเล้วเราจะรอดหรือ " ก่อนจะก้มลงหยิบเศษซากที่ตกอยู่บนพื้น คงไม่มีประโยชน์แล้วที่จะบูชาไฟ
จากนั้นจึงหยิบ หางวัวขึ้นพร้อมรำพึงรำพัน "ข้านั้นหมดสัทธาในตัวท่านแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ท่านไม่สามารถรักษาหรือปกป้องของถวายได้ เนื้อไม่มีแล้ว จงยินดีเพียงเท่านี้เถิด” ก่อนจะโยนหางวัวเข้าไปในกองไฟ
"ไฟไม่ใช่ผู้ดี ที่เราบูชาเจ้าด้วยหางแม้เท่านี้ก็มากไปแล้ว วันนี้เนื้อไม่มีสำหรับเจ้าผู้ชอบเนื้อ ท่านอัคคีจงรับเอาแต่เพียงหางเถิดนะ"
พระโพธิสัตว์กล่าวจบก่อนเอาน้ำดับไฟ บวชเป็นฤๅษีบำเพ็ญภาวะนาจนได้อภิญญาและสมาบัติ
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
ดาบสผู้ดับไฟเสียในครั้งนั้น ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.