ผู้ไม่ถือโทษคนต่ำทราม

วันที่ 06 กพ. พ.ศ.2559

ผู้ไม่ถือโทษคนต่ำทราม

           สาเหตุที่ตรัสชาดก ภิกษุนั่งสนทนากันในธรรมสภาถึงพระปัญญาของพระทศพล พระตถาคตเสด็จมาทรงทราบความนั้นแล้วตรัสว่า มิใช่แต่บัดนี้เท่านั้น ถึงในกาลก่อน ตถาคตก็ย่ำยีวาทะของคนอื่นได้เช่นกัน จึงทรงนำอดีตมาตรัสดังนี้..

             กาลครั้งหนึ่ง มีชายหนุ่มชื่อ โพธิกุมาร เบื่อหน่ายในโลกียวิสัย แต่เห็นสุขในบรรพชา จึงออกบวชเป็นปริพาชก อยู่มาวันหนึ่งพระราชาทอดพระเนตรเห็นโพธิปริพาชก เกิดความเลื่อมใสมีรับสั่งให้ช่างก่อสร้างบรรณศาลาไว้ในราชอุทยาน นิมนต์โพธิปริพาชกให้พำนักในอาศรม จนผ่านไป 12 ปี

 

           กาลต่อมา พระราชาได้อำมาตย์ใหม่เข้ามารับราชการ 5 คน ทำหน้าที่สั่งสอนอรรถและธรรมแก่ประชาชน คนที่ 1สอนว่าสัตว์ทั้งหลายจะดีได้เอง บุญบาปไม่มี, คนที่ 2สอนว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก, คนที่ 3สอนว่าสัตว์ไม่มีทุกข์และสุข ทุกคนเกิดมาต่างกันเพราะอดีตที่แตกต่าง, คนที่ 4สอนว่าโลกหน้าไม่มี ตายแล้วสูญ, คนที่ 5สอนว่าคนควรฆ่าบิดามารดา อย่าเลี้ยงไว้ ให้กอบโกยเพื่อตนเองอย่างเดียวพอ พระราชาตั้งให้อำมาตย์ทั้งห้านี้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาคดี และทั้งห้าก็พากันกินสินบนคดโกงชาวบ้านเรื่อยมา

           วันหนึ่ง มีชาวบ้านคนหนึ่งแพ้คดีเพราะถูกพวกอำมาตย์โกง รู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจยิ่งนัก เมื่อหาที่พึ่งใดไม่ได้จึงเข้าไปพบโพธิปริพาชก แล้วกล่าวว่า..
"ท่านผู้เจริญ! ท่านมาฉันในพระราชนิเวศน์อยู่ทุกวัน แต่ทำไมได้แต่ดูพวกอำมาตย์รับสินบนจนชาวบ้านเดือดร้อนอยู่ล่ะ"

    โพธิปริพาชกเกิดความสงสารชาวบ้าน ยอมเสี่ยงภัยจากพวกอำมาตย์ เดินทางไปโรงวินิจฉัย แล้วตัดสินคดีใหม่ กลับผิดให้เป็นถูก ชาวบ้านแซ่ซ้องสาธุการ ร่ำลือกันไปทั่วพระนครพระราชาทรงทราบความนั้นจึงขอร้องให้โพธิปริพาชกทำราชการเป็นผู้ตัดสินคดีแทนอำมาตย์เพื่อความสุขของชาวบ้าน แต่ท่านปฏิเสธไม่รับตำแหน่ง เพราะมิใช่กิจของบรรพชิต พระราชาจึงต่อรองว่า..
"ถ้าอย่างนั้น ในตอนเช้า ท่านมาฉันที่นี่ ต้องผ่านมาทางนี้ ขอให้ท่านตัดสินสัก 4 คดี ขากลับก็อีก 4 คดี เพียงแค่นี้ก็พอให้ชาวบ้านอยู่เย็นเป็นสุข"

 

    พระองค์ทรงอ้อนวอนอยู่บ่อยๆ จนท่านโพธิปริพาชกใจอ่อนยอมรับ เมื่อท่านตัดสินใจจะช่วยชาวบ้าน ในครั้งนี้ ท่านก็เตรียมใจไว้แล้วว่าจะต้องเจอภัยในอนาคต แต่มิคาดว่าเวลานั้นจะมาถึงเร็วอย่างยิ่ง วันนี้ท่านเข้ามาฉัน แต่เจ้าหน้าที่ให้นั่งบนพื้นเปล่า ท่านก็รู้ว่าพระราชาเสื่อมศรัทธาตนแล้วท่านจึงต้องการลาจากไปในวันนี้เสียเลย แต่หักใจยังไม่จากไป เนื่องเพราะต้องการรู้ให้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้น

    รุ่งขึ้นโพธิปริพาชกข่มใจไปนั่งบนพื้นเปล่าอีกครั้ง คราวนี้ เจ้าหน้าที่เอาข้าวคลุกเป็นเดนอาหารมาถวาย! วันต่อมา ท่านยอมมาอีกครั้งคราวนี้ เจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้เข้าห้อง ถวายอาหารให้ที่เชิงบันไดท่านนำกลับไปฉันที่อุทยาน ตั้งใจว่าวันรุ่งขึ้นจะมาสืบใหม่ แต่วันรุ่งขึ้นจะมีสำหรับโพธิปริพาชกหรือไม่เพราะวันนี้ พระราชาทรงรับสั่งให้ฆ่าโพธิปริพาชกแล้ว! ราตรีนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน พระองค์ทรงบรรทมไม่หลับ เนื่องเพราะภาพคุณธรรมความดีงามของโพธิปริพาชกที่ท่านได้แสดงธรรมให้พระองค์ฟังมาตลอด 12 ปี ผุดขึ้นมาเป็นระลอก พระองค์ทรงเล่าความกังวลพระทัยให้มเหสีสดับตั้งแต่เริ่มมีอำมาตย์เข้ามาพัวพัน ดังนี้..

 

ครั้งนั้น พวกอำมาตย์รีบเข้ามากราบทูลอย่างตระหนกว่า..
"ข้าแต่สมมติเทพ! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว พวกข้าพเจ้าล่วงรู้มาว่าโพธิปริพาชกคนนี้คิดลอบปลงพระชนม์เพื่อชิงความเป็นใหญ่ในทวยราษฎร์"

ทีแรก พระองค์ทรงหนักแน่น ไม่ทรงเชื่ออย่างเด็ดขาด! ทรงไม่เชื่อว่าผู้มีศีลมั่นคงจะคิดชั่วเช่นนี้ได้ แต่อำมาตย์ได้ทูลให้พระองค์พิสูจน์ว่า..
"ตอนนี้ชาวเมืองทั้งหมดเป็นพวกของโพธิปริพาชกหมดแล้ว เหลือแต่ข้าพระองค์ทั้งห้าเท่านั้นที่ยังไม่ทิ้งพระองค์ ถ้าพระองค์ไม่ทรงเชื่อก็ทอดพระเนตรดูข้างล่างเถอะ! พระเจ้าข้า"

 

    พระราชาเสด็จทอดพระเนตรดู เห็นโพธิปริพาชกเดินมาโดยมีชาวบ้านผู้มาฟ้องร้องคดีแห่แหนห้อมล้อมมากมาย ความระแวงพระทัยก็เกิดขึ้นทันที ความกลัวภัยทำให้พระองค์ทรงเชื่ออำมาตย์ แต่ก็มิอาจรับสั่งให้จับโพธิปริพาชกได้ทันทีเพราะยังไม่เห็นความผิด อำมาตย์จึงแนะว่าให้ลดการอุปัฏฐากที่เคยทำ เช่นนี้แล้วปริพาชกนั้นคงจะแอบหนีไปเอง แต่ท่านกลับไม่ยอมหนีไปสักที พวกอำมาตย์ทูลว่า ที่ท่านโพธิไม่หนีไปเพราะต้องการราชบัลลังก์นั่นเอง! ต้องรีบชิงฆ่าเสียก่อน พระองค์จึงรับสั่งให้อำมาตย์ลอบฆ่า แล้วหั่นสับเป็นชิ้นๆ ทิ้งลงส้วมปกปิดหลักฐาน

    เหตุการณ์พลิกผันเยี่ยงนี้ได้เพราะอำมาตย์รู้ว่า "ระแวง" มีผลต่อผู้คนมากเพียงใด ถึงกับทำผู้มั่นคงดั่งภูผาให้หวั่นไหวมามากมายแล้ว พระราชาก็ไม่ผิดกัน!

 

    พระมเหสีทรงสดับเรื่องราวจนจบ ทรงห่วงราชสมบัติเช่นกับพระราชา หากพระราชาทรงเกิดภัย นั่นย่อมหมายถึงภัยของพระนางเองด้วย ดังนั้นพระนางจึงทรงแนะนำพระราชาว่า..
"ถ้าเป็นศัตรูถึงเป็นลูกก็ต้องฆ่า!"

    พระองค์ได้พระนางสนับสนุนส่งเสริมอย่างนี้ จึงสบายพระทัยบรรทมหลับลงได้ขณะนั้น มีสุนัขเหลืองตัวหนึ่งเผอิญได้ยินพระราชาตรัสเล่าเหตุการณ์ให้พระมเหสีฟังทั้งหมดจึงไปดักรอโพธิปริพาชกที่หน้าประตูวัง หวังจะแจ้งข่าวนี้ตอบแทนพระคุณที่ท่านให้ข้าวน้ำเลี้ยงดูอยู่ทุกวัน รุ่งขึ้นโพธิปริพาชกเข้ามาฉันตามปกติสุนัขรีบเข้ามาอ้าปากแยกเขี้ยวร้องเสียงดังว่า..
"ท่านไปหาอาหารที่อื่นไม่ได้แล้วหรือ พระราชาทรงให้อำมาตย์ซุ่มฆ่าท่านอยู่ตรงซอกประตูนี้เอง ท่านอย่ามารับความตายเลย จงรีบกลับไปโดยเร็วเถิด"

 

    โพธิปริพาชกพอมีวิชาติดตัวอยู่บ้างสามารถรู้สำเนียงเสียงร้องของสัตว์ได้ทุกชนิด จึงเดินกลับไปที่พักของตนทันที แล้วรีบเก็บบริขารเตรียมเข้าสู่ป่าหิมพานต์ที่ตนเคยอยู่อย่างสงบสุขเมื่อ 12 ปีก่อนขณะนั้นพระราชาประทับยืนดูอยู่ที่สีหบัญชร ทรงดำริว่า..
"ถ้าโพธิปริพาชกเป็นศัตรูของเราจริง ก็จะต้องกลับไประดมพรรคพวกมาแน่ แต่ถ้าไม่จริงคงเก็บของแล้วจากไปเลย"

พระราชาเสด็จตามไป ทรงทอดพระเนตรเห็นโพธิปริพาชกจะจากไปแน่แล้ว รีบเข้าไปกราบนมัสการตรัสถามว่า..
"ข้าแต่ท่านอาจารย์! เหตุไรท่านถึงรีบร้อนเก็บข้าวของถือไม้เท้า ร่ม รองเท้า บาตร พาดผ้าจะรีบไปไหนหรือ"

ท่านโพธิคิดว่าพระราชาพาลองค์นี้ยังไม่รู้สำนึกสิ่งที่ตนทำอีก กล่าวตอบว่า..
"ตลอดเวลา 12 ปี ที่อาตมภาพอยู่กับพระองค์ อาตมภาพไม่เคยเห็นสุนัขเหลืองมันคำรามเลย วันนี้มันแยกเขี้ยวเห่าอาตมาคล้ายกับว่าไม่เคยรู้จักกัน ก็เพราะมันได้ยินคำของมหาบพิตรกับพระชายาผู้สิ้นศรัทธา"

 

พระราชาทรงเสียพระทัย ตรัสว่า..
"ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าขอโทษในความผิดนี้ ขอท่านได้โปรดอยู่ต่อเถิด อย่าเพิ่งไปเลยนะ"

"ขอถวายพระพร ปกตินั้นบัณฑิตทั้งหลายไม่อยู่ร่วมกับผู้ทำการงานโดยไม่พิจารณาให้รอบคอบดังเช่นพระองค์ เวลานี้สมควรที่อาตมภาพจะหลีกไปแล้ว อาตมภาพจะขอจากไปเสียเองก่อนที่ถูกพระองค์ไล่ บุคคลไม่ควรคบหาคนที่ไม่ศรัทธากัน เหมือนดังบ่อที่ไม่มีน้ำ แม้จะขุดบ่อก็มีแต่กลิ่นโคลนตม ควรคบคนที่เลื่อมใสกันเท่านั้นเหมือนผู้ต้องการน้ำเข้าหาห้วงน้ำใสฉะนั้น คนควรคบผู้ที่คบด้วยไม่ควรคบคนผู้ไม่คบด้วย ผู้ใดไม่คบคนผู้คบด้วย ผู้นั้นเป็นคนพาลมีธรรมชั่วมิตรย่อมแหนงหน่ายกันด้วยเหตุ 3 ประการ คือ คลุกคลีกันมากเกินไป, ไม่ไปมาหาสู่กัน และขอในเวลาไม่สมควรขอ ดังนั้น บุคคลไม่ควรไปมาหากันพร่ำเพรื่อ ไม่ควรเหินห่างให้เนิ่นนาน และ
ไม่ควรขอในกาลไม่สมควร เช่นนี้มิตรทั้งหลายจะไม่แหนงหน่ายกัน คนรักกันกลับไม่เป็นที่รักกันได้เพราะการอยู่ร่วมกันนานเกินไป อาตมภาพมิได้เป็นที่รักของมหาบพิตรมาแต่ก่อน เพราะฉะนั้นอาตมภาพจึงขอลาไปก่อน"
โพธิปริพาชกทูลลา

 

"พระคุณเจ้าไม่รับอัญชลีของสัตว์ผู้เป็นบริวารมาอ้อนวอนอยู่อย่างนี้เลย ไม่ทำตามคำขอร้องของข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าวิงวอนพระคุณเจ้าถึงเพียงนี้แล้ว อย่างไรเสียขอพระคุณเจ้าโปรดกลับมาเยี่ยมอีกจะได้ไหม" พระราชาทูลอ้อนวอน

"มหาบพิตรผู้ผดุงรัฐ! ถ้าอันตรายไม่มีแก่เราสอง ชีวิตของพระองค์และของอาตมาก็จะยังยืนยาว เราคงได้เห็นกันอีก ขอพระองค์จงอย่าประมาทเถิด"

             กล่าวจบแล้วกลับสู่ป่าหิมวันต์อันร่มรื่นทันที ตัดขาดจากการแสดงธรรมโปรดพระราชา เข้าป่าหาความสุขที่มุ่งหวังต่อไป..

 

    พวกอำมาตย์ได้ตำแหน่งคืนแล้วก็ทำการหยาบช้ายิ่งขึ้น วินิจฉัยฉ้อโกงคดี กินสินบนจนอิ่มหนำสำราญ ชาวบ้านแสนทุกข์เข็ญลำเค็ญใจ โจรก็มีชุกชุม เที่ยวปล้นขโมยอยู่ทุกวัน เมื่อถูกจับกลับได้รับอิสระ พวกอำมาตย์ทำเช่นนี้แล้วก็ยังไม่สิ้นระแวงภัยในลาภสักการะของตน กลัวท่านโพธิปริพาชกจะกลับมาขัดขวางความสุข ให้ต้องพลัดพรากจากต่ำแหน่งอย่างสุดแสนโดยไม่คำนึงถึงผู้อื่นอีกความกลัวนี้ผลักดันให้อำมาตย์ครุ่นคิดหาทางกำจัดสิ่งที่ตนคิดว่าอาจนำโพธิปริพาชกหวนกลับมาได้อีก ความคิดอุบาทว์ต่างๆ ก็ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ อำมาตย์คิดว่าโพธิปริพาชกอาจติดใจในพระมเหสีต้องกำจัดมเหสีก่อน จึงคิดใช้แผนเดิม คือความระแวง ซึ่งใช้ได้ผลเสมอมา อำมาตย์จึงไม่คิดเปลี่ยนวิธีให้มากความ ดังนั้นอำมาตย์เข้าไปเฝ้าพระราชาแล้วกราบทูลว่า..
"หลายวันมานี้พวกข้าพระองค์ได้ยินข่าวเรื่องหนึ่ง" อำมาตย์กราบทูลพระราชา
"เรื่องอะไรหรือ" พระราชาตรัสถามทรงใคร่รู้
"โพธิปริพาชกและพระราชเทวีลอบส่งข่าวสาส์นโต้ตอบกันไปมาเสมอ พระเจ้าข้า"
"ข่าวสาส์นนั้นสั่งให้ทำอะไรรึ" พระราชาทรงซักไซ้
"ท่านโพธิส่งสาส์นถึงพระราชเทวีว่า ขอให้เธอจงลอบปลงพระชนม์ แล้วราชสมบัติก็จะตกเป็นของเราส่วนพระเทวีก็ส่งสาส์นตอบไปว่า การปลงพระชนม์ให้เป็นหน้าที่ของหม่อมฉัน ขอให้ท่านรีบมาโดยเร็วเถิด" อำมาตย์กุเรื่องกราบทูล

 

         พระราชาไม่ทรงแน่พระทัย แต่อำมาตย์ไม่กังวลในเรื่องนี้ เนื่องเพราะตนรู้ว่าความระแวงได้เกิดขึ้นแล้ว แผนการสำเร็จแล้ว! ช่องว่างระหว่างพระทัยมีให้เจาะลงได้แล้ว เหลือแต่ขั้นตอนต่อไปเท่านั้นอำมาตย์หมั่นมาเฝ้ากราบทูลบ่อยๆ ในที่สุดพระราชาก็ทรงเชื่อ มีรับสั่งให้ปลงพระชนม์พระเทวีพระเทวีตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันกับโพธิปริพาชกเสียแล้ว ทั้งที่หลายวันก่อนพระนางได้ตรัสสนับสนุนให้พระราชาฆ่าท่านโพธิแท้ๆ ครานี้ถึงทีของพระองค์เอง พระราชาให้สับร่างเป็นชิ้นๆ ทิ้งลงส้วม!

 

            พระราชาพลาดไป! ทรงลืมดำริว่า พระเทวีก็มีโอรสบุตรที่ไหนบ้างจะไม่โกรธแค้นผู้สั่งฆ่ามารดาตน! ข่าวพระราชเทวีถูกปลงพระชนม์เลื่องลือไปทั่วพระนคร พระราชโอรสทั้งสี่ตั้งตนเป็นศัตรูต่อพระราชาทันที พระราชากลายเป็นผู้ประสบภัยใหญ่หลวง ทรงบรรทมไม่เป็นสุขแม้สักลมหายใจเดียวกาลนั้น โพธิปริพาชกพำนักอยู่อาศรมในป่าอย่างสงบสุข ข่าวร่ำลือจากชาวบ้านถึงเรื่องพระมเหสีถูกปลงพระชนม์ก็มาถึงท่าน ด้วยจิตกรุณาของท่าน แม้พระราชาจะคิดฆ่าตนก็ไม่โกรธ กระทั่งยังเห็นพระคุณที่ช่วยให้ข้าวน้ำมา จึงคิดว่า..
"ยกเว้นเราเสียแล้ว ใครอื่นเล่าจะมาช่วยพระราชาให้พ้นภัย เราต้องไปห้ามพระกุมารไม่ให้ทำบาปหนัก"

 

            รุ่งเช้าท่านเข้าไปบ้านโยม ฉันเนื้อวานรที่โยมถวาย พลันคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงขอหนังวานรจากโยมนำมาตากแห้งที่อาศรมให้หมดกลิ่น นำมานุ่งห่มแล้วตรงไปเมืองพาราณสีทันทีท่านตรงเข้าไปพบพระกุมารก่อน ทูลเตือนว่า..
"การฆ่าบิดาเป็นกรรมหนักหนาสาหัส! พวกท่านอย่าได้กระทำ ทุกคนย่อมแก่ตายไปเองตัวเรานี้มาก็เพื่อไกล่เกลี่ยให้พวกท่านสามัคคีกันไว้ก่อน พวกท่านรออยู่ที่นี่ก่อน พอเราแจ้งข่าวมาขอให้พวกท่านมาหาเราที่อุทยาน แล้วจะรู้กันอีกที"

              โพธิปริพาชกนั่งลูบหนังลิงอยู่บนแผ่นหิน คนเฝ้าสวนรีบวิ่งไปกราบทูลพระราชา พระราชาทรงดีพระทัยยิ่งนัก รีบเสด็จมาหาโพธิปริพาชก พวกอำมาตย์ตกใจเหลือประมาณรีบวิ่งตามพระราชามาเพื่อทูลยุยงให้กำจัดโพธิปริพาชกให้ได้ โพธิปริพาชกไม่แยแสสนใจพระราชา ยังคงลูบหนังลิงต่อไป..


"ทำไมท่านไม่ยอมพูดจากับข้าพเจ้าเลย มัวแต่ลูบคลำหนังลิงอยู่ได้ หนังลิงของท่านมีอุปการคุณมากกว่าตัวข้าพเจ้าเชียวหรือ" พระราชาตรัส..
"ถูกแล้ว! มหาบพิตร ลิงตัวนี้มีอุปการะแก่ข้าพระองค์มาก เรานั่งบนหลังของมันไปในที่ต่างๆลิงนี้นำหม้อน้ำมาให้เรา(เอาหนังลิงพาดบ่าแบกน้ำ), กวาดที่อยู่ให้เรา(เอาหนังลิงปัดพื้น), ปฏิบัติขัดสีให้เรา(เอาหนังลิงขัดถูตัว) แต่เราก็กินเนื้อของมัน เอาหนังมันมาตากแห้งปูนั่งนอนเพราะจิตใจเราชั่วช้า!"

 

พวกอำมาตย์พากันปรบมือหัวเราะเยาะเย้ยว่า..
"โอ้! พวกเราดูการกระทำของบรรพชิตนี้สิ ฆ่าลิงแล้วยังเอาหนังของมันอีก นักบวชประสาอะไรทำปาณาติบาตได้ปานนี้!"

"พวกท่านหัวเราะเยาะเราทำไมรึ" โพธิปริพาชกถามอย่างมีเชิง
"ท่านทำร้ายมิตร ซ้ำยังทำปาณาติบาตอีก ท่านไม่รู้ตัวเลยรึไง" อำมาตย์คนแรกตอบ
"ตัวท่านเที่ยวสอนชาวบ้านว่า โลกนี้ไม่มีบาปกรรม จะทำอะไรก็ได้ ถ้าคำของท่านเป็นจริงอย่างนั้นเราฆ่าลิงก็มิเห็นเป็นไร เราไม่มีโทษผิดเลย ถ้าท่านคิดจริงอย่างที่พูด ท่านจะมาว่าเราทำไมท่านต้องสรรเสริญเราสิ! เพราะเราได้ทำตามคำสอนของท่าน แต่ท่านกลับไม่เชื่อคำพูดของตนเองแล้วมาติเตียนเรา"

โพธิปริพาชกพูดสวนกลับอำมาตย์คนแรก และกล่าวกับอำมาตย์คนที่สองต่อว่า..
"ส่วนตัวท่านนี้เที่ยวบอกชาวบ้านว่า พระเจ้าสร้างชีวิตสร้างฤทธิ์สร้างความพินาศสร้างกรรมดี กรรมชั่ว ให้แก่ชาวโลก อย่างนั้นชีวิตเรานี้ก็ทำตามคำสั่งของพระเป็นเจ้า พระเจ้าเปื้อนบาปเอง เราไม่ได้บาป ถ้าคำพูดของเจ้าไม่ชั่วช้า เป็นคำจริง เราฆ่าลิงก็มิเห็นเป็นไร ท่านจะมาหัวเราะติเตียนเราทำไมเล่า" แล้วกล่าวกับอำมาตย์คนที่สามต่อไปว่า..

"ส่วนท่านสอนว่าทุกข์สุขในโลกเป็นของเกิดขึ้นเอง ไม่มีบุญ ไม่มีบาป ทุกการกระทำล้วนเกิดมาจากอดีตของมันเอง อย่างนั้นเราฆ่าลิงจะผิดอะไร ถ้าท่านเชื่อตามคำของท่านจริง เราก็ไม่ผิด"แล้วกล่าวกับอำมาตย์คนต่อไปว่า..

"เจ้าเที่ยวสอนชาวบ้านว่า การให้ทานไร้ผล ตายแล้วก็ขาดสูญ ไม่มีปรโลกใดๆ ถ้าเจ้าเชื่อถ้อยคำของเจ้าเอง แล้วบาปจะมีแก่เราที่ไหน"

 

กล่าวกับอำมาตย์คนสุดท้ายต่อไปว่า..
"ส่วนเจ้าบอกว่าคนเราควรฆ่าบิดามารดาของตน ฆ่าพี่ฆ่าน้องและหมู่ญาติของตน แล้วแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเองอย่างเดียว เจ้านี่เป็นพาลแท้ๆ ถ้าเช่นนั้นทำไมเจ้าไม่ฆ่าคนทั้งหมดที่เจ้าพูดถึง เพื่อเอาประโยชน์ล่ะ!"

             พวกเจ้าจงจำไว้! บุคคลนั่งนอนในร่มไม้ใด ไม่ควรหักรานกิ่งของไม้นั้น เพราะผู้ทำร้ายมิตรเป็นคนเลวทรามต่ำช้า ข้าแต่มหาราช! พระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ฆ่าพระชายาผู้ไม่คิดร้าย ย่อมประสบบาปอย่างหนัก และย่อมผิดต่อพระราชบุตรทั้งหลาย พระเทวีถูกพวกอำมาตย์เหล่านี้ฆ่าตายไปแล้วตั้งแต่วันนี้ไปพระองค์อย่าได้ทรงเชื่อคำของคนชั่วพวกนี้อีก

โพธิปริพาชกให้คนไปทูลเชิญพระกุมารทั้งสี่มา แล้วให้พระราชาทรงยกโทษให้พระกุมารจากนั้นถวายโอวาทว่า..
"มหาบพิตร แต่นี้ไปขอพระองค์อย่าเพิ่งทรงเชื่อคำคนอื่นโดยยังไม่พิจารณา เหตุร้ายทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะพระองค์ทรงเชื่อคำคนมุ่งทำลายมิตรจนทำกรรมสาหัสถึงเพียงนี้ พระกุมารทั้งหลายก็อย่าทรงคิดร้ายต่อพระราชาอีกเลย"

"ข้าพเจ้าผิดต่อพระโอรสและพระเทวีก็เพราะเจ้าพวกอำมาตย์เหล่านี้แท้ๆ ข้าพเจ้ามัวแต่เชื่อฟังคำพวกมัน จึงทำบาปกรรมมากมาย ข้าพเจ้าจะฆ่าอำมาตย์ทั้งห้านี้ให้หมดเลย"

 

           โพธิปริพาชกห้ามไม่ให้ทรงทำอย่างนั้น พระราชาทรงรับสั่งให้ริบทรัพย์พวกอำมาตย์ ให้จับโกนผมไว้แหยมห้าแหยม จองจำด้วยขื่อคา ทาขี้วัว แล้วขับไล่ออกนอกเมืองทันทีส่วนโพธิปริพาชก เสร็จธุระแล้วก็กลับสู่ป่าหิมวันต์ตามเดิม ทำฌานและอภิญญาให้เกิด เจริญพรหมวิหารจนตลอดชีวิต พอสิ้นชีพก็ไปพักต่อในพรหมโลก รอลงมาสร้างบารมีต่อไป..


ประชุมชาดก
           พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า อำมาตย์ทั้ง 5 ในกาลนั้นมาเป็นปูรณกัสสปะ มักขลิโคสาละปกุธกัจจานะ อชิตเก กัมพล และนิครนถ์นาฏบุตรในกาลนี้สุนัขเหลืองมาเป็นพระอานนท์โพธิปริพาชกมาเป็นตถาคตแล

           จากชาดกเรื่องนี้ การทำความดี บางครั้งต้องเสี่ยงเอาความสงบสุขของตนเป็นเดิมพัน เนื่องเพราะอาจไปขัดผลประโยชน์ของใครเข้า หากโพธิปริพาชกไม่มีเมตตาอย่างเปี่ยมล้น ก็ยากจะทนกับผู้คนที่วุ่นวายด้วยกิเลสได้ ความเบื่อคนอาจทำให้เกิดความท้อแท้ในการทำสิ่งที่ดีเพื่อผู้อื่น เป็นตัวสลายความเมตตากรุณาเอ็นดูต่อสรรพสัตว์ ซึ่งเข้าทางพญามาร เป็นกับดักของพญามารที่จะลดคุณค่าของนักสร้างบารมี ที่แม้จะไปถึงจุดหมายได้ แต่ก็ไม่ยอมให้สร้างคุณประโยชน์ต่อผู้อื่น มิให้เอาความรู้ความสามารถพิเศษมาใช้อย่างเต็มที่เฉกเช่นกับพระสัพพัญูพุทธเจ้าทั้งหลาย

"นิสัยยินดีในความดีผู้อื่น, ไม่ขมขื่นเมื่อเห็นคนใกล้ตัวได้ดี, เห็นแก่ความดี ไม่มีริษยา,
ไม่เบื่อหน่ายคน ทนกิเลส ผู้อื่นได้ และเห็นโทษความไร้น้ำใจว่าเป็นสิ่งทำตนให้คับแคบ ริดรอน
คุณค่า ทำลายคุณประโยชน์ของตนลงไปอย่างมหาศาล" ทั้งหมดนี้จึงนับเป็นนิสัยในวิถีนักสร้าง
บารมีที่นับเนื่องเข้าในเมตตาบารมี

-----------------------------------------------

SB 405 ชาดก วิถีนักสร้างบารมี

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.001121199131012 Mins