ชาดก 500 ชาติ รวมนิทานชาดกพร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ชาดก 500 ชาติ : ชาดก 500ชาติรวมชาดก 500 ชาติพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ชาดก คือ เรื่องราวหรือชีวประวัติในอดีตชาติของพระโคตมพุทธเจ้า คือ สมัยที่พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่ พระองค์ทรงนำมาเล่าให้พระสงฆ์ฟังในโอกาสต่าง ๆ เพื่อแสดงหลักธรรมสุภาษิตที่พระองค์ทรงประสงค์ เรียกเรื่องในอดีตของพระองค์นี้ว่า ชาดก ชาดกเป็นเรื่องเล่าคล้ายนิทาน บางครั้งจึงเรียกว่า นิทานชาดก

ชาดก 500 ชาติ :: อรรถกถาปรันตปชาดกว่าด้วย ลางบอกความชั่วและภัยที่จะมาถึง

อรรถกถา ปรันตปชาดก

ว่าด้วย ลางบอกความชั่วและภัยที่จะมาถึง


https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif                  ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชย์สมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เกิดในพระครรภ์ของพระอัครมเหสี เมื่อพระองค์เติบโตขึ้น ทรงศึกษาศิลปะแขนงต่างๆที่นครตักกสิลา จนกระทั้งจบการศึกษา จากนั้นได้เดินทางกลับมายังเมืองของตน องค์กษัตริย์ได้แต่งตั้งพระโอรสไว้ในตำแหน่งอุปราช ถึงแม้พระองค์ประทานให้ก็จริง แต่ในใจลึกๆแล้ว อยากจะฆ่าลูกชายของตนทิ้งเสีย

 
https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif                   คืนหนึ่งในวันที่พระจันทร์เต็มดวง ณ ศาลาซึ่งอยู่ข้างๆปราสาทบรรทมของพระโพธิสัตว์ มีชายไร้บ้าน นอนคุดคู้อยู่บนที่นั่งที่มีลักษณะเป็นแนวยาว ถัดไปไม่ไกลมีแม่สุนัขจิ้งจอกและลูกน้อยทั้งสองที่พึ่งมุดตัวขึ้นมาจากท่อด้านใต้ศาลากำลังนั่งสนทนากันอยู่ "แม่จ้าหนูหิวข้าว วันนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย" ผู้เป็นลูก
โอดครวญ "ชู่..เงียบๆไว้ รออีกเดี๋ยวแม่จะคาบ รองเท้าตรงศาลามาให้เจ้ากิน"

 

                  ขณะเดียวกันพระโอรสทรงประทับอยู่ในปราสาทตรงห้องบรรทม บังเอิญได้ยินเข้า "สุนัขจิ้งจอกนี้จะขโมยรองเท้าของชายไรบ้านงั้นหรือ ถ้าเขาตื่นมาไม่เจอรองเท้าคงแย่" ก่อนจะเปิดหน้าต่างออก พร้อมกับตะโกนเรียกคนที่อยู่เบื้องล่าง "ที่ศาลามีคนอยู่ไหม" "มีพระเจ้าข้า" "รองเท้าของเจ้าอยู่ไหน" "อยู่ที่พื้น พระเจ้าข้า" "ยกขึ้นมาแขวนไว้เถิด" "พะย่ะค่ะ" ขณะเดียวกันแม่สุนัขจิ้งจอกนั่งดูเหตุการณ์อยู่รู้สึกไม่พอใจ แต่เจ้าตัวนั้นไม่สามารถทำอะไรได้เพียงได้แค่บอกลูกของตน "เจ้าทั้งสองอดทนหน่อยนะ อาหารมื้อนี้คงจะไม่ได้กินแล้วแม่จะพยายามหาให้ใหม่"



https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif                 ในวันรุ่งขึ้นบริเวณศาลาตั้งอยู่ใกล้กับปราสาทตรงห้องบรรทมของพระโอรส ได้มีชายคนหนึ่งเดินทางผ่านมาพอดี แต่น้ำที่เขาเตรียมมานั้นดันหมดกะทันหัน ด้วยที่เจ้าตัวหิวน้ำจึงเดินลงไปในสระ แต่แล้วเหมือนโชคชะตาเล่นตลกชายหนุ่มลื่นตกลงไปในน้ำ ก่อนจะเสียชีวิตลงในที่สุด ซึ่งเป็นเวลาพอดีกับสุนัขจิ้งจอกสามแม่ลูก เห็นเหตุการณ์เข้า ลูกน้อยทั้งสองจึงร้องเรียกมารดาของตน "แม่หนูหิว" "อดทนอีกหน่อยนะลูกแม่ ตอนนี้ศพนั่นจมลงใต้น้ำ เมื่อร่างลอยขึ้นมาเจ้าจะกินได้เลย" "ครับ" ลูกทั้งสองตอบรับคำสั่งของคนเป็นแม่ทันที ขณะที่กลุ่มสุนัขจิ้งจอกกำลังนั่งรอมื้ออาหารอันโอชะอยู่นั้นเอง    

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%871.jpg          

                  "แอ๊ดดด" เสียงเปิดหน้าต่างดังขึ้น "บนศาลามีใครไหม?" "พะย่ะค่ะ" "มีคนตายอยู่ในสระน้ำข้างๆศาลา เจ้าเอาทรัพย์ที่ติดตัวคนตายไปได้เลยนะแต่ช่วยเอาหินถ่วงศพให้ลอยขึ้นมาได้ไหม มันอุจาดตา" "ได้กระหม่อม" เมื่อแม่สุนัขที่รออยู่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ถึงกับไม่พอใจ ก่อนจะจ้องมองไปยังที่หน้าต่างที่พระโพธิสัตว์ยืนอยู่ พร้อมขู่คำราม "ท่านนี่ใจร้ายใจดำจริงๆ เมื่อคืนลูกข้าจะกินรองเท้า ท่านก็บอกให้เอาขึ้นไปไว้ที่สูง วันนี้ลูกข้าจะกินศพ ท่านให้คนถ่วงน้ำ เรื่องแค่นี้ยังไม่ให้ลูกของข้ากินเลย จากนี้อีกสามวันพระเจ้าสมันตราช จะนำกองทัพมาล้อมพระนครไว้ พระราชบิดาจะส่งท่านไปรบ ในที่สุดท่านต้องตายเพราะศัตรู ศีรษะของท่านจะหลุดออกจากร่าง รับรองได้ว่า ข้าแม่สุนัขจิ้งจอกจะเป็นผู้ดื่มเลือดของท่านเอง" เจ้าตัวคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว ก่อนจะพาลูกทั้งสองเดินออกไป

 

                  และแล้วคำสาปแช่งของแม่สุนัขจิ้งจอกก็เป็นจริง สามวันต่อมามีทหารนายหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบ มายังท้องพระโรงที่พระราชาเมืองพาราณสีประทับอยู่  "แย่แล้ว แย่แล้ว พระองค์" "มีอะไรทำไมต้องตะโกนโวยวาย" "มะ..มีกองทัพมาล้อมเมืองของเราไว้พะย่ะค่ะ" "ห้ะ เจ้าพูดจริงรึ" "พะยะค่ะ" ใบหน้าคมเข้มฉายแววความหนักใจก่อนจะทรงรับสั่ง ให้ทหารประจำพระองค์ไปตามบุตรชายของตนมา 

 

                  ครั้นเมื่อพระโอรส มาถึง "ท่านพ่อมีเรื่องอะไร ทำไมถึงเรียกผมมากะทันหันเช่นนี้" "พอดีพ่อมีเรื่องอยากจะขอให้เจ้าช่วย" "เรื่องอะไรหรือครับ" "ตอนนี้เมืองของเรากำลังตกอยู่ในอันตราย มีข้าศึกบุกมาล้อมเมือง เจ้าจงออกไปต่อสู้ครั้งนี้" "เพราเหตุใดท่านถึงให้หม่อมฉันออกรบ ซึ่งหน้าที่นี้คนที่เหมาะสมที่สุดคือพระองค์ไม่ใช่หรือ" "ลูก...เจ้าพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก เพราะตำแหน่งของเจ้านั้นคืออุปราชไม่ใช่หรือ" พระโอรสถึงกับชะงัก

 

            ภาพเมื่อสามวันที่แล้วโผล่เข้ามาในหัวของพระองค์ "ศีรษะของท่านนั้นจะขาดออกจากลำตัว หรือว่าเรื่องที่เจ้าสุนัขจิ้งจอกพูดนั่นจะเป็นเรื่องจริง" "ว่าอย่างไรลูก" พระราชาเอ่ยถามย้ำ เรียกให้บุตรชายออกจากภวังค์ "กระหม่อมขอไม่ออกไปรบได้ไหม" "ไม่ได้!นี่คือคำสั่งของคนเป็นพ่อ" "ลูกกลัวอันตราย" พระโอรสพยายามอ้อนวอน "เอาน่าช่วยพ่อหน่อย " ในเมื่อพระโอรสไม่สามารถตอบปฏิเสธพ่อของตนได้จึงต้องรับอย่างจำยอม

 

                 "ก็ได้พะย่ะค่ะ กระหม่อมจะรับอาสาออกรบแทนพระองค์" "ดีมากลูก" ในคืนหนึ่งที่มืดสนิท มีคบไฟดวงเล็กหลายดวงกำลังปรากฏขึ้นอยู่บริเวณรอบๆกำแพงหิน "แอ๊ดดด" เสียงประตูเหล็กดังขึ้น ประตูลับทางด้านข้างพระราชวังถูกเปิดออก พร้อมด้วยกองกำลังทหารค่อยๆทยอยกันออกมา "พวกเจ้าค่อยๆออกไปซุ่มตามป่าละเมาะก่อนแล้วค่อยวางแผนกันอีกที" "พะย่ะค่ะ" ด้านพระราชาเมืองพาราณสี เมื่อเห็นลูกชายพากองกำลังทหารออกไปด้านอกพระราชวังเรียบร้อยแล้ว ได้เรียกปุโรหิตประจำพระองค์มาเข้าเฝ้า

 

                  ณ ห้องโถงพระโรง "ท่านปุโรหิตเราหนีกันเถิด ข้าคิดว่าศึกครั้งนี้บุตรชายน่าจะพ่าย" ก่อนที่พระราชาจะหันหน้ามาทางท่านปุโรหิตพร้อมกับเอ่ยว่า "ท่านจะเอายังไงจะไปกับข้าหรือตายอยู่ที่นี่" พราหมณ์วัยกลางคนนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ "ไปกระหม่อม" "ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัว เก็บของให้เรียบร้อยก่อนจะหนีออกนอกเมือง"


https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif                   เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน หลังจากผู้เป็นพ่อและกลุ่มคนหนีออกไปแล้ว ไม่นานทหารนายหนึ่ง เข้าไปกราบทูลพระโอรสให้ทรงทราบ ว่าพระราชาได้เดินทางออกจากวังไปเรียบร้อยแล้ว "อย่างนั้นหรือ" ใบหน้าของพระองค์นั้นมีความกังวลเล็กน้อย ก่อนตรัส "ช่างเถิด เราคงไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว นอกจากสู้" พร้อมหันหน้าไปทางแม่ทัพก่อนเอ่ย "เราจะทำอย่างไรกันดีท่าน"ไม่ต้องห่วงพะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะพยายามเต็มที่" วันต่อมา "พระโอรสถ้าเราดำเนินแผนการตามที่กระหม่อมวางไว้ กองทัพของเมืองเรามีสิทธิที่จะชนะได้" "อย่างนั้นหรือช่วยอธิบายให้ข้าฟังที"

 

                  ในคืนต่อมา พระจันทร์ส่องแสงสีทองอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสีดำ มีกลิ่นลมหนาวพัดโชยชวนให้ผู้คนรู้ว่าฤดูหนาวกำลังจะเข้ามาถึง ต้นไม้โบกพลิ้วไหวไปมาตามแรงลมเล็กน้อย "คืนนี้เงียบสงบจริงๆเลย" หนึ่งในทหารฝั่งศัตรู ที่ตอนนี้กำลังนั่งผิงกองไฟเล็กๆ อยู่หน้าเรือนเก็บอาวุธทางทหารทั้งหมดเอ่ย "นี่ก็สี่วันแล้วยังไม่เห็นฝั่งนั้นทำอะไรเลย" "ข้าเห็นด้วย สงสัยกลัวจนขี้หดตดหายหมดแล้วมั้ง" "น่าจะใช่" "ฮ่าๆ" "ข้าว่านะเจ้าพวกนั้นอาจจะกำลังคิดแผนหนีก็ได้"

 

                   ด้านทหารฝั่งพาราณสีที่แอบซุ่มอยู่ด้านหลังพุ่มซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ได้ยินการสนทนาทั้งหมดถึงกับเอ่ย "หน๊อย...! เจ้าพวกนั้นช่างปากกล้าจริงๆ จะถึงที่ตายอยู่แล้ว ยังไม่เจียมตัวอีก" "ใจเย็นก่อน" "รอสัญญาณแล้วค่อยสะสางทีเดียว" และแล้วเวลาที่ทหารฝั่งพาราณสีรอคอยก็ดังขึ้น เสียงปืนดังแสงไฟสว่างวาบท่ามกลางความมืดมิด "เอ้ยนั้นมันคืออะไร"

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%872.jpg

         

                "ปู้นนนนนน" เสียงแตรดังลั่น เหล่าทหารต่างพากันวิ่งกรูเข้าโรมรันฝั่งศัตรู ดาบสีเงินแวววับที่บัดนี้สว่างโล่ด้วยไฟโลกันตร์ ที่ห่อหุ้มดาบเหล็กกล้าไว้ กระโจนเข้าฟาดฟันศัตรูอย่างบ้าคลั่ง "เอ้ย! ไปเผาอาวุธของพวกมันซ้ะ" "ได้ขอรับ รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน" ใบหน้าเหี้ยมที่บัดนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายบ่งบอกว่าตนนั้นพอใจอย่างยิ่ง เพลิงสีแดงลุกโหมกระหน่ำ ธนู ลูกไฟ ถาโถมไปยังที่มั่นศัตรูอย่างจัง สั่งผลให้กองทัพที่ล้อมรอบเมืองพาราณสีบัดนี้กลายเป็นทะเลเพลิง ไปมากกว่าครึ่ง ในเวลาอันรวดเร็ว

 

                  หน๊อย....! พระเจ้าสมันตราช ผู้ที่พึ่งตื่นขึ้น กำลังจ้องมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเจ็บแค้น "เอาดาบมาให้ข้า" ก่อนประกาศเสียงกร้าว "ทหารทั้งหลายตามข้ามา เราจะบุกตะลุยผ่านกองเพลิงไปฆ่าศัตรูซ้ะ" 

 

                  แต่แล้วไม่ว่าพระเจ้าสมันตราชจะพยายามสู้ต่อกับศึกครั้งนี้เพียงใด แต่เนื่องจากที่พัก อาวุธ ทั้งหมดถูกเผาราบเป็นหน้ากองจนในที่สุดพระองค์ก็ไม่สามารถต้านทานไว้ได้จึงล่าถอยยกทัพกลับเมืองของตน เมื่อสงครามจบลง พระโอรสเมืองพาราณสีได้สถาปนาตน ขึ้นเป็นพระราชาปกครองเมืองพาราณสีคนต่อไป

 

                  ฝ่ายพระบิดาเมื่อหนีออกมาจากเมืองได้แล้ว จึงสร้างศาลาขนาดเล็ก ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสายหนึ่ง ทรงดำรงชีพโดยเก็บผลไม้ ประทังชีวิต ปรันตปะหนึ่งในทาสที่ติดตามคณะพระราชามาด้วย กำลังถวายผลไม้ป่าแด่พระมเหสี ซึ่งตอนนี้ตั้งท้องอยู่ "ผลไม้กระหม่อม" ทาสหนุ่มค่อยๆคลานเข่าเข้าไปยังแคร่ไม้ที่พระพระมเหสีทรงประทับอยู่ "ขอบใจมาก" "หม่อมฉันไปก่อนนะพะย่ะค่ะ" "เดี๋ยวก่อน!" เจ้าช่วยขยับเข้ามาใกล้ข้าหน่อยได้ไหม" ทาสหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย มือที่เรียวงามจับไปที่คางชายหนุ่มให้เงยหน้าขึ้น สายตาร้อนแรงจ้องมองไปยังทาสหนุ่ม "ช่วยป้อนผลไม้ให้ข้าที" "ขอรับ" จากนั้นผลไม้ที่ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ ถูกหยิบโดยมือหยาบกร้าน "อื้มอร่อยจังเลย" หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทาสหนุ่มแอบมีความสัมพันธ์กับพระมเหสี อย่างลับๆ

 

                  เย็นวันหนึ่งขณะที่ทาสหนุ่มพลอดรักกับพระเทวีอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ที่ไม่ไกลจากแม่น้ำมากนัก "ปรันตปะข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อย" "อะไรหรือขอรับ" "คือ...." "คืออะไรหรือกระหม่อม" พระเทวีหลุบตาต่ำก่อนจะเงยขึ้นสบดวงตาคู่คมของชู้รัก "เจ้ารักข้าไหม" "โถเรื่องแค่นี้เอง" "รักสิกระหม่อม" ริมฝีปากบางยิ้มออกมาอย่างพอใจ ก่อนจะเอ่ยตอบชายหนุ่ม "ข้าก็รักเจ้าเช่นกัน" "แต่ว่า" "แต่ว่าอันใดหรือท่านหญิง" ทาสหนุ่มเอ่ยถาม "มีสิ่งหนึ่งที่ข้ากังวล ถ้าสามีข้าจับได้ เราสองคนคงถูกฆ่าเป็นแน่" ปรันตปะหยุดชะงักไปครู่หนึ่งเหมือนสำนึกได้ว่าไม่ควรเล่นในสิ่งนี้ "แล้วจะให้ทำอะไรเล่า" ชั่วอึดใจพระมเหสีก็เอ่ยขึ้น "ปลงพระชนม์ไง" "แต่...." ชายหนุ่มมีสีหน้าลังเลหญิงสาวเมื่อเห็นเช่นนั้นก็จึงจับเข้าไปที่แก้มทั้งสองข้าง จ้องมองลึกเข้าไปในดวงตา พร้อมกลับเอ่ย "ทำเพื่อเราทั้งสองนะคะท่านพี่"  

 


               เมื่อทาสหนุ่มรับปากพระมเหสีเรียบร้อยแล้ว จึงคิดหาทางวางแผนเพื่อกำจัดขวากหนามที่คอยขัดขวางความรักของเขา วันหนึ่ง ณ ริมแม่น้ำ ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวพระราชาปาดเหงื่อที่ไหลลงมาที่หน้าผาก  "ปรันตปะข้าว่าจะอาบน้ำเสียหน่อย เจ้าถือขันและผ้าผลัดตามมานะ" "พะย่ะค่ะ" ก่อนที่พระราชาจะมุ่งหน้าสู่แม่น้ำสายใหญ่ ในขณะเดียวกันท่านปุโรหิตกำลังนั่งอยู่บนกิ่งไม้ ใช้มืออันเหี่ยวกร้านเก็บผลไม้ ลูกแล้วลูกเล่า ใส่กระสอบที่ตนพกมา ซึ่งตำแหน่งที่ตนอยู่นั้นคือเหนือหัวของพระราชาพอดี  แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

 

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%873.jpg

     

                 ดาบสีเงินวาววับถูกดึงออกมาจากที่ซ่อน ดวงตาคู่คมจ้องมองไปยังเป้าที่ ก่อนค่อยๆเข้าประชิด ใช้มือคว้าไปที่หัว แล้วใช้ดาบฟันฉับเข้าไปที่คอ จนศีรษะขาดกระเด็นตกลงในแม่น้ำ ด้านท่านปุโรหิตที่อยู่บนต้นไม้ใหญ่ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอย ที่มักจะสงบเยือกเย็นเสมอ กลับเป็นสีหน้าหวั่นวิตก แต่ก่อนที่เสียงอุทานจะดังขึ้น มืออันหยาบกร้านยกขึ้นปิดปากของตนเป็นสัญญาณว่า ห้ามให้บุรุษที่มีนามว่าปรันตะ ได้ยินเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นตนอาจจะถึงแก่ความตาย ก่อนที่จะพยายามลงจากกิ่งไม่ใหญ่ แต่เรื่องที่ไม่คาดฝันมักเกิดขึ้นได้เสมอ เท้าของท่านปุโรหิตดันไปเหยียบเข้ากับกิ่งไม้จนไหวยวบ ด้านทาสหนุ่ม หันมาทางที่กิ่งไม้ไหวโยก "ทำไมกิ่งไม้ถึงสั่น ตอนนี้ก็ไม่มีลมหรือจะเป็นลิง" ทาสหนุ่มพยายามมองหาที่มา แต่ก็พบแค่เพียงความว่างเปล่า

 

                 "ช่างเถอะ" ก่อนที่ปรันตปะ จะใช้มีดที่ตนเตรียมมาหันไปที่ร่างกายของพระราชาออกเป็นชิ้นๆ แล้วฝังกลบให้เรียบร้อย เย็นวันเดียวกัน "อ้าวท่านปุโรหิต" "ทำไมท่านถึงเป็นเช่นนั้นล่ะ" "กระหม่อมเข้าไปเก็บผลไม่ในป่า ข้าพระองค์ได้ยืนอยู่ที่ข้างจอมปลวกมีอสรพิษตัวหนึ่งพ่นพิษใส่ตา พะย่ะค่ะ" "อ้อ เช่นนั้นหรือ" "สงสัยปุโรหิตนี้แยกไม่ออกระหว่างเรากับพระราชา ดีเหมือนกันจะได้ทำอะไรสะดวกหน่อย"


https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif              ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทาสปรันตปะคอยดูแลท่านปุโรหิตเป็นอย่างดี จนเวลาล่วงเลยไป จนพระราชเทวีทรงประสูติพระโอรสขึ้น เลี้ยงดูจนพระองค์เติบโต เช้าวันหนึ่งพระราชเทวีเอ่ยถามปรันตปะเบาๆ ว่า "วันที่ปลงพระชนม์ ไม่มีใครหรือ? ไม่น่ามีนะ แต่แปลกคือกระหม่อมเห็นกิ่งไม้โยก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคนหรือสัตว์" "อย่างนั้นหรือ" ฝั่งปุโรหิตที่นอนอยู่อีกฟาก ถลึงตาขึ้นกลางความมืดมือหยาบกร้านกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนได้แต่เจ็บแค้นในใจ "สักวันเถิดแกจะต้องรับกรรม"
https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif 
https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif               ในเวลาต่อมา เมื่อพระราชกุมารมีพระชนมายุได้ ๑๖ ชันษา วันหนึ่งท่านปุโรหิตเฒ่าชวนพระโอรสเดินไปที่ท่าน้ำ ก่อนที่พระกุมารทรงถือไม้ก่อนยื่นด้านปลายให้ท่านปุโรหิตจับไว้ จากนั้นทั้งสองเดินเข้าไปที่ท่าน้ำ "ถึงแล้วที่ท่านอยากมา" "อย่างนั้นหรือพะยะค่ะ" ก่อนที่พระกุมารจะหันมาทางชายแก่ "อ้าวเกิดอะไรขึ้นท่านตาบอดไม่ใช่หรือ" "ความจริงแล้วดวงตานั้นไม่ได้บอด กระหม่อมใช้อุบายนี้รักษาชีวิตไว้ ท่านรู้จักบิดาของท่านไหม?" "ท่านปรันตปะไง"  "คนๆนั้นไม่ใช่บิดาของท่าน แต่บิดาของท่านจริงๆ นั้น คือเจ้าเมืองพาราณสี คนๆนั้นเป็นทาส คบชู้กับพระมเหสี จากนั้นจึงได้ลงมือสังหารพระราชา ก่อนที่จะนำร่างฝังไว้ที่ตรงนี้"

 

               เมื่อพระกุมารได้ทราบความจริง ถึงกับโกรธจนเลือดขึ้นหน้า "หน๊อยยย ปรันตปะ กล้าดียังไงมาทำเช่นนี้กับพ่อของข้า" พระกุมารสถบอย่างโกรธเกี้ยว "เราจะทำอย่างไร?" ปุโรหิตจึงทูลว่า พระองค์ต้องศึกษาเรื่องการต่อสู้ต่างๆไม่ว่าจะเป็นการใช้ดาบและการต่อสู้ "ได้ข้าจะเรียน" 

 

                 หลังจากที่พระโอรสฝึกเรียบร้อยแล้ว จนกระทั่งผ่านไปหลายวัน "ไปอาบน้ำเถิดพ่อครับ" "ดีเลย" ก่อนคนผู้พ่อจะเดินตามลูกของตนไป ณ ท่าอาบน้ำ ปรันตปะเดินนำลูกชายของตนลงไปในน้ำ พร้อมทั้งหันหลังให้กับลูกชาย ขณะนั้นเอง พระราชกุมารหยิบดาบขึ้น มืออีกข้างจับไปที่มวยผมแล้วตรัสว่า "เจ้าจับผมของพ่อแล้วใช้มีฟันที่คอ วันนี้ข้าจะทำอย่างที่เจ้าเคยทำ" ดาบสีเงินวาววับถูกตวัดไปที่คอปรันตดัง "ฉับบบบบ"

       

                  ศรีษะที่เต็มไปด้วยผมสีดำ ค่อยๆเคลื่อนตกลงจากบ่า เลือดสีแดงสดไหล่ท่วมแม่น้ำจนแดงฉาน จากนั้นพระโอรสจึงนำร่างที่ไร้วิญญาณขุดหลุมฝั่งจนเรียบร้อย ก่อนกลับไปหาปุโรหิต "ปรันตะตายแล้ว" จากนั้นพระองค์ทรงเดินไปหาพระมารดาของตน

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%874.jpg

 


https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif                จนในที่สุดทั้งสามก็หารือกันจนได้ข้อสรุปว่าจะเดินทางกลับพาราณสี  จากนั้นพระราชาทรงประทานตำแหน่งอุปราชแก่น้องชาย แล้วทรงบำเพ็ญบุญทรงสร้างทางสวรรค์ให้เต็มที่

 

           ณ เหตุการณ์ปัจจุบัน  พระศาสดากำลังนั่งสนทนากับกลุ่มภิกษุสงฆ์ เรื่องพระเทวทัต "ไม่ใช่ชาตินี้เท่านั้นที่พระเทวทัต ตามจองล้างจองผลาญแต่ในอดีตนั้นก็เช่นกันแต่ก็ไม่อาจทำให้เราสะดุ้งได้แม้แต่นิดเดียว และสุดท้ายพระเทวทัตนั้นก็แพ้ภัยคนเอง"


https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gif               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจธรรมทั้งหลายแล้ว ทรงประชุมชาดกไว้ว่า


https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gifพระราชาผู้เป็นบิดาในครั้งนั้น ได้แก่ พระเทวทัต ในครั้งนี้
https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gifปุโรหิตได้แก่ 
พระอานนท์
https://84000.org/tipitaka/atita100/space1.gifส่วนพระราชบุตร ได้แก่ เราตถาคต ฉะนี้แล.

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

* * ชาดก 500 ชาติ แนะนำ * *

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล