อรรถกถา ตุณฑิลชาดก
ว่าด้วยธรรมเหมือนน้ำ บาปธรรมเหมือนเหงื่อไคล
มีชายหนุ่มเมืองสาวัตถีอยู่ผู้หนึ่งได้ออกบวช แต่กระนั้น เขายังมีความกลัว ต่อความตาย ซึ่งเรื่องเหล่านี้ได้กลายเป็นหัวข้อในการ สนทนาของภิกษุกลุ่มหนึ่งเข้า ซึ่งขณะนั้นพระศาสดาทรงผ่านมาพอดี
จึงตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรกัน ภิกษุทั้งหลายจึงเล่าเรื่องที่ตนกำลังสนทนาให้ฟัง "ดูก่อนภิกษุ เธอกลัวตายจริงหรือ?" เมื่อภิกษุนั้นทูลรับว่า "ถูกแล้วพระเจ้าข้า" ไม่เฉพาะในปัจจุบันนี้เท่านั้น แม้ในชาติก่อน ภิกษุนี้ก็กลัวตายเหมือนกัน แล้วได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดขึ้นในท้องของแม่สุกร จนกระทั่งคลอดลูกออกมาสองตัว
ในวันหนึ่ง แม่หมูพาลูกทั้งสองมานอนในหลุม ขณะนั้นได้มีหญิงชรา ที่กำลังกลับจากเก็บฝ้าย เดินผ่านมาพอดี เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเข้า จึงเกิดความกลัวขึ้น ทิ้งลูกทั้งสองแล้ววิ่งหนีเข้าป่าไป
ด้านหญิงชรา เดินมาจนถึงหลุมที่มีลูกหมูสองตัวนอนอยู่พอดี "โอ๊ะ" เสียงร้องตกใจดังขึ้น "เกือบเหยียบแล้วไหมล่ะ เจ้ามาจากไหนกัน ทำไมมานอนอยู่กันสองตัวแบบนี้" หญิงชราเอ่ยขึ้น พร้อมกับใช้สายตากวาดมองหาผู้เป็นแม่ แต่ก็ไม่มีวี่แววแม้แต่น้อย "เจ้าสองตัวถูกแม่ทิ้งหรือเนี่ย งั้นมาอยู่ด้วยกันดีกว่า" จากนั้นหญิงชราได้อุ้มลูกหมูทั้งสองใส่ตระกร้า ที่เต็มไปด้วยฝ้าย แล้วเดินกลับไปยังบ้านของตน
เมื่อถึงบ้าน หญิงชราตั้งชื่อให้หมูทั้งสองว่า มหาตุณฑิละ(ผู้พี่) จุลตุณฑิละ(ผู้น้อง) ด้วยที่เจ้าตัวนั้นไม่มีลูกจึงเลี้ยงหมู ทั้งสองเหมือนลูกแท้ๆของตน
ในเวลาต่อมาเมื่อทั้งคู่เติบใหญ่ มีร่างกายอ้วนท้วนสมบูรณ์ ชาวบ้านจึงเริ่มทาบทาม เรื่องขายหมูสองตัวให้กับพวกเขา แต่ด้วยความรัก นางจึงปฏิเสธเรื่อยมา
จนกระทั่งคืนหนึ่งในวันมหรสพ มีพวกนักเลงสุรา กำลังครึกครื้น นั่งกินกับแกล้มกันเกลี้ยงจาน จนมีคนนึงในกลุ่มเอ่ยขึ้น "เฮ้ย ไปหาเนื้อมาอีกสิ" ด้านอีกคนตอบกลับว่า "จะไปหาที่ไหนได้ ก็ตอนนี้ที่มีมันหมดแล้ว" ด้วยความอยาก ทั้งหมดเลยช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรดี "ได้ยินว่าที่บ้านของหญิงชราที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน แกเลี้ยงหมูไว้สองตัว อ้วนใหญ่กำลังดีเลยลูกพี่" "จริงหรือว้ะ" "ใช่ครับ" "ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปที่บ้านยายกันเถิด" จากนั้นเหล่านักเลงสุราต่างพากันเดินตรงไปยังบ้านของหญิงชรานั้นทันที
ณ บ้านเป้าหมาย "คุณยายครับพวกเราขอซื้อหมูตัวหนึ่งได้ไหม" ด้านหญิงชรายังคงปฏิเสธ "ขายไม่ได้หรอก หมูสองตัวนั้น ยายเลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก รักเหมือนลูกเหมือนหลาน"
แม้พวกนักเลงจะอ้อนวอนขนาดไหน ก็ไม่อาจทำให้ใจของหญิงชราอ่อนลงได้แม้แต่น้อย เมื่อไม่ได้ผล นักเลงเหล่านั้นจึงบังคับให้หญิงชราดื่มเหล้าที่ตนถือมา
เมื่อยายเมาแล้ว เหล่านักเลง ก็ถามกับแกอีกรอบว่า "ยายช่วยขายหมูให้ได้ไหม" ก่อนจะวางเงินไว้ในมือหญิงชรา
หญิงชรารับเงินเอาไว้ ก่อนเอ่ย "หลาน ยายไม่อาจจะให้สุกรชื่อมหาตุณฑิละได้ พวกแกจงพากันเอาจุลตุณฑิละไป" "แล้วหมูตัวที่ยายเอ่ย มันอยู่ที่ไหนละ?" "ที่กอไม้กอโน้น" หญิงชราตอบ "งั้นยายเรียกให้พวกผมหน่อย" "เจ้าพวกนั้นจะมาก็ต่อเมื่อมีอาหารในราง" ก่อนยายจะยื่นมือไปข้างหน้า "ค่าอาหารหมูพวกเธอต้องจ่ายมาด้วย" พวกนักเลงเองก็ยอมจ่ายแต่โดยดี หญิงชรารับเอาค่าอาหารนั้น จัดซื้อข้าว เทให้เต็มรางที่วางไว้ใกล้ประตู แล้วได้ยืนอยู่ใกล้ๆ นักเลงที่ถือบ่วงในมือ
จากนั้นหญิงชราได้เรียกลูกของตนว่า "ลูกจุลตุณฑิละมากินข้าวมา" มหาตุณฑิละได้ยินเสียงนั้นแล้วรู้ว่า จะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ก่อนหน้านี้แม่ไม่เคยเรียกจุลตุณฑิก่อนตน
จากนั้นก็หันไปคุยกับน้องชาย "วันนี้คงจะเกิดเหตุไม่ดีกับพวกเราทั้งสองแน่" "อย่างนั้นน้องเดินออกไปแอบดูก่อนนะ ว่าข้างนอกเป็นยังไง" จากนั้นหมูผู้น้องก็เดินไปทางกอไผ่ แล้วแอบอยู่หลังต้นไม้
ภาพเบื้องหน้า มีเหล่านักเลงยืนถือบ่วงเชือกพร้อมกับแม่ ยืนอยู่ข้างๆ จุลตุณฑิละก็รู้ได้ทันทีว่า วันนี้เราตายแน่ จึงหันกลับ ตัวสั่นเทาไปหาพี่ชาย
มหาตุณฑิละเห็นเขาแล้วจึงถามว่า " ทำไมเจ้าสั่นแบบนี้ เห็นอะไรมา เล่าให้พี่ฟังได้ไหม" "วันนี้แม่ให้ข้าวสวย แล้วมีคนถือบ่วงยืนอยู่ข้างๆ เมื่อก่อนมักให้ข้าวต้มที่ปรุงด้วยรำข้าวหรือไม่ก็ข้าวตังแก่พวกเรา ตอนนี้รางอาหารเต็มไปด้วยข้าวสวยล้วนๆ"
หมูผู้พี่ได้ฟังดังนั้นแล้วก็พูดว่า "น้องจุลตุณฑิละเอ๋ย ธรรมดาแม่ของเรา เมื่อเลี้ยงสุกร ย่อมเลี้ยงเพื่อประโยชน์กันทั้งนั้น น้องอย่าคิดมากเลย"
จากนั้นมหาตุณฑิละ รำลึกถึงบารมีทั้งหลาย แล้วทำเมตตาบารมีให้ถือกำเนิดขึ้น พร้อมยกบทแรกขึ้นมาเป็นตัวอย่าง เสียงนั้นดังก้องไปทั่วพาราณสี ที่กว้างยาวทั้งสิ้น ๑๒ โยชน์ พระราชาเมืองพาราณสีและชาวเมือง ต่างพากันตามหาที่มาของเสียง
ด้านนักเลงสุราก็พากันทิ้งบ่วง แล้วยืนฟังธรรม ด้านหญิงชราหายเมาเป็นปลิดทิ้ง มหาสัตว์ได้กล่าวปรารภเทศนาแก่จุลตุณฑิละท่ามกลางมหาชน
จุลตุณฑิละ หันไปถามพี่ชาย "ห้วงน้ำอะไรหนอที่ไม่มีโคลนตม? อะไรที่เรียกว่าเหงื่อไคล? อะไรที่เรียกว่าเครื่องลูบไล้?กลิ่นอะไรไม่ขาดหายมาแต่ไหนแต่ไร?"
พระมหาสัตว์ได้ยินคำตอบนั้นแล้ว จึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น เธอจงฟังนะ "ห้วงน้ำคือพระธรรมไม่มีโคลนตม บาปเรียกว่าเหงื่อไคลและศีลเรียกว่าเครื่องลูบไล้ แต่ไหนแต่ไรมา กลิ่นของศีลนั้นไม่ขาดหายไป
เหล่าชนผู้ไม่รู้ ผู้ฆ่าสัตว์กินเป็นปกติ จะเพลิดเพลินใจ ส่วนผู้รักษาชีวิตสัตว์ ไม่ฆ่าสัตว์เป็นปกติ จะไม่เพลิดเพลินใจ เมื่อวันเดือนเพ็ญมีพระจันทร์เต็มดวงแล้ว เหล่าชนผู้รื่นเริงใจอยู่เท่านั้น จึงจะสละชีพได้"
"บัณฑิตในสมัยก่อนทั้งหลายเรียกบาปว่าเป็นเหงื่อไคล เพราะเป็นเช่นกับเหงื่อไคล ก็บาปนี้นั้นมีอย่างเดียวคือกิเลสเครื่องประทุษร้ายใจ"
"บาปมีมากอย่าง คือ อกุศลธรรมทั้งหลายที่ทรงจำแนก คือ ราคะ โทสะ โมหะ ศีลไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ ศีล ๑๐ น้องเอ๋ย บัณฑิตทั้งหลายเรียกศีลนี้ว่าเป็นเสมือนเครื่องลูบไล้"
"กลิ่นของศีลนั้น ไม่ขาดหายแผ่ไปทั่วโลก หอมยิ่งเหล่าดอกไม้ทั้งหลาย"
"คนผู้ไม่มีความรู้ทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อฆ่าสัตว์จนเพลิดเพลิน ประพฤติกรรมนี้ จะทำให้ไปเกิดในนรก และกำเนิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ถึงแม้จะเกิดเป็นมนุษย์ก็จะมีอายุน้อย"
"คนโง่ย่อมสำคัญบาปว่าเป็นเหมือนน้ำผึ้ง ตลอดเวลาที่บาปยังไม่ให้ผล แต่เมื่อใดบาปให้ผล เมื่อนั้นคนโง่ก็จะเข้าถึงทุกข์"
"เธออย่าเศร้าโศก อย่าร้องไห้ ขึ้นชื่อว่าความตายไม่ใช่เฉพาะเราเท่านั้น แม้สัตว์ที่เหลือทั้งหลายก็มีความตาย"
มหาสัตว์แสดงด้วยเสียงอันไพเราะด้วยพุทธลีลาอย่างนี้แล้ว ชุมนุมชนมีการปรบมือและเสียงสาธุการดังก้องไปทั่วฟากฟ้า
พระเจ้าพาราณสีทรงบูชาพระโพธิสัตว์ด้วยราชสมบัติ ประทานยศแก่หญิงชรา ทรงรับเอาสุกรทั้ง ๒ ตัวไว้ ทรงให้อาบด้วยน้ำหอม ให้ห่มผ้า ประดับแก้วมณีที่คอ แล้วทรงนำเข้าไปสู่พระนคร สถาปนาไว้ในตำแหน่งราชบุตร ทรงประคับประคองด้วยบริวารมาก
พระโพธิสัตว์ได้ให้ศีล ๕ แก่ข้าราชบริพาร ชาวนครพาราณสีและชาวกาสิกรัฐพากันรักษาศีล ๕ ศีล ๑๐ ทุกคน ฝ่ายมหาสัตว์ได้แสดงธรรมแก่ชนเหล่านั้นทุกวันปักษ์ นั่งในที่วินิจฉัยศาลพิจารณาคดี เมื่อมหาสัตว์นั้นยังมีชีวิตอยู่ ขึ้นชื่อว่าการโกง ไม่มีแล้ว
ในกาลต่อมาพระราชาสวรรคต ฝ่ายมหาสัตว์ให้ประชาชนถวายพระเพลิงพระสรีระพระองค์ แล้วให้จารึกคัมภีร์วินิจฉัยคดีไว้แล้วบอกว่า ท่านทั้งหลายต้องดูคัมภีร์นี้พิจารณาคดี แล้วแสดงธรรมแก่มหาชน
โอวาทด้วยความไม่ประมาทแล้วเข้าป่าไปพร้อมกับจุลตุณฑิละ ทั้งๆ ที่คนทั้งหมดพากันร้องไห้และคร่ำครวญอยู่นั่นเอง โอวาทของพระโพธิสัตว์ครั้งนั้น เป็นไปถึง ๖ หมื่นปี
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ แล้วทรงประชุมชาดกไว้ ในที่สุดแห่งสัจจธรรม ภิกษุผู้กลัวตายนั้นดำรงอยู่แล้วในโสดาปัตติผล.
พระราชาในครั้งนั้น ได้แก่ พระอานนท์ ในบัดนี้
จุลตุณฑิละได้แก่ ภิกษุผู้กลัวตาย
บริษัทได้แก่ พุทธบริษัท
ส่วนมหาตุณฑิละ คือ เราตถาคต ฉะนี้แล.