ม้าศึกไม่ทิ้งสนาม

วันที่ 06 มค. พ.ศ.2559

ม้าศึกไม่ทิ้งสนาม

    สาเหตุที่ตรัสชาดก ณ พระวิหารเชตวัน พระทศพลตรัสเรียกภิกษุผู้ละความเพียรมาแล้วตรัสว่า บัณฑิตทั้งหลายในกาลก่อนแม้ได้รับบาดเจ็บก็ไม่ละความเพียร จึงทรงนำอดีตมาว่า..

    ในอดีต มีม้าสินธพนามลือชาว่า โภชาชานียะ ได้เป็นม้านักรบของพระเจ้าพาราณสี ในยุคนั้นพระราชาทั้งหลายผู้ไม่ต้องการราชสมบัติในนครพาราณสีย่อมไม่มี หากยังติดอยู่ที่กิตติศัพท์ของม้าและความเก่งกล้าของพระราชาหนุ่มผู้องอาจ เหตุการณ์จึงยังคงสงบศึกเรื่อยมา เมื่อสงบศึกก็สงบสุขมาตรว่าไม่มีศึกสงครามจากพระราชานอกเมืองแต่พระเจ้าพาราณสีกำลังเผชิญศึกกับราชาในเมืองพระองค์ต้องรบฝ่าฟันประจัญบานกับราชาผู้หนึ่งอยู่ตลอดและยังมิอาจหาวิธีเอาชนะได้ ราชาศัตรูนี้มีนามว่า "มัจจุราช" มันมิเพียงเป็นศัตรูกับราชาด้วยกันเท่านั้น มันยังพาลเป็นศัตรูกับทุกผู้คนตอนนี้พระเจ้าพาราณสีหมดแรงสู้กับมัจจุราชเสียแล้ว เนื่องเพราะพระองค์ทรงแก่ชรามากแล้ว ผลแพ้ยับเยินทำให้พระวรกายของพระองค์สะบักสะบอมไปด้วยริ้วรอยแห่งความพ่ายแพ้ และยามนี้เองโอกาสของพระราชาจากต่างเมืองที่จะมาชิงราชบัลลังก์ก็ปะทุขึ้นแล้ว! พระราชาที่มามีถึง 7 พระองค์ศึกครานี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก กระทั่งใหญ่กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

 

    กองทัพใหญ่ 7 กองทัพพากันมาล้อมนครพาราณสีไว้หมดสิ้นแล้ว ม้าเร็วส่งหนังสือถึงพระเจ้าพาราณสีเป็นหนังสือข่มขู่ให้พระองค์ทรงมอบราชบัลลังก์ อำมาตย์กราบทูลให้พระองค์ส่งยอดขุนศึกทหารม้าออกรบแทนพระองค์ไปก่อน ถ้ารบแพ้ค่อยปรึกษากันอีกที พระราชาจึงทรงมีรับสั่งเรียกยอดขุนศึกฝีมือดีมามอบหมายภารกิจครั้งนี้ ขุนศึกทหารม้าใจเด็ดไม่เคยคิดกลัวตายในสนามรบและรู้ดีว่าหน้าที่ของตนมิใช่ไปตาย แต่ไปเอาความสำเร็จ! ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ถ้าผิดพลาดนั่นคือตาย! และถ้าตนตายก็คงไม่มีใครสรรเสริญเพราะผู้สรรเสริญก็ตายด้วย หากตนรบแพ้ พระราชาผู้มีพระคุณ ต้องตาย ชาวเมืองต้องรับเคราะห์อาจตายทั้งเป็น ตนเป็นความหวังเดียวในยามนี้ เมื่อภารกิจหนักอึ้งถึงเพียงนี้ ยิ่งมิอาจเลินเล่อหลงตัวได้เลย ขุนศึกทหารม้าคิดได้ดังนี้แล้ว จึงกราบทูลพระราชาว่า..

"ขอเดชะพระราชา! ถ้าข้าพระบาทได้ม้าลือชาโภชาชานียะของพระองค์แล้วไซร้ อย่าว่าแต่พระราชา 7 เมือง 7 กองทัพเลย ต่อให้รบกับพระราชาทั่วทั้งชมพูทวีปก็ยังได้ พระเจ้าข้า"
"ได้เลย! จะม้าอะไรก็ได้ ขอให้ท่านชนะข้าศึกป้องกันภัยให้ชาวเมืองได้ก็แล้วกัน!"
พระราชาตรัสอนุญาต

 

    กองทัพม้าพาราณสีออกประจันหน้า 7 ทัพใหญ่ ม้าศึกอาชาไนยได้พุ่งทะยานดุจเกาทัณฑ์หลุดจากแล่ง กองทัพศัตรูยังมิทันขยับทำอะไร ม้าศึกโภชากับขุนศึกผู้กล้าก็ไวปานสายฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่ในสนามรบ ทั้งม้าก็เจนจบทั้งนักรบก็เด็ดเดี่ยว เที่ยวทำลายกองพลที่ 1 ถึง 6 ได้ในพริบตาแล้วจับเป็นพระราชา 6 พระองค์ส่งกลับเมืองไปได้ เหลืออีกเพียงพระองค์เดียว กองพลสุดท้าย! ขณะที่ม้าโภชาโจนทะยานไปหาพระราชาองค์ที่ 7 ก็พลันปรากฏมีลูกศรพุ่งเร็วแรงแทงทะลุอาน ม้าศึกโภชาบาดเจ็บสาหัสเลือดอาบปวดแปลบไปทั่วร่าง ลูกศรเหมือนแทงทะลุหัวใจม้าแล้วทะลุเลยถึงใจขุนศึกไปด้วย ขุนศึกแทบสิ้นกำลังใจ แต่เนื่องจากเป็นขุนศึกอาชีพจึงึดสู้ต่อไปมุ่งเอาชัยเพื่อราชาผู้มีพระคุณเป็นที่ตั้ง ขุนศึกคิดเปลี่ยนม้า แต่ม้าศึกโภชารู้กำลังข้าศึกดีว่าพระราชาองค์ที่ 7 นี้เก่งกว่าทุกผู้คน ลำพังกำลังฝีมือยอดขุนศึกฝ่ายตนมิอาจเอาชนะได้แน่ หากไม่มีม้ากำลังแรงมาผนวกกันแล้วต้องแพ้แน่นอน! และในตอนนี้ม้าศึกอื่นที่จะ อดประสานกันกับขุนศึกจนสามารถเอาชัยได้
ไม่มีอีกแล้ว ม้าศึกโภชาจึงตัดใจยอมสู้ตายเพื่อแลกกับความสำเร็จ แม้สิ้นชีพจะเป็นไรไป!

 

    ม้าศึกโภชายิ่งคิดก็ยิ่งชัดเจนในใจว่าถ้าตนยอมอ่อนล้าลงไม่ยอมลุกขึ้นสู้ตอนนี้ แม้สู้ตอนไหนก็สายไป มีแต่ตอนนี้เท่านั้นที่ต้องสู้ มิฉะนั้นความพยายามทั้งหมดที่รบมาก็สูญเปล่าสิ้นเชิง พระราชาต้องถูกฆ่า ขุนศึกผู้กล้าก็ต้องตาย คิดได้ดังนี้ จึงลืมตาขึ้นกลั้นใจข่มความเจ็บปวดที่สะท้านเสียดแทงไปทั่วร่าง กล่าวว่า..

"สหาย! ม้าอื่นไม่อาจทำลายกองทัพนั้นได้ เราจะไม่ยอมให้สิ่งที่ทำสูญเปล่า ท่านผูกเกราะเถอะ!"


    ขุนศึกพันแผลผูกสอดเรียบร้อย แล้วขึ้นหลังม้าบุกตะลุยจับเป็นพระราชาองค์สุดท้ายได้สำเร็จก่อนม้าศึกสิ้นใจได้ทูลขอร้องให้พระเจ้าพาราณสีอย่าได้ทรงฆ่าพระราชาทั้ง 7 นี้เลย ให้ทำการสาบานแล้วปล่อยไปก็พอ แล้วขอให้โปรดประทานยศส่วนของตนทั้งหมดแก่ขุนศึกนี้ และย้ำให้พระราชาทรงหมั่นบำเพ็ญทาน รักษาศีล ครองราชสมบัติโดยธรรม จากนั้นม้าศึกผู้กล้าก็สิ้นใจจากไปด้วยวีรกรรมอันยิ่งใหญ่..

    ขุนศึกผู้กล้ากับม้าศึกผู้ไม่ถอย ได้เป็นภาพแห่งความทรงจำที่ประทับอยู่ในใจของชาวเมืองพาราณสีตลอดไป..

 

ประชุมชาดก
             พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า ราชาครานั้นมาเป็นพระอานนท์ นายทหารม้ามาเป็นพระสารีบุตร
ส่วนโภชาชานียสินธพได้เป็นตถาคตจากชาดกเรื่องนี้ หากม้าศึกคิดจะทำให้เต็มที่ก็จะต้องแพ้! เพราะจับพระราชาทั้ง 6 ได้ก็เต็มที่แล้ว แต่ม้านี้คิดว่า "จะทำให้สำเร็จ" จึงชนะได้ในครั้งนี้ เป็นการเอาความสำเร็จเป็นที่ตั้ง โดยไม่สนใจว่าเต็มที่แล้วรึยัง แม้ร่างกายจะไม่ไหวแล้ว แต่เมื่อยังไม่สำเร็จก็ต้องเอาให้สำเร็จให้ได้ มาตรว่า
ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน หรือต้องทุ่มเทคุณค่ามหาศาลเพียงใด กระทั่งสละทุกสิ่งทุกอย่างก็ยอมเพราะถ้าไม่สำเร็จ ผลก็ไม่เกิด!ความเพียรพยายามจนกว่าจะสำเร็จ จึงนับว่ามีคุณค่ายิ่งกว่าการทำจนเต็มที่แล้ววางมือ

 

"นิสัยชอบมุมานะบากบั่น, ไม่ย่อท้อหมดกำลังใจ และเพียรพยายามมุ่งทำให้สำเร็จ"จึงนับเป็นนิสัยในวิถีนักสร้างบารมีที่นับเนื่องเข้าในวิริยบารมี

-----------------------------------------------

SB 405 ชาดก วิถีนักสร้างบารมี

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.001448396841685 Mins