กระสือ กระหัง

วันที่ 16 สค. พ.ศ.2560

กระสือ กระหัง ,ที่นี่มีคำตอบ ฉบับมินิ เล่ม 4 รักนี้สีอะไร,บทความประจำวัน

 

                                                                   

                                                               กระสือ กระหัง
   

        ลูกมีความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องผีกระสือมานานแล้ว เรื่องมีอยู่ว่าสมัยที่ลูกอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ปัจจุบันนี้ลูกย้ายมาอยู่ที่จังหวัดปทุมธานีแล้ว  ทุกคนในหมู่บ้านจะเคยเจอผีกระสือจนทำให้รู้สึกเป็นสิ่งปกติในชีวิตประจำวัน ซึ่งวิธีสังเกตคนเป็นกระสือ ที่คนในหมู่บ้านจะรู้กันคือ บุคลิกของคนๆนั้น จะไม่ชอบสุงสิงกับใคร ชอบอยู่ในที่มืด แม้ในเวลากลางวัน ก็จะอยู่แต่ในบ้าน ทำบรรยากาศในบ้านให้ดูสลัวๆทึมๆ ถ้าใครมีญาติพี่น้องเป็นกระสือ เวลาทานข้าวจะชวนเท่าไร เขาจะไม่มากินด้วย จะกินข้าวทีหลัง แอบกินอยู่คนเดียวในมุมลับๆ และชอบกิน ของสดๆ คาวๆ ถ้าบ้านไหนมีคนใกล้จะคลอดลูก ยิ่งเป็นที่สนใจของกระสือมาก เพราะกระสือชอบกินรกและเลือดของเด็กโดยแอบเข้ามาในบ้านตามร่องกระดานพื้นบ้าน เนื่องจากบ้านสมัยนั้นมักยกสูง โดยมีใต้ถุนบ้านไว้ ไม้กระดานก็ไม่ได้ติดกันแบบสมัยนี้จะเป็นร่องกระดาน

     วิธีป้องกันกระสือเข้าบ้าน  คือเขาจะเอาลวดหนาม หรือไม้ไผ่ที่มีหนาม มาวางไว้ใต้ถุนบ้าน เพราะมีความเชื่อว่า ผีกระสือจะกลัวลวดหนามเกี่ยวไส้ จะไม่มารบกวนยิ่งถ้าใครมีบาดแผลต้องระวังให้ดี กระสือจะมาแอบดูดเลือด และจะทำให้คนๆนั้น รู้สึกอ่อนเพลีย ไป ๒-๓ วัน 

    อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับตัวลูกเอง  ตอนนั้นลูกตากผ้าเปียกไว้ตอนกลางคืน เช้ามาก็พบว่า มีรอยเปื้อนคล้ายคนมาเช็ดปากทิ้งไว้ ลักษณะคราบก็เหมือนไปกินของสกปรกมา มีกลิ่นคาว ซึ่งคนโบราณจะมีความเชื่อว่า ถ้ามีรอยแบบนี้บนผ้า ให้เอาผ้าไปฟาดกับบันได จะทำให้คนที่เป็นกระสือเจ็บปาก แล้วปากเขาจะบวมๆ เราก็จะรู้ได้ว่าใครเป็นกระสือ ลูกก็ทำตามปรากฏว่า เมื่อเดินไปสำรวจตามบ้านต่างๆ โดยเฉพาะบ้านที่สงสัย ที่มียายแก่ๆ อาศัยอยู่คนเดียว ซึ่งคนแถวนั้นจะรู้กันว่า ยายคนนี้เป็นกระสือ ก็พบว่ายายคนนั้นปากแกบวมฉึ่งจริงๆ

    ลักษณะของกระสือที่เห็นบ่อยๆในเวลากลางคืน หลัง ๓ ทุ่มไปแล้ว คือ จะเห็นเป็นดวงไฟกลมๆ ขนาดเท่าฝ่ามือมีสีออกแดงๆ เหลืองๆ เหมือนเปลวเทียนไม่เห็นเป็นหัวคน  และก็ไม่เห็นไส้ห้อยรุ่งริ่งอย่างที่ใครๆ พูดกัน ดวงไฟจะลอยขึ้นๆ ลงๆ ไปมาเหมือนกำลังหาอาหารอยู่ ลูกเองพยายามจะจับหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยสำเร็จ แต่มีคนเคยทำสำเร็จ เขาเป็นพี่ชายของเพื่อนลูกเอง เรื่องเกิดขึ้นที่จังหวัดพัทลุง

   เขาเล่าว่า  หมู่บ้านเขาก็มีกระสือหลายตัวเหมือนกัน ตอนนั้นเป็นช่วงพลบค่ำ พี่สะใภ้กำลังจะคลอดลูก พี่ชายของเขาก็ยังจับปลาอยู่ตรงบริเวณคลองแถวบ้าน  เมื่อพี่ชายมองมาที่บ้านของตัวเองก็เห็นดวงไฟ ดวงหนึ่งลอยขึ้นๆลงๆ วนอยู่รอบบ้านนึกว่าไฟไหม้บ้าน จึงรีบกลับมาดูแล้วก็ชวนพรรคพวกเอาไม้ไผ่มาล้อมจับ แล้วก็จับได้  จึงขังดวงไฟนั้นไว้ในสุ่ม พอตอนเช้าดวงไฟก็หายไป เห็นแต่ความว่างเปล่า แต่พอตกกลางคืนอีกครั้ง ก็เห็นดวงไฟยังคงอยู่ในสุ่มเหมือนเดิม

   เช้าวันต่อมา  จึงไปเดินตามหาว่า ใครเป็นผู้ต้องสงสัย ก็พบยายแก่ๆ อยู่บ้านคนเดียว นอนพะงาบๆ หายใจรวยรินคล้ายคนใกล้จะตาย ลักษณะเหมือนร่างไร้วิญญาณ พี่ชายของเพื่อนจึงไปยืนพูดกับยายคนนั้นว่า ต่อไปอย่ามายุ่งกับครอบครัวเขาอีกนะ แล้วเขาก็ปล่อยกระสือไป เมื่อกลับไปบ้านก็กลับไปเปิดสุ่มออก จากนั้นก็ไมมีกระสือมากวนที่บ้านอีกเลย

    กระสือมีจริงหรือไม่คะ สิ่งที่ลูกได้เจอและพี่ชายของเพื่อนได้เจอ เป็นกระสือจริงๆหรือไม่ กระสือมีลักณณะและมีความเป็นอยู่อย่างไร ส่วนใหญ่จะเชื่อกันว่า มีแต่หัวกับไส้ลอยไปลอยมา แต่สิ่งที่ลูกและอีกหลายๆคนเห็น เห็นเป็นเพียงดวงไฟลอยไปลอยมาแค่นั้นเอง

    ลูกเคยได้ยินมาว่า คนที่เป็นกระสือก่อนที่ตัวเองจะตาย  จะต้องหาคนสืบทอด โดยหาจากญาติพี่น้องของตัวเอง  และใช้แหวนเป็นสื่อวิธีการคือ  จะถอดแหวนให้ผู้สืบทอดรับไปใส่ต่อ เขาก็กลายเป็นกระสือตัวต่อไป เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ถ้ากระสือมีจริง  แล้วกระหังมีจริงหรือไม่

     
 
 คุณครูไม่ใหญ่

   กระสือ คือ ภูตชนิดหนึ่ง
  ภูตอย่างหนึ่ง ผีอย่างหนึ่ง ปีศาจก็อีกอย่างหนึ่ง แต่เราจะได้ยินคำรวมไปเลย ภูตผีปีศาจ เพราะคำมันคล้องกัน แต่จริงๆ แล้วมันคนละประเภทกัน คือ หน้าตามันจะแตกต่างกันไป และพฤติกรรมหรือความสามารถมันจะแตกต่าง ซึ่งตอนเป็นมนุษย์ เช่น นำของปลอมมาหลอกขายว่าเป็นของจริงของโบราณโดยหากินทางมิชอบ  อันนี้คือวิบากกรรมที่ทำให้เป็นภูต เป็นต้น

 ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ตามที่หลอกลวงเช่นนี้ ตายแล้ว ก็จะไปเป็นเปรตก่อนเพราะความโลภอยากได้ทรัพย์โดยมิชอบมีความหิวโหยมากจากเปรต  กรรมยังไม่หมดก็จะมาเป็นภูตที่กินได้เฉพาะของที่สกปรกของคาวของเน่าเหม็น โดยเขาจะมาสิงอยู่กับคนที่มีวิบากกรรม เหมือนที่ตนเองเคยทำตอนเป็นมนุษย์ คื่อไม่ได้สิงได้ทุกคน จะเข้าสิงเฉพาะคนที่มีวิบากกรรมอย่างเดียวกันมันจึงดูดมาหากันได้ 

   ลักษณะรูปร่างก็คล้ายๆผีนั่นแหละแต่มีฤทธิ์มากกว่า คือ สามารถแปลงกายเป็นสัตว์ได้ เช่น แปลงเป็นหมาดำ เป็นงู เป็นต้น แต่ผีแปลงไม่ได้
    
   ภูตบางตัวแปลงร่างได้มาก บางตัวแปลงได้น้อย หรือแปลงได้บางอย่าง บางภูตแปลงได้ ๒ อย่าง ๓ อย่าง ๔ อย่าง บางภูตแปลงได้เป็นหมาดำตัวใหญ่ได้ เป็นงูได้ นี่ยกตัวอย่าง 

  ภูตชนิดนี้จะมีชีวิตสิง   มนุษย์อยู่ เหมือนกาฝากที่ติดตามต้นไม้ต่างๆ ยิ่งอยู่นานไปก็จะยึดทั่วร่างกายและจิตใจมนุษย์ เหมือนกาฝากที่ขยายขึ้นคลุมต้นไม้ พวกนี้จะชอบที่มืดไม่ชอบแสงสว่าง แต่ไม่มีหัวและไส้ที่ลอสยไปลอยมาเวลาถอดกาย ออกจากมนุษย์จะเป็นดวง เป็นสีๆ ส่วนใหญ่ก็จะมีสีเหลือง สีแดง สีเขียว สีส้มเป็นต้น(ที่มีหัวและไส้รุ่งริ่ง เป็นเปรตชนิดหนึ่ง แต่ไม่ใช่กระสือ และจะมีอีกาตามไล่จิกไส้ที่ห้อยมา)

   ดวงนั้น คือ ดวงจิตของมนุษย์ ที่มีวิบากกรรมที่โดนสิงและถูกสิง จะถูกบังคับให้ออกมา โดยภูตจะหุ้มดวงจิตนั้น ซึ่งเราจะเห็นแค่เพียงดวงจิตของมนุษย์ ที่มีวิบากกรรมลอยไปเท่านั้น แต่ตัวภูตเรามองไม่เห็น

  พวกนี้จะชอบไปกินของสกปรกของคาว ของเหม็นเน่า เวลากินก็จะใช้วิธีกินเหมือนมนุษย์นี่แหละเพราะสภาวะนี้เป็นกึ่งหยาบกึ่งละเอียด จึงสามารถกินของหยาบได้ กินเสร็จแล้ว ก็จะเอาปากไปเช็ดตามผ้าที่ตากไว้จริงๆ เหมือนมนุษย์เช็ดปากอย่างนั้นแหละ ฉะนั้นใครตากผ้าไว้กลางคืนไปเก็บซะ

  สิ่งที่ลูกและพี่ชายเจอคือภูตพวกนี้แหละ ซึ่งมนุษย์เรียกว่า ผีกระสือซึ่งมีทั้งหญิงและชาย แล้วแต่มนุษย์จะสมมติเรียก เช่น ผู้หญิงก็สมมุติเรียกว่าเป็นผีกระสือ ผู้ชายสมมุติเรียกว่าเป็นผีกระหัง แต่ผู้ชายไม่มีกระด้งหรือหางเป็นสาก อันนี้มนุษย์ก็สมมุติกันไปเรื่อย

  การสืบทอดจากร่างหนึ่งไปอีกร่างหนึ่ง เมื่อวิบากกรรมนั้นยังไม่หมด โดยภูตที่จะมารับสืบทอดต้องมีกรรมชนิดนี้ด้วย ไม่ใช่จะไปให้ใครก็ได้ ถ้าไม่มีผู้มีกรรมแบบเดียวกัน ภูตก็ต้องตายไปพร้อมกับร่างที่สิงนั้นคล้ายต้นกาฝากตายพร้อมกับต้นไม้ที่ตัวเกาะอยู่  แล้วไปเกิดเป็นอย่างอื่น ตามวิบากกรรมต่อไป เหมือนตายจากเปรตมาเป็นภูต ตายจากภูตก็ไปเป็นอะไรต่ออะไรตามวิบากกรรม

  ส่วนวิธีการถ่ายทอดนั้นก็หลากหลายวิธี ขอเพียงผู้มาสืบทอดต้องมีกรรมอย่างเดียวกันเท่านั้น ส่วนวิธีการจะถ่ายทอดอย่างไรก็ได้ จะมอบแหวน หรือจะอะไรมันมีหลากหลายวิธีการ  ไม่ใช่เฉพาะมอบแหวนอย่างเดียว

  การจะจับภูตไว้ในสุ่มได้ ต้องมีมนตร์คาถาอาคม อยู่ๆ จะเอาสุ่มไปไล่จับโดยไม่มีวิชาอาคมนั้นยากแล้วที่ว่าถ้าเอาผ้าที่มีรอยเปื้อนคล้ายๆคนเช็ดปากไว้ และมีกลิ่นคาวหรือของสกปรกติดอยู่ไปฟาดที่บันไดนั้นจะทำให้ผู้เป็นกรสือตัวนั้นเกิดปากบวมบ้าง หรือเอาผ้าต้มให้ปวดแสบปวดร้อนบ้าง ก็เป็นการเสริมแต่งเรื่องราวกันไป หรือการที่ผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นผีกระสือ เกิดปากบวมฉึ่งขึ้นมาอย่างเรื่องที่ว่านี้ ก็เป็นความบังเอิญ ไม่ได้เป็นเพราะว่า พอฟาดตุ้บบวมฉึ่งขึ้นมาอย่างนี้ ไม่ใช่ 


 

ที่นี่มีคำตอบ ฉบับที่ 8 ความใช่-ความเชื่อ

คุณครูไม่ใหญ่

๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.012585949897766 Mins