Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
ตอน โปริสาท ตอนที่ 21
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นฐานแห่งความสำเร็จของชีวิตที่เราควรจะเอาใจมาหยุดนิ่งไว้ตรงนี้ให้ดี หยุดใจให้ได้ตลอดเวลา การจะฝึกใจให้หยุดนิ่งนั้นเราต้องฝึกอย่างค่อยเป็นค่อยไป ฝึกวางใจของเราเบาๆที่กลางกายให้ใจเราคุ้นอยู่กับศูนย์กลางกายในทุกอริยาบถ
ทั้งยืน เดิน นั่ง นอน หลับตาหรือลืมตา ใหม่ๆอาจจะยังไม่คุ้น ยังเผลอสติไปบ้างก็ไม่เป็นไร รู้ตัวเมื่อไรก็จรดใจลงไปที่ศูนย์กลางกายอีก ทำอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก เสมือนว่าการหยุดใจไว้ในกลางกายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา เมื่อใจหยุดถูกส่วนเราก็จะได้เห็นธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันตเจ้าทั้งหลายท่านได้รู้ได้เห็นได้บรรลุแล้วในกาลก่อน ดังนั้นขอให้เราหมั่นประคองใจให้หยุดให้นิ่ง อยู่ที่ศูนย์กลางกายเอาไว้เสมอแล้วเราจะพบกับความสุขและความสำเร็จตลอดไป
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในพุทธวรรค ปาริกถา ความว่า
เราตถาคต ผู้เคยเป็นพระเจ้าสุตโสม เมื่อตามรักษาสัจจะวาจา สละชีวิตของเรา ได้ปลดเปลื้องกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์ได้แล้ว นี้เป็นสัจจะบารมีของเรา
พระเจ้าสุตโสมได้รักษาสัจจะวาจาที่ได้ให้ไว้กับจอมโจรโปริสาท สัจจะบารมีของพระองค์ในครั้งนั้นจัดเป็นปรมัตถบารมีเพราะว่าทรงรักษาความสัตย์ยิ่งชีวิต ซึ่งเราก็ได้รับฟังติดต่อกันมาหลายวันแล้ว
ตอนที่แล้วพระเจ้าสุตโสมได้เกลี้ยกล่อมโปริสาทให้กลับไปครองราชย์เหมือนเดิม ทำให้โปริสาทคิดว่า พระเจ้าสุตโสมทรงยกใจของเราให้ตั้งมั่นอยู่ในกัลยาณธรรมแล้ว บัดนี้ก็ยังให้คำมั่นสัญญาว่าจะให้เราดำรงอยู่ในอิสริยยศตามเดินอีก
การทำตามถ้อยคำของบัณฑิตมีแต่นำประโยชน์สุขมาให้อย่างเดียว ฉะนั้นเราไม่ควรอยู่ป่าอีกต่อไป ว่าแล้วก็ชื่นชมพระโพธิสัตว์ว่า สิ่งใดๆที่จะดียิ่งไปกว่าการคบหาสัตบุรุษเป็นกัลยาณมิตรนั้นไม่มี สิ่งใดๆในโลกนี้จะเลวทรามยิ่งไปกว่าการคบมิตรชั่วไม่มีเลย พระจันทร์ในวันข้างแรมย่อมอับแสงลงทุกวันฉันใด
การคบอสัตบุรุษย่อมเป็นเหมือนวันข้างแรมฉันนั้น หม่อมฉันก็เหมือนกัน อาศัยคนครัวเป็นเหตุจึงได้ทำบาปกรรมหยาบช้า อันเป็นทางไปสู่ทุคติ พระจันทร์ในวันข้างขึ้นย่อมสว่างไสวขึ้นทุกๆวันฉันใด
การคบสัตบุรุษเช่นพระองค์ย่อมเป็นเหมือนวันข้างขึ้นฉันนั้น หม่อมฉันได้อาศัยพระองค์จึงได้ทำกุศลกรรมอันเป็นทางไปสู่สุคติ
ครั้นโปริสาทได้พรรณนาคุณของพระโพธิสัตว์แล้วก็ติดตามเข้าสู่เมืองพาราณสี เวลานั้นพระโอรสของพระเจ้าโปริสาทเป็นผู้ครองราชย์แทนอยู่
เมื่อชาวเมืองได้ยินข่าวการกลับมาก็แตกตื่นโกลาหล ฝ่ายทหารก็รีบปิดประตูเมืองตระเตรียมอาวุธครบมือเพราะเกรงว่าโปริสาทจะมาก่อความไม่สงบภายในเมืองอีก
พระเจ้าสุตโสมทรงทราบว่าชาวเมืองยังไม่ไว้ใจโปริสาทจึงให้โปริสาทและพระราชาทุกพระองค์พักอยู่ที่ศาลานอกเมืองชั่วคราว จากนั้นก็เสด็จเข้าเมืองตามลำพัง ทรงรับสั่งให้หาพระอัครมเหสีและพวกอำมาตย์ของพระเจ้าโปริสาทได้ถามว่า ทำไมพวกท่านจึงไม่ให้พระราชาโปริสาทเข้าเมือง
ท่านกาลหัตถีกราบทูลว่า “เมื่อก่อนเท้าเธอได้กินเนื้อมนุษย์มากมาย ทรงทำในสิ่งที่กษัตริย์ไม่สมควรทำ ได้ประพฤติอธรรม ฉะนั้นชาวเมืองจึงไม่ยอมให้พระองค์เข้าเมืองอีกพระเจ้าค่ะ”
พระโพธิสัตว์ตรัสว่า “บัดนี้พวกท่านอย่าได้วิตกอีกเลย เราสั่งสอนโปริสาทให้ตั้งอยู่ในศีลแล้ว”ทรงสั่งสอนพระราชโอรสว่า “ขึ้นชื่อว่าบุตรธิดา ต้องปฏิบัติต่อมารดาบิดาให้เหมาะสม ผู้เลี้ยงมารดาบิดานั่นแหละจึงจะได้ไปสวรรค์ คนอกตัญญูที่ไม่เลี้ยงมารดาบิดาจะไปนรก”
ครั้นประทานโอวาสแก่พระราชโอรสแล้วก็ได้ตรัสสอนแก่เสนาบดีว่า ท่านกาฬหัตถีท่านเป็นทั้งสหายและที่ปรึกษาของพระราชา พระราชาได้ทรงสถาปนาท่านไว้ในตำแหน่งอันสูงศักดิ์ แม้ท่านก็ควรจงรักภักดีต่อพระราชาของตน จากนั้นทรงประทานโอวาสพระเทวีว่า
ดูก่อนพระเทวี แม้เธอก็มาจากตระกูลที่ไม่ใช้เชื้อพระวงศ์ แต่ได้รับตำแหน่งอัครมเหสีจากพระราชา เจริญด้วยพระโอรสและพระธิดา เธอควรประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพระสวามี เมื่อทรงสั่งสอนแต่ละฝ่ายเสร็จ ก็ตรัสสอนทุกคนต่อไปว่า
พระราชาที่เอาชนะคนซึ่งไม่ควรชนะไม่ชื่อว่าเป็นพระราชา เพื่อนที่เอาชนะเพื่อนไม่ชื่อว่าเป็นเพื่อน ภรรยาที่ไม่เกรงกลัวสามีไม่ชื่อว่าเป็นภรรยา
บุตรที่ไม่เลี้ยงมารดาบิดาไม่ชื่อว่าเป็นบุตร ที่ประชุมใดไม่มีสัตบุรุษไม่ชื่อว่าเป็นสภา คนพูดไม่เป็นธรรมไม่ชื่อว่าเป็นสัตบุรุษ คนที่ละราคะ โทษะ โมหะ พูดเป็นธรรม ชื่อว่าเป็นสัตบุรุษ
บัณฑิตอยู่ปะปนกับพวกคนพาลเมื่อไม่พูดก็รู้ได้ยากว่าเป็นบัณฑิต แต่ถ้าพูดก็ต้องพูดออกมาแต่ธรรมถึงจะรู้ว่าเป็นบัณฑิต เมื่อพระโอรสและเหล่าข้าราชบริพารได้ฟังธรรมแล้วจึงพร้อมใจกันออกไปเชิญเสด็จพระราชาเข้าสู่พระนคร ทรงรับสั่งให้คนตีกลองป่าวประกาศไปทั่วเมือง แจ้งให้ชาวเมืองทราบว่า บัดนี้พระเจ้าโปริสาททรงเลิกเสวยเนื้อมนุษย์เด็ดขาดแล้ว
พระโพธิสัตว์ได้ประทับอยู่ในเมืองพาราณสีประมาณเดือนครึ่งเพื่อเป็นกำลังใจให้พระเจ้าโปริสาทได้ทรงอบรมเหล่าอำมาตย์ ข้าราชบริพารและชาวเมืองให้มีความสมัครสมานสามัคคีกัน ให้ทุกคนตั้งมั่นอยู่ในศีลเพื่อความเป็นสุขของชาวประชา
และเพื่อป้องกันชาวเมืองบางคนที่ยังมีความแค้นไม่ให้มาประทุษร้ายพระเจ้าโปริสาท ครั้นทรงเห็นว่าเหตุการณ์ทุกอย่างสงบดีแล้ว
ก่อนเสด็จกลับก็ทรงแนะนำให้พระเจ้าโปริสาทได้บริจาคทานด้วยการสร้างโรงทาน ๕ แห่ง คือทำที่ประตูพระนครทั้ง ๔ แห่งและที่ประตูราชวัง ๑ แห่ง จากนั้นก็อำลาพระเจ้าโปริสาทเสด็จออกจากเมืองพาราณสี
พระเจ้าโปริสาทได้ถวายยานพาหนะชั้นดีส่งเสด็จกษัตริย์กลับเมืองโดยสวัสดิภาพทุกพระองค์ พระเจ้าสุตโสมเสด็จเข้าสู่นครอินทปัตถวายบังคมพระราชมารดาบิดา
เสด็จขึ้นสู่ท้องพระโรง ทรงเล่าเรื่องราวที่ได้ไปทำหน้าที่ยอดกัลยาณมิตรให้แก่โปริสาท เมื่อเหล่าพสกนิกรได้รับฟังก็ปลื้มปิติโสมนัสไปตามๆกัน วีกรรมการทำหน้าที่ยอดกัลยาณมิตรในครั้งนี้ได้ลือกระฉ่อนไปทั่วทั้งชมพูทวีป
พระบรมศาสดาครั้นทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่าพุทธบริษัทได้ฟังจบลง ทรงสรุปชาดกว่า “ตถาคตไม่ได้ทรมานองคุลีมาลแต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อนตถาคตก็ได้แนะนำแล้วเหมือนกัน พระเจ้าโปริสาทในกาลนั้นได้มาเป็นองคุลีมาลในการนี้ กาฬหัตถีเสนาบดีได้มาเป็นพระสารีบุตร
รุกขเทวาได้มาเป็นพระกัสสปะ พระราชาที่เหลือได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วนพระเจ้าสุตโสมคือเราตถาคต”ทั้งหมดนี้คือประวัติการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ของเรา ทรงบำเพ็ญสัจจะบารมีขั้นปรมัตถบารมี โดยต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
ในอีกมุมมองหนึ่งเราจะเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นต้นแบบในการสร้างสันติภาพของโลกอย่างแท้จริง คือทรงใช้ปัญญาแก้ไขปัญหา โดยสันติวิธี ไม่ใช้ความรุนแรงเป็นทางออกเพราะทรงตระหนักดีว่าการฆ่าไม่เคยสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน สันติภาพที่แท้จริงต้องเกิดจากการที่ทุกคนได้รู้จักความเป็นจริงของชีวิต
มีสัมมาทิฐิฝังแน่นอยู่ในใจและก็มีความปรารถนาดีต่อกัน มีความรักสามัคคีกัน เพราะฉะนั้นการสร้างสันติภาพโลกเป็นความรับผิดชอบของทุกคนตลอดจนนักสร้างบารมีทั่วโลกที่จะต้องช่วยกันขยายพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์เพื่อจุดประกายขึ้นภายในใจของมนุษยชาติ