วารสารอยู่ในบุญ ธรรมะออนไลน์

พระธรรมเทศนา ปุจฉา-วิสัชนา บทความข่าว ผลการปฏิบัติธรรม ตักบาตรพระ บาลีน่ารู้ กฏแห่งกรรม ฝันในฝัน บวชพระ

บทความอยู่ในบุญ จุดเปลี่ยนชีวิต "เธอ...ให้ตัดสินใจใหม่ ก่อนที่ใครคิดจะทำอาชีพนี้" โดย ธัน ธนวรรธ

 

จุดเปลี่ยนชีวิต
โดย ธัน ธนวรรธ

บันทึกเรื่องราวของชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จากการมาวัดพระธรรมกาย

             ความจน มหันตภัยแห่งห้วงวัฏฏะ ที่ทำให้หลายชีวิตต้องดิ้นรน กดดัน ให้ต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำหลายอย่าง เพื่อให้ได้มาซึ่งเงิน แล้วเปลี่ยนเป็นปัจจัยในการอยู่รอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตของผู้หาเช้ากินค่ำ การมีเงินเก็บก้อนใหญ่ๆ เพื่อสำรองไว้ในเวลาฉุกเฉินนั้น จึงเป็นสิ่งที่ยาก ดังนั้นในภาวะร้อนเงิน ทางออกที่นิยมใช้วิธีหนึ่งคือ "การกู้"

             ..การกู้ พวกเขาเหล่านี้มักจะเลี่ยงการกู้จากธนาคาร เพราะเขาจนเกินกว่าจะมีหลักทรัพย์สำหรับยื่นเพื่อค้ำประกัน หรือจะหาคนเต็มใจมาค้ำประกันก็คงยาก ดังนั้นวิธีการที่ง่ายที่สุดก็คือ ใช้เงินกู้นอกระบบ จากผู้ที่ดำรงชีพออกเงินกู้ ซึ่งดอกเบี้ยจะแพงกว่าปกติ เพราะเจ้าหนี้ต้องเสี่ยงต่อการมีหนี้สูญนั้นสูง แต่ลูกหนี้ก็นิยม เพราะสะดวกต่อการต่อรองเอาเงินมาใช้ได้ง่ายกว่า และสามารถผัดผ่อนการใช้คืนด้วยคำพูดในกรณีไม่มีจริงๆ ว่าจะจ่ายแค่ดอกก่อน หรือเงินต้นก่อนก็ได้ ซึ่งแล้วแต่ความเห็นใจของเจ้าหนี้ หรือมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันโดยส่วนตัว แต่ถ้าเจ้าหนี้คนนั้นเป็นเศรษฐีเงินกู้ดอกเบี้ยโหด ที่ไม่มีการลดหย่อนผ่อนปรนล่ะ อะไรจะเป็นผลพวงที่ตามมา..??

             ความกลัวการสูญเสีย และความอยากได้คืนในทรัพย์ ก็จะเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นตามระยะเวลาที่ลูกหนี้ยืดเยื้อออกไป การประนีประนอมเริ่มหมดลง การขู่ การด่าด้วยคำที่หยาบคายและรุนแรง การจ้างนักเลงไปรุมซ้อม การทำร้ายร่างกาย หรือแม้แต่การฆ่ากันก็เกิดขึ้นมามากแล้วในวงการนี้ ---หรือไม่ไช่..?

             และผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ ความเดือดร้อนที่เพิ่มขึ้นของผู้ยากไร้ คำวิงวอนที่พรั่งพรูออกมาจากสภาวะกดดัน ซึ่งถูกแปรเปลี่ยนเป็นความคับแค้น ความลนลาน พร้อมกับการหลั่งรินของน้ำตา..การด่ากลับให้โกรธ ถึงขั้นลงมือทารุณกรรม และที่เลวร้ายที่สุดคือ การจบชีวิตลงของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหากตกลงกันไม่ได้ ..และต้องจองเวรกันไปอีกนับภพชาติไม่ถ้วน...

             อาชีพนี้ ทำให้คนรวย แต่ไม่มีความสุข เพราะเป็นการซ้ำเติมความทุกข์ยากของผู้อื่น ถึงแม้จะทวงเงินอย่างถูกต้องตามข้อตกลงที่ต่างได้ให้สัญญากันไว้ในตอนแรก แต่ก็เป็นการตกลงโดยปราศจากทางเลือกของผู้เดือดร้อน จะเห็นว่าเงินที่ได้มาจากการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยโหดนี้ เป็นเงินไม่เย็น กว่าจะได้เงินมาต้องด่า ต้องทวง ต้องมีจิตใจที่เลือดเย็น ทนเห็นสภาพความเดือดร้อนของผู้อื่นได้อย่างไม่รู้สึกอะไร และแล้วความเป็นคนมีจิตใจเมตตา การเห็นใจเพื่อนมนุษย์ของเขาเหล่านั้น จะค่อยๆหายไปทีละน้อย..ทีละน้อย....

             ชีวิตเธอก็เช่นกัน อดีตเธอเคยเป็นเจ้าแม่เงินกู้ คุมแม่ค้าในตลาด และดำเนินธุรกิจขายของเงินผ่อน ที่หลายคนต่างรู้จกเธอดีในนามของ "เจ๊ณู" เธอดูยิ่งใหญ่มากสำหรับที่นี่ เพราะเธอถูกสถาปนาขึ้น อยู่ในฐานะเจ้าหนี้รายสำคัญ จากลูกหนี้ส่วนใหญ่ที่เป็นพ่อค้า แม่ขาย ตลอดจนคนยากไร้ และบุคคลร้อนเงินโดยทั่วไป

             คำขู่ตวาด ด่าลั่นตลาด..สวนมาสวนไป ระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ ด้วยอารมณ์เดือดดาล เป็นประจำทุกวัน ขณะเธอเดินเก็บเงิน ตามทวงหนี้ เพราะเธอคิดว่า ถ้าปากไม่จัดกว่าพวกแม่ค้า ก็คุมเขาไม่อยู่ จะทำอาชีพนี้ไม่ได้ เป็นการยากที่คำว่า "ไม่ไ้้ด้" จะเกิดขึ้นกับเธอบˆอยๆ แต่หากลูกหนี้ไม่มีเงินส่งเธอจริงๆ ล่ะ...? เธอจะทำอย่างไร..??

             เธอจะใช้วิธีการยืนคุมแม่ค้าที่เป็นลูกหนี้จนกว่าจะมีคนมาซื้อของ พอลูกค้าส่งเงินมา เธอก็เป็นผู้คว้าไว้เอง จนกว่าจะครบ ซึ่งวันนั้นทำให้แม่ค้าแทบจะไม่มีรายได้เข้ามาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง และลูกเล็กๆ ที่กำลังจะโต นี่คือสิ่งที่เธอทำราวกับเป็นความสะใจประจำวัน แต่ผลพวงของเรื่องราวยังไม่จบเพียงแค่นั้น...

             เพราะหลังจากที่เธอกลับบ้าน เธอได้นำอารมณ์ค้างจากอาการเครียด กังวล ทุกข์ใจ ที่เกิดจากการเก็บหนี้บางรายไม่ได้ ประกอบกับนิสัยพื้นฐานที่เป็นคนฉุนเฉียว โมโหร้าย ปากจัด วู่วาม และไม่เคยยอมใครอยู่แล้ว ก็เผลอเข้ามาใช้ในบ้านด้วย รวมทั้งความผิดหวังในตัวพ่อบ้านบางเรื่อง ซึ่งทำความน้อยใจให้เธอ อย่างชนิดที่ตกลงกันไม่ได้
             การพูด มึง..กู ไอ้..อี การวิวาทด้วยอารมณ์ร้อน ระหว่างเธอกับสามี ทำให้ลูกต้องร้องไห้หลายครั้ง..หลายครั้ง..และหลายครั้ง...เพราะไม่อยากเห็นพ่อแม่ทะเลาะกัน

             ชีวิตครอบครัวยังคงดำเนินไปเช่นนี้ จนนิยามของคำว่าบ้าน ที่ทั้งสองหวังไว้หลังจากแต่งงาน ว่าจะทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขที่สุด มีแต่ความเข้าใจกันมากที่สุด แต่ ณ วันนี้กลับไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย เพราะที่นี่มีแต่ความต้องการเอาชนะซึ่งกันและกัน การไม่มีใครยอมรับว่าใครผิด และมีทิฐิมานะมากทั้งที่ต่างรักกัน สิ่งเหล่านี้ทำให้ต่างคนต่างออกจากบ้าน ไม่อยากเห็นหน้ากัน เพื่อไปหาที่พึ่ง คือเหล้า การเที่ยว ร้องคาราโอเกะ เพื่อให้ลืมทุกข์

             การทำเช่นนี้ คงต้องถามเธอว่า ที่ทำไปไม่รักลูกหรือ...??

             รักซิ..รักมากเหลือเกิน แต่ด้วยทิฐิที่มีมากต่อกันระหว่างเธอและสามี ทำให้เธอไม่สามารถมอบรักแก่ลูกด้วยวิธีที่ลูกต้องการได้ อย่างไร ก็ตาม ด้วยจิตสำนึกแห่งการเป็นแม่ ซึ่งเป็นบุคคลที่รักลูกเป็นที่สุดแล้ว เธอได้แต่ให้สิ่งที่เรียกว่า เงิน..เงิน..เงิน

             ลูกอยากได้เงินเธอให้เงิน...ลูกอยากได้ทองแม่ซื้อทองให้...ลูกอยากได้รภหรือเอ้า..แม่ถอยให้...แม่ให้ลูกได้ทุกอย่างในสิ่งที่เงินหาซื้อได้ แต่น่าสงสาร ที่สิ่งที่ลูกต้องการที่สุดกลับไม่ใช่สิ่งที่เราแลกมาด้วยเงิน..!!

             การปรับทุกข์กันกลางวงเหล้ากับเพื่อนในกลุ่มยังคงเกิดขึ้นอย่างเป็นประจำ จนกระทั่งมีบุคคลหนึ่งซึ่งไม่พึงประสงค์ (ในความรู้สึกของเธอ) เดินเข้ามาทัก เธอมองเขาด้วยหางตา ด้วยท่าทีที่ดูเหยียดหยาม แล้วพูดขึ้นว่า พวกวัดธรรมกายนี่..พวกธรรมกายมาอีกแล้ว..ด้วยน้ำเสียงที่รำคาญ แต่ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็ได้พูดคุยกัน และด้วยดวงจิตที่ปรารถนาดีกอปรกับความใจเย็นของกัลยาณมิตรผู้นี้ที่ค่อยๆ ตอบคำถามของเธอและชักชวนเธอให้แก้ทุกข์ด้วยการไปปฎิบัติธรรมที่พนาวัฒน์จนในที่สุดเธอได้ยอมตัดสินใจขึ้นไปปฎิบัติธรรม 7 วัน ด้วยความรู้สึกท้าท้าย และต้องการพิสูจน์ทั้งที่ไม่ศรัทธา ..

             ..๒ วันผ่านไปสำหรับการปฎิบัติธรรม เธอ เบื่อ เซ็ง เมื่อยยังปรับอารมณ์ให้นิ่งไม่ได้ และรู้สึกไม่ได้อะไร สิ่งที่เธอทำได้ดีที่สุด ถนัดที่สุดกว่าการนั่งสมาธิก็ คือ การบ่น พูดมากตลอดแต่พอเข้าสู่วันที่ ๓ วันนี้เป็นวันที่แปลก เธอกลับเริ่มนิ่งสงบได้เธอบอกว่ารู้สึกตัวโล่ง เบา สงบ และสัมผัสได้ถึงความสุขจากการทำสมาธิอย่างที่ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน และความที่ใจเย็นลง สงบลงนี่เอง ทำให้เธอได้คิด ประกอบกับคำเทศน์สอนของพระอาจารย์ และฟังพระเดชพระคุณหลวงพอจากโรงเรียนเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาทุกวัน ตลอดจนถึงเรื่องราว CASE STUDY (กรณีศึกษา) ผู้ป่วยและทรมานจากการเป็นโรคไต เพราะกรรมจาการเป็นเจ้าหนี้ดอกเบี้ยโหด จึงทำให้เธอคิดจะเปลี่ยนแปลงขีวิตของเธอเป็นคนใหม่และยอมเลิกอาชีพการเป็ฯเจ้าแม่เงินกู้ เพราะรู้สึกว่า เงินที่ได้มาถึงแม้จะได้ถึงวันละ ๒-๓ หมื่นบาทก็จริง แต่เหมือนเป็นเงินร้อน ที่ทำให้ชีวิตครอบครัวเธอไม่มีความสุข มีแต่เรื่องไม่สบายใจ มีแต่ความไม่สงบสุขในบ้านเข้ามาตลอด

             เธอได้คิดทบทวนชีวิตกลับไปกลับมาหลายครั้ง ว่าเธอพลาดในชึวิตตรงจุดไหน และในที่สุดก็พร้อมทีทจะเปลี่ยนมัน โดยความคิดได้แล่นเข้ามาว่าในเมื่อชีวิตทุกวันนี้เธอมีแต่ความทุกข์ และสิ่งที่คิดว่าจะช่วยแก้ทุกข์ได้ก็ลองทำมาหมดแล้ว แต่ไม่อาจทำให้ความทุกข์ที่เธอมีลดน้อยถอยลงไปได้เลย ในเมื่อเธอได้มาเจอสิ่งที่ดี ที่อาจจะพลิกชีวิตเธอได้อย่างที่ไม่เคยได้เรียนรู้จากที่ไหนมาก่อน เธอก็น่าจะตัดสินใจเปลี่นนแปลงตัวเอง โดยการหักดิบ เลิกเหล้า เลิกเที่ยว หันกลับมาอยู่บ้านมากขึ้นเปลี่ยนมาใช้คำพูดเพราะ กับทุกคนรอบข้าง พร้อมกับการหันมาปฎิบัติธรรม สวดมนต์ นั่งสมาธิอย่างเป็นประจำ และชวนคนให้มาวัดปฎิบัติธรรม

             พฤติกรรมใหม่นี้สร้างความแปลกใจกับผู้เป็นสามีของเธอ จนต้องเอ่ยปาก ถามลูกด้วยวาจาทค่คุ้นเคยว่า "นี่แม่มึงเป็นอะไรไปวะ ทำไมเปลี่ยนไปขนาดนี้" เธอก็ตอบกลับสามีไปว่า ถ้าอยากรู้ก็บองไปพนาวัฒน์ดูซิ และเธอก็ได้โอกาสพูดชักชวนสามีและลูกให้ลองไปปฎิบัติธรรม จนสามีรู้สึกอึ้ง และไม่อยากจะเขื่อว่าภรรยาเขาได้เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน เขาไม่เคยมีความคิดเลยว่าใครจะมาเปลี่ยนภรรยาของเขาได้ แต่ก็เป็นไปแล้ว ต่อมาเขาจึงตัดสินใจชวนลูกไปปฎิบัติธรรมที่พนาวัฒน์ ๗ วันบ้าง ตามคำชวนของภรรยาด้วยความรู้สึกอยากรู้ว่าที่นั่นมีดีอะไรและก็ได้พบคำตอบหลังจากที่เขาและลูกลงมา

             ..ทั้งสองพ่อลูกเดินทางกลับบ้าน และก็พบกับภาพที่แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองว่า บ้านช่องที่เคยรกไม่สะอาด เพราะขาดการสนใจมานาน ถูกจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อยพร้อมกับการทาสีใหม่ จนทุกอยางดูดีไปหมด..

             และบัดนี้ รหัสชะตากรรมของครอบครัวนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว ทุกคนเข้าใจถึงเป้าหมายเพิ่มขึ้น รู้หลักในการดำเนินชีวิตจากธรรมะ ซึ่งทำให้ชีวิตพวกเขาเหมือนเพิ่งแต่งงานใหม่ บนบ้านหลังใหม่ ราวกับเนรมิตให้เกต็มไปด้วยความรักและความเข้าใจอันแสนอบอุ่น เสียงทะเลาะวิวาทเปลี่นเป็นเสียงสวดมนต์ และชวนกับปฎิบัติธรรมพร้อมกันทุกเย็นต่างคนต่างพูดกันด้วยคำพูดที่ไพเราะ ซึ่งเธอได้บอกว่าชีวิตทุกวันนี้มีความสุขมาก เป็นสิ่งที่ต้องการมานาน และไม่นึกว่าตัวเองจะสามารถกลับมามีครอบครัวที่อบอุ่นและดีแบบนี้ได้อีกแล้วในชาตินี้..

             ก่อนนี้เธอจะเล่าเรื่องราวในชีวิตทั้งหมดให้ฟัง เธอบอกว่าชีวิตเธอเหมือนละคร เป็นชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ถึงจะมีเงิน แต่ก็ไม่มีความสุข แต่นับจากนี้ไปต้องขอบอกว่า ชีวิตเธอไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบก็จริง เพราะกลับกุหลาบนั้นแห้งเหี่ยวง่ายเกินไป และทนต่อการเหยียบย่ำไม่ได้

             แต่ชีวิตเธอตอนนี้ กำลังมีดอกไม้ดอกใหม่ที่คงทน และงดงามกว่าบานสะพรั่งไปตามหนทางของชีวิตที่ถูกต้อง และนำความชื่นบานกลับคืนสู่ชีวิตที่ถูกทำให้มีคุณค่าขึ้นอีกครั้ง...


 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

บทความอยู่ในบุญทั้งหมด ฉบับที่ ๑๓ ประจำเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๖

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล