กัณฑ์ที่ ๓๒
รัตนสูตร ธรรมรัตนะ
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ (๓ ครั้ง)
วนปฺปคุมฺเพ ยถา ผุสฺสิตคูเค |
คิมฺหานมาเส ปฐมสฺมิ คิมฺเห |
ตถูปมํ ธมฺมวรํ อเทสยิ |
นิพฺพานคามิ ปรมํ หิตาย |
อิทมฺปิ พุทฺเธ รตนํ ปณีตํ |
เอเตน สจฺเจน สุวตฺถิ โหตูติ ฯ |
ณ บัดนี้อาตมภาพจักได้แสดงธรรมิกถามแก้ด้วย รัตนสูตร ยังค้างอยู่ยังหาเสร็จลงไปไม่ บัดนี้จะชี้แจงแสดงในคาถาว่า วนปฺปคุมฺเพ ที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงตรัสเทศนาธรรมที่พระองค์ทรงสั่งสอนสัตว์ ที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว สัตว์ทั้งหลายยังหลับอยู่หาตื่นไม่ เมื่อพระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว นำเอาธรรมที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้นั้น มาแจกแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ดุจปลุกสัตว์ทั้งหลายทั้งโลกให้ตื่นขึ้นดุจพระองค์บ้างเรื่องนี้กระแสวาระพระบาลีนี้เป็นธรรมอันสุขุมลุ่มลึกคัมภีรภาพมาก ทั้งเรียนก็ยาก ทั้งแสดงก็ยาก ทั้งฟังก็ยาก มันยากด้วยกันทั้งนั้น เหตุนั้นวันนี้สมควรแล้วที่เราท่านทั้งหลายจะพึงได้สดับฟังในรัตนสูตรนี้ ตามวาระพระบาลีว่า
วนปฺปตุมฺเพ ยถา ผุสฺสิตคฺเค แปลเป็นสยามว่า ครั้งเมื่อพุ่มไม้ในป่ามียอดอันแย้มแล้ว
ปฐมสฺมิ ติมฺเห ในต้นฤดูร้อน ในต้นเดือนของฤดูร้อนแห่งฤดูร้อนฉันใด
ตถูปมํ ธมฺมวรํ อเทสยิ พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดง ซึ่งธรรมอันประเสริฐ
นิพฺพานคามิ ปรมํ หิตาย ให้ถึงซึ่งพระนิพพานอันประเสริฐ เพื่อเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลาย
ตถาอุปฺปมํ มีอุปมาฉันนั้น
อิทมฺปิ พุทฺเธ รตนํ ปณีตํ อันนี้เป็นรัตนะอันประณีตในพระพุทธเจ้า
เอเตน สจฺเจน ตามความสัจอันนี้
สุวตฺถิ โหตุ สพฺพทา ขอความสวัสดีจงมีเถิด
นี้เนื้อความของพระบาลีคลี่ความเป็นสยามได้ความเท่านี้ ต่อแต่นี้จะอรรถาธิบาย ขยายความเป็นลำดับไป
เมื่อพุ่มไม้ในป่าเมื่อมีใบตกเสียหมดแล้ว ถ้าว่าเมื่อมนุษย์ไม่เดียงสาในต้นไม้นั้น ไม่เข้าใจในต้นไม้แล้ว เข้าใจว่าต้นไม้นั้นตายเสียแล้ว ไม่มีใบแล้ว แต่ไม่ตายหรอกเขาตัดใบ เมื่อมียอดอันแย้มแล้วชื่อว่าแตกใบใหม่ ยอดมันอยู่ตรงไหนมันก็แย้มออกตรงนั้น แตกใบออกที่ตรงนั้น นี่เรียกว่ามียอดอันแย้มแล้ว พุ่มไม่ในป่าที่จะมียอดอันแย้มออกไปได้เช่นนี้ต้องในต้นเดือนของฤดูร้อน ชาวโลกเขาจึงได้ว่า นี่ถึงคราวเวลาใบไม้ผลิแล้ว ที่มันจะออกดอกนั่นเอใบไม้ผลิ เราก็เห็นยอดต้นไม้ที่ผลิออกมาปรากฏชัด ๆ เราก็รู้ว่าจะมีใบต่อไปนั่นแหละฉันใด ยถา ฉันใด พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมอันประเสริฐ ให้ถึงซึ่งนิพพานอันปะเสริฐเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลาย ตถาอุปฺปมํ มีอุปมัยฉันนั้น
เพราะธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ซึ่งเป็นธรรมอันประเสริฐน่ะ ธรรมอะไร? จึงจัดได้ชื่อว่าเป็นวรธรรม เป็นธรรมอันประเสริฐ อันนั้นไม่มีผู้หญิงผู้ใดที่จะคาดคั้นลงไปว่า ธรรมอันใดเป็นธรรมอันประเสริฐ ถ้าว่าอรรถกถานัยคลี่ความพระบาลีออกไว้ เราก็รู้ได้ทีเดียวว่าธรรมอันนั้นอันนี้ ธรรมอันประเสริฐของมนุษย์น่ะมีอยู่แท้ ๆ เกื้อกูลแก่มนุษย์ทั้งหลายจริง ๆ ธรรมอะไรล่ะที่ให้มนุษย์เป็นอยู่เดี๋ยวนี้แหละ เขาเรียกว่ามนุษยธรรมธรรมที่ทำให้มนุษย์เป็นอยู่ รูปพรรณสัณฐานเป็นอย่างไร โตเล็กเท่าไหน? สีสันวรรณะเป็นอย่างไร? อยู่ที่ไหน?
ธรรมนั้นสัณฐานกลมสีขาวใสเหมือนแก้ว โตเล็กตามส่วนของธรรมนั้น ๆ นี่แหละมีอยู่แท้ ๆ เป็นธรรมอันประเสริฐ ถ้าเราไม่ได้ธรรมดวงนั้นละก็เราต้องตายแน่ มาอยู่เป็นมนุษย์กับเขาได้ไม่ว่าหญิงว่าชายพระเณรไม่รู้ ถ้าไม่ได้ธรรมดวงนั้นแล้วเป็นตายแน่ ถ้าได้ธรรมดวงนั้นก็เป็นอยู่ ถึงกระนั้นก็ต้องหล่อเลี้ยงเสมอเหมือนกัน หล่อเลี้ยงเสมอเหมือนอะไร เหมือนไฟ ธรรมดวงนั้นต้องหล่อเลี้ยงอยู่เสมอ ถ้าไม่หล่อเลี้ยงเสมอ ดับเหมือนไฟ ไฟต้องหล่อเลี้ยงเสมอ ไฟเมื่อติดขึ้นแล้วจะใช้ไฟฟืน ก็ต้องเอาฟืนไปปรนปรืออยู่เสมอหมดฟืนเก่าก็เติมฟืนใหม่เข้าไป แต่อย่าเติมให้ถูกส่วนนะ ไม่ถูกส่วนก็ดับเหมือนกัน เติมถูกส่วนไฟไม่ดับ ถ้าต้องการไฟด้วยได้ด้วยเทียน ต้องมีได้มีเทียนมาเป็นใส่ไว้ ขาดเชื้อไม่ได้ ขาดเชื้อไฟก็ดับ ไฟต้องอาศัยเชื้อ ไม่มีเชื้อไฟอยู่ไม่ได้ดับ ถ้าหากว่าเป็นไฟฟ้าก็ต้องบำรุงเตาไฟฟ้าไว้ ไฟนั้นจึงจะคงอยู่ได้ ถ้าว่าไฟฟ้าในเตาดับหมด ไฟที่จะจ่ายมาเอาค่าจ้างเขาก็ไม่มี อยู่ไม่ได้ หากว่าไฟที่ใช้ไฟฉายกันนี้ ใช้ถ่านไฟฉายเช่นนี้ ก็อยู่ชั่วกำลังของไฟฉายนั้น หมดกำลังไฟก็ดับไปอยู่ไม่ได้เหมือนกัน ต้องคอยปรนปรือเสมอ ไฟของมนุษย์ไฟที่เรียกว่า มนุษยธรรม ธรรมของมนุษย์นี่ก็ดุจเดียวกัน ต้องคอยปรนปรือเสมอใส่เชื้อเสมอเชื้ออะไรล่ะ? ข้าวสุก ขนมสด ขนมแห้ง ปลา เนื้อ ต้องคอยจุนเจือมันเสมอ ถ้าไม่จุนเจือแล้วไฟที่เรียกว่ามนุษยธรรมที่ทำให้เป็นมนุษย์นี้ก็ดับเหมือนกัน ไม่จุนเจือไม่ได้ ไม่จุนเจือดับ แน่นอนทีเดียว ไม่ต้องสงสัย เพราะเหตุฉะนั้น ธรรมดวงนี้แหละเป็นธรรมลึกซึ้งอยู่ เขาเรียกว่ามนุษยธรรม ถ้าว่าเป็นกายเทวดาเข้า เขาเรียกว่าเทวธรรม ธรรมที่ทำให้เป็นเทวดา ถ้าว่าไปเป็นภายรูปพรหม-รูปพรหมละเอียดเข้า เขาเรียกว่าพรหมธรรม ธรรมที่ทำให้เป็นพรหม ถ้าว่าไม่ถึงอรูปพรหม-อรูปพรหมละเอียด เขาเรียกว่าอรูปพรหมธรรม ธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหม เป็นชั้น ๆ ไปอย่างนี้
ต่อนี้จะแสดงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์เป็นลำดับไป นี้แหละธรรมดวงนี้แหละเป็นธรรมสำคัญนักธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์น่ะต้อง บริสุทธิ์ด้วยกาย บริสุทธิ์ด้วยวาจา บริสุทธิ์ด้วยใจ ไม่มีร่องเสียเลย ในชาติก่อนภพก่อนมา เมื่อบริสุทธิ์ด้วยกายวาจาใจไม่มีร่องเสียเลย แตกกายทำลายขันธ์จากมนุษย์ตนนั้น ก็กลับมาเป็นมนุษย์ใหม่เป็นศัพภเสยุยกสัตว์ เกิดในครรภ์มนุษย์ หญิงก็ดีชายก็ดี เกิดในครรภ์มนุษย์ ที่จะเกิดในกายมนุษย์ต้องเกิดในธรรมดวงนั้น จะไปเกิดที่อื่นไม่ได้ กายมนุษย์ละเอียดต้องเข้าไปอยู่ในกลางธรรมดวงนั้นไปหยุดนิ่งอยู่ในกลางธรรมดวงนั้น เอาใจหยุดนิ่งกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ดวงนั้นเข้าไป หยุดนิ่งอยู่ พอนิ่งแล้วอาศัยกลรูปของพ่อแม่ โอบอ้อมอยู่ข้างนอกหล่อเลี้ยงธรรมดวงนั้น ก็เป็นกายมนุษย์ปรากฏขึ้นข้างนอก แต่ธรรมนั่นอยู่ข้างใน พอเป็นมนุษย์แล้วธรรมดวงนั้นอยู่ในกลางตัว สะดือทะลุหลังขึงด้ายกลุ่มเส้นหนึ่งตึง ขวาทะลุซ้ายขึ้นด้ายกลุ่มเส้นหนึ่งตึงแค่กัน ตึงทั้งสองเส้น ตรงกลางจดกัน ตรงกันนั่นแหละเรียกว่า กลางกั๊ก กลางกั๊กนั่นแหละถูกกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ใสบริสุทธิ์เท่าฟองไข่แดงไก่นี่ดวงหนึ่งละนะ ธรรมดวงนี้ใสแบบกระจก ขาวก็แบบกระจกคันฉ่องส่องเงาหน้า ใสอย่างชนิดนั้น ขาวอย่างชนิดนั้นนั่นแหละ
ดวงนี้แหละเป็นธรรมสำคัญ แล้วก็พระไตรปิฎก วินัยปิฎก สุดตันตปิฎก ปรมัตถปิฎก อยู่ในกลางดวงธรรมนี่ทั้งนั้นไม่ใช่อยู่ที่อื่น อยู่ในกลางดวงธรรมนี่ทั้งนั้น ธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์อยู่ในกลางดวงธรรมนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่อยู่ที่อื่น จะต้องรู้จักธรรมดวงนี้ก่อน ธรรมดวงนี้เป็นประหนึ่งว่าพระไตรปิฎก หรือเป็นประหนึ่งว่าหีบของพระไตรปิฎก สำหรับบรรจุธรรมทั้งนั้น ไม่ได้บรรจุอื่น ฝ่ายดีฝ่ายชั่วอยู่ในนี้เสร็จ อยู่ในกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์นั่น ติดอยู่ในกลางนั่น ทำบาป บาปก็ไปติดอยู่กลางดวงนั่น ทำบุญดวงบุญก็ไปติดอยู่กลางนั่น ศีลก็อยู่กลางนั่น สมาธิก็อยู่กลางนั่น ศีลก็อยู่ในกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์นั่นสมาธิก็อยู่กลางดวงศีลนั่น ปัญญาก็อยู่กลางดวงสมาธินั่น วิมุตติก็อยู่กลางดวงปัญญา วิมุตติญาณทัสสนะก็อยู่ในกลางดวงวิมุตติ อยู่ที่เดียวกันนั้น ถ้ารู้จักธรรมดวงนี้ แน่นอนดังนี้ละก็ นี่แหละที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา ถ้าจะเอาตัวรอดได้ต้องไปพบธรรมดวงนี้ ถ้าไม่พบธรรมดวงนี้จะเอาตัวรอดไม่ได้นี่แหละธรรมดวงนี้แหละเป็นธรรมสำคัญนัก
ที่พระองค์ทรงแนะนำสั่งสอนพวกเราว่า ครั้งเมื่อพุ่มไม้ในป่ามียอดอันแย้มในต้นของฤดูร้อน ในเดือนของฤดูร้อน ยอดไม้ในป่าก็มียอดแย้มออกไป ต้นของฤดูร้อนนั่นเป็นคราวสมัยที่ยอดไม้ในป่าจะแย้มออกละ ถ้าแย้มออกก็จะแสดกิ่งก้านสาขาออกไป เขาเรียกว่าแตกยอดใหม่ จะออกดอกออกลูกอะไรก็เวลานั้นละ แตกออกมาแล้วปรากฏออกมาแล้ว ที่ปรากฏจนกระทั่งตามมนุษย์เห็นอย่างชนิดนี้น่ะ มนุษย์ก็รู้เท่านั้นธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมอันประเสริฐน่ะ ถ้าว่าไปเห็นธรรมเข้าแล้วก็เหมือนอย่างกับเห็นดอกไม้ที่แย้มออกแล้ว ไปเห็นเข้าแล้ว พอไปเห็นธรรมรูปนั้นแล้วละก็รู้ว่าอ้อธรรมนี่เป็นอย่างนี้เป็นปรากฏทีเดียว ธรรมอันประเสริฐ
ถ้าว่าเข้าถึงธรรมดวงนั้นละก็จะเข้าถึงพระนิพพานได้แน่นอน ไม่ต้องสงสัย เข้าต้นทางนิพพานแล้วถึงต้นทางนิพพานแล้ว พอถึงธรรมดวงนั้น ธรรมดวงนั้นน่ะ นิพฺพานคามิ ปรมํ ให้ถึงนิพพานอันประเสริฐทีเดียว เดี๋ยวจะแสดงให้เห็นว่าไปถึงจริง ๆ เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลายจริง ๆ สัตว์ทั้งหลายได้เห็นธรรมดวงนั้นละก็ต้องไปถึงนิพพานทีเดียว พอไปถึงธรรมดวงนั้นเข้าแล้ว ต้องเอาใจของเราไปหยุดนิ่งอยู่ในกลางดวงนั้นกลางดวงธรรมนั่นพอนิ่งอยู่ถูกส่วนเข้าเท่านั้นแหละ ก็ถึงนิพพานเท่านั้น เพราะเห็นเข้าแล้ว เห็นเข้าแล้วก็ต้องไปถึงนิพพานทีเดียวไปหยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์นั่น ใสบริสุทธิ์เท่าฟองไข่แดงของไก่ พอหยุดถูกส่วนเข้าเท่านั้นแหละ เห็นดวงธรรมอีกดวงหนึ่งเขาเรียกว่า ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฎฐาน หรือ ดวงปฐมมรรค หรือ ดวงเอกายนมรรค อยู่กลางดวง ธรรมนั่น เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์นั่นแน่ อยู่กลางดวงธรรมนั่นแหละ เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์นั่นเรียกว่า ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฎฐาน เอาละทีนี้ดอกไม้จะออกละ ยอดจะออกละ มันจะมีลูกมีผลกัน ยกใหญ่เชียวละคราวนี้ อย่าให้เคลื่อนนะ เคลื่อนไม่ได้
ให้มันหยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฎฐาน พอหยุดนิ่ง พอใจหยุดก็เข้ากลางของใจที่หยุดนั่น กลางของใจนั่น กลางของกลาง กลางของกลาง กลางของกลาง กลางของกลาง ซ้ายขวาหน้าหลังล่างบนนอกในไม้ไป กลางของกลางหนักเข้าไปกลางของกลาง กลางของกลาง กลางของกลาง กลางของกลาง พอถูกส่วนเข้าเท่านั้น เห็นดวงศีลแล้ว เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ เท่า ๆ กันอยู่กลางนั่น อยู่กลางใจที่หยุด นั่นเอง
ใจก็หยุดอยู่กลางดวงศีล พอใจหยุดก็เข้าบางของใจที่หยุดนั่น กลางของกลาง กลางของกลาง กลางของกลาง กลางของกลาง ซ้ายขวาหน้าหลังล่างบนนอกในไม่ไปพอถูกส่วนเข้าเท่านั้นเข้าถึงดวงสมาธิ เท่ากันดวงเท่ากัน เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ใจหยุดอยู่กลางดวงสมาธิ หยุดพอถูกส่วนเข้าเท่านั้น เข้ากลางของใจที่หยุด กลางของกลาง กลางของกลาง กลางของกลาง กลางของกลาง ซ้ายขวาหน้าหลังล่างบนนอกในไม่ไป กลางของกลางหนักเข้าไปกลางของกลาง กลางของกลาง กลางของกลาง กลางของกลาง พอถูกส่วนเข้าก็เข้าถึงดวงปัญญา หยุดอยู่กลางดวงปัญญานั่น พอใจหยุดก็เข้ากลางกลางของใจที่หยุดนั่น กลางของกลาง กลางของกลาง กลางของกลาง กลางของกลาง ซ้ายขวาหน้าหลังล่างบนนอกในไม่ไป กลางของกลางหนักเข้า พอถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงวิมุตติ พอใจหยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติพอถูกส่วนเข้า เข้ากลางของใจที่หยุด กลางของกลาง กลางของกลาง กลางของกลาง กลางของกลาง เข้าถึง ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ใจก็หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ พอหยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะเข้ากลางของกลาวงพอใจหยุดก็เข้ากลางของใจที่หยุดนั่นแหละ กลางของกลาง กลางของกลาง กลางของกลาง กลางของกลาง พอถูกส่วนเข้าก็เห็น กายมนุษย์ละเอียด ที่ผันออกไป ที่ไปเกิดมาเกิด เห็นปรากฏจำได้ที่เดียวนี่แน่ะ กายมนุษย์ละเอียดแล้ว นี่เข้าไปชั้นที่ ๒ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียดนะ ๒ เท่าฟองไข่แดงของไก่กลมแบบเดียวกัน แต่ว่าโตขึ้นไปอีกเท่าหนึ่งโตหนักขึ้นไป
ใจกายมนุษย์ละเอียด
ก็หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียดนั่นแหละ พอถูกส่วนเข้าก็เข้าถึงดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฎฐาน
หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฎฐาน ถูกส่วนเข้าก็เข้าถึงดวงศีล เข้ากลางใจที่หยุดเรื่อยนะ อยู่ในใจทั้งนั้นไม่ได้อยู่ที่อื่น อยู่ในใจทั้งนั้น กลางของใจที่หยุด กลางของกลาง กลางของกลาง กลางของกลาง กลางของกลาง กลางของ พอถูกส่วนเข้าก็เข้าถึง ดวงศีล
หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วนเข้าก็เข้าถึง ดวงสมาธิ
หยุดอยู่กลาง ดวงสมาธิ พอใจหยุดก็เข้ากลางของใจที่หยุดอยู่ในใจเรื่อยนะ พอถูกส่วนเข้าก็เข้าถึงดวงปัญญา
หยุดอยู่ศูนย์กลาง ดวงปัญญา ถูกส่วนเข้าก็เข้าถึง ดวงวิมุตติ
หยุดอยู่กลาง ดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้าก็เข้าถึง ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
หยุดอยู่ศูนย์กลาง ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้าก็เข้าถึงกายทิพย์ กายที่ ๓ แล้ว
ใจกายทิพย์
หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ ใสแบบเดียวกัน ใสหนักขึ้นไป ๓ เท่าฟองไข่แดงของไก่ โตขึ้นไปอีกแล้ว พอใจหยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ พอถูกส่วนเข้าก็เข้าถึงดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฎฐาน
หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลาง ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฎฐาน ถูกส่วนเข้าก็เข้าถึง ดวงศีล
หยุดอยู่ศูนย์กลาง ดวงศีล ถูกส่วนเข้าก็เข้าถึง ดวงสมาธิ
หยุดอยู่ศูนย์กลาง ดวงสมาธิ ถูกส่วนเข้าก็เข้าถึง ดวงปัญญา
หยุดอยู่ศูนย์กลาง ดวงปัญญา ถูกส่วนเข้าก็เข้าถึง ดวงวิมุตติ
หยุดอยู่ศูนย์กลาง ดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้าก็เข้าถึง ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
หยุดอยู่ศูนย์กลาง ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้าก็เข้าถึง กายทิพย์ละเอียด เป็นกายที่ ๔
ใจกายทิพย์ละเอียด
หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ละเอียด ๔ เท่าฟองไข่แดงของไก่ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ละเอียดเข้าไปแบบเดียวกัน พอถูกส่วนเข้าก็เข้าถึงดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฎฐาน แบบเดียวกันแล้วก็เข้าถึงดวงศีล
สมาธิ
ปัญญา
วิมุตติ
วิมุตติญาณทัสสนะ
พอถูกส่วนเข้าก็เข้าถึง กายรูปพรหม
ใจกายรูปพรหม
ก็หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหม ๕ เท่าฟองไข่แดงของไก่ หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหม พอถูกส่วนเข้าก็เข้าถึงดวงธัมมานุปัสสนาสติปัณฐาน
ดวงศีล
สมาธิ
ปัญญา
วิมุตติ
วิมุตติญาณทัสสนะ เข้าถึงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้าก็เข้าถึง กายรูปพรหมละเอียด
ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหมละเอียด ๖ เท่าฟองไข่แดงของไก่ ใจกายรูปพรหมละเอียด ก็หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหมละเอียด พอถูกส่วนเข้าก็เข้าถึงดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฎฐาน
ดวงศีล
สมาธิ
ปัญญา
วิมุตติ
วิมุตติญาณทัสสนะ พอถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะถูกส่วนเข้าก็เข้าถึง กายธรรม รูปเหมือนพระปฏิมากเกตุดอกบัวตูม ใสเป็นกระจกคันฉ่องส่องเงาหน้าโนเล็กตามส่วน
ใจกายธรรม
หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกาย แค่นี้เข้านิพพานได้แล้ว ไปนิพพานได้แล้วนะถึงแค่น่ะ แต่ว่ายังไม่ถนัดนัก ใจหยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกาย เท่าไหนล่ะดวงธรรมที่ทำใจเป็นธรรมกาย วัดผ่าเส้นศูนย์กลางเท่าหน้าตักธรรมกาย กลมรอบตัว นั่นแหละดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายธรรม ใจกายธรรมที่หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกายนั้น
พอถูกส่วนเข้าก็เข้าถึง ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฎฐาน
ดวงศีล
สมาธิ
ปัญญา
วิมุตติ
วิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้าก็เข้าถึง กายธรรมละเอียด กายธรรมละเอียดวัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๕ วา กลมรอบตัว หน้าตัก ๕ วา ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายธรรมละเอียดนั้น วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๕ วา กลมรอบตัวเหมือนกัน
ใจกายธรรมละเอียด
หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงะรรมที่ทำให้เป็นธรรมกายละเอียดพอถูกส่วนเข้าก็เข้าถึง ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัณฐาน
ดวงศีล
สมาธิ
ปัญญา
วิมุตติ
วิมุตติญาณทัสสนะ ก็เข้าถึง กายพระโสดา หน้าตัก ๕ วา สูง ๕ วา เกตุดอกบัวตูมใสหนักขึ้นไป ดวงธรรมทำให้เป็นธรรมกายพระโสดาหน้าตัก ๕ วา กลมรอบตัวเหมือนกัน
ใจกายพระโสดา
หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลาวงดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระโสดา พอถูกส่วนเข้าก็เข้าถึง ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฎฐาน
ดวงศีล
สมาธิ
ปัญญา
วิมุตติ
วิมุตติญาณทัสสนะ แบบเดียวกัน พอถูกดวงวิมุตติญาณทัสสนะก็เข้าถึง กายกระโสดาละเอียด หน้าตัก ๑๐ วา สูง ๑๐ วา เกตุดอกบัวตูมใสหนักขึ้นไป
ใจพระโสดาละเอียด
หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระโสดาละเอียดถูกส่วนเข้าก็เข้าถึง ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฎฐาน
ดวงศีล
สมาธิ
ปัญญา
วิมุตติ
วิมุตติญาณทัสสนะ ก็เข้าถึง กายพระสกทาคา หน้าตัก ๑๐ วา สูง ๑๐ วา เกตุดอกบัวตูมใสหนักขึ้นไป
ใจพระสกทาคา
หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระสกทาคา พอถูกส่วนเข้าก็เข้าถึง ดวงธัมมานุปัสนาสติปัฎฐาน
ดวงศีลสมาธิ
ปัญญา
วิมุตติ
วิมุตติญาณทัสสนะ ก็เข้าถึง กายพระสกทาคาละเอียด หน้าตัก ๑๕ วา สูง ๑๕ วา เกตุดอกบัวตูมใสหนักขึ้นไป
ใจของพระสกทาคาละเอียด
หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระสกทาคาละเอียด พอถูกส่วนเข้าก็เข้าถึง ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฎฐาน
ดวงศีล
สมาธิ
ปัญญา
วิมุตติ
วิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนก็เข้าถึง กายพระอนาคา หน้าตัก ๑๕ วา สูง ๑๕ วา เกตุดอกบัวตูม ใสหนักขึ้นไป
ใจของพระอนาคา
หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระอนาคา พอถูกส่วนเข้าก็เข้าถึง ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฎฐาน
ดวงศีล
สมาธิ
ปัญญา
วิมุตติ
วิมุตติญาณทัสสนะ เข้าถึง กายพระอนาคาละเอียด หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา เกตุดอกบัวตูมใสหนักขึ้นไป
ใจของพระอนาคาละเอียด
หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระอนาคาละเอียด พอถูกส่วนเข้าก็เข้าถึง ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฎฐาน
ดวงศีล
สมาธิ
ปัญญา
วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ พอถูกส่วนเข้าก็เข้าถึง กายพระอรหัต หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา เกตุดอกบัวตูม ใสหนักขึ้นไป
ใจพระอรหัต
ก็หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระอรหัต พอถูกส่วนเข้าก็เห็น ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฎฐาน ถูกส่วนเข้าก็เข้าถึงดวงศีล
สมาธิ
ปัญญา
วิมุตติ
วิมุตติญาณทัสสนะ ก็เข้าถึง กายพระอรหัตละเอียด หน้าตัก ๓๐ วา สูง ๓๐ วา เกตุดอกบัวตูม ใสหนักขึ้นไป
นี่ตั้งแต่กายธรรม-กายธรรมละเอียด กายโสดา-โสดาละเอียด กายธรรมสกทาคา-สกทาคาละเอียด กายธรรมอรหัต-อรหัตละเอียด ๑๐ กายนี่ไปนิพพานได้ทั้งนั้น แต่ว่าไม่มีนิพพานเป็นอารมณ์เหมือนพระอรหัตพระอรหัตพระอนาคามี มีนิพพานเป็นอารมณ์ ไม่มีอารมณ์อื่นละ สัตว์โลกในโลกนี้มีกามคุณเป็นอารมณ์ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เป็นที่ชอบใจเป็นอารมณ์หมดทั้งสากลโลกผู้หญิงก็แบบนั้นแหละ ผู้ชายก็แบบนั้นมีอารมณ์เพราะมีกามภพ จะไม่ให้คิดเรื่องอื่น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เท่านั้นเป็นอารมณ์ของมันเชียว ไม่คิดเรื่องอื่น ๆ นั่นเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่เท่านั้น เมื่อกามภพมีอารมณ์เช่นนี้มนุษย์ชั้นหนึ่ง สวรรค์ ๖ ชั้นมีอารมณ์อย่างเดียวกัน เมื่อถึงกายรูปพรหมอีก ๑๖ ชั้น พวกรูปพรหม ๑๖ ชั้นนั้น มีปฐมฌานเป็นอารมณ์ ทุติยฌานตติยฌาน จตุตถฌาน เป็นอารมณ์ ใจจดใจจ่ออยู่ที่ฌานนั่นแหละ ไม่ไปจ่อจดที่อื่นละ
สวรรค์ ๒ ชั้น มนุษย์ชั้นหนึ่ง ไม่จดจ่อที่อื่น จดจ่ออยู่ที่กามทั้งนั้น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ใจจดอยู่นั่นถอดไม่ออกติดแน่นเชียว
ส่วนรูปพรหมนั่นติดอยู่ที่ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ติดแบบเดียวกัน ติดยิ่งกว่าติดในกามอีกแน่นหนาทีเดียว
ส่วนกายอรูปพรหม ๔ ชั้นเล่า ใจจ่ออยู่ที่อรูปฌาน อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อกิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ติดอยู่นั่นถอนไม่ออก นี่สุดภพทั้งหมด
ส่วนกายธรรมละใจจ่ออยู่ที่นิพพาน ธรรมกาย-ธรรมกายละเอียด ธรรมกายโสดา-โสดาละเอียดพวกนี้จดนิพพานมากจดอื่นน้อย ถึงสกทาคา-สกทาคาละเอียด จดนิพพานมากหนักขึ้นไป ถึงอนาคา-อนาคาละเอียด จดนิพพานหนักขึ้นไป ถึงอรหัต อรหัตละเอียด จดนิพพานไม่คอยเลยทีเดียวนั่นนะ เป็นอย่างนี้แหละ นิพฺพานคามึ ปรมํ หิตาย ให้ถึงนิพพานอันประเสริฐ นิพฺพานคามึ ให้ถึงนิพพานอันประเสริฐทีเดียว เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายเมื่อไปถึงนิพพานแล้วก็พ้นจาก เกิด แก่ เจ็บ ตาย จาก กามภพ รูปภพ อรูปภพ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในกามภพ รูปภพ อรูปภพ มีนิพพานเป็นที่ไปในเบื้องหน้า
พระพุทธเจ้าเกิดมาในโลกมากน้อยเท่าใด ขนเรื้อเอาเวไนยสัตว์ให้ไปนิพพาน ไม่ให้เวียนว่ายในกรรมวัฎ วิปากวัฎ กิเลสวัฎ ให้จิตหลุดจากกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา หลุดจาก ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน จากอากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน นี่เขาเรียกว่า ไตรวัฎ หลุดจากไตรวัฌมีนิพพานเป็นที่ไปในเบื้องหน้า
นี้ในคาถาที่แสดงมาแล้วนี้ก็ประสงค์อย่างนี้ เมื่อรู้จักหลักอันนี้ก็รู้จักว่า พระพุทธศาสนานี้เป็นของลึกซึ้งจริง ๆ
ไม่ใช่เท่านั้นในคาถาที่ ๒ รับรองลงไปอีกว่า เป็นรัตนภาถาเหมือนกัน วโร วรญฺญ วรโท วราหโร อนุตฺตโร ธมฺมวรํ อเทสยิ พุทฺเธ รตนํ ปณีตํ อันนี้เป็นรัตนอันประณีตในพระพุทธศาสนาด้วยความสัจนี้ ขอความสวัสดีจงมีเถิด
วโร แปลเป็นภาษาไทยของเราว่า พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ
วรญฺญ ทรงทราบธรรมอันประเสริฐ
วรโท ทรงประทานธรรมอันประเสริฐ
วราหโร ทรงนำธรรมอันประเสริฐมา
อนุตฺตโร หาผู้ใดผู้หนึ่งเสมอถึงมิได้
ธมฺมวรํ อเทสยิ ทรงแสดงซึ่งธรรมอันประเสริฐ
พทฺเธ ปณีตํ นี่เป็นรัตนะอันประณีตในพระพุทธเจ้า นี่ชั้นที่หนึ่ง
พระพุทธเจ้าท่านทรงพระนาม พระวโร ก็ถูกพระพุทธเจ้า วโรก็พระพุทธเจ้าแท้ ๆ ท่านเป็นผู้ประเสริฐโรแปลว่าผู้ประเสริฐ วโรอันว่าพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ วราหโร ทรงนำธรรมอันประเสริฐมา อนุตฺตโร ไม่มีผู้ใดผู้หนึ่งมาเสมอถึง ธมฺมํวรํ อเทสยิ ได้ทรงแสดงธรรมอันประเสริฐ นี้แสดงธรรมแถวนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่แสดงธรรมแถวอื่น ๆ เลย ไม่ได้ทรงแสดงธรรมที่อื่นเลย แสดงธรรมแถวนี้ ธรรมอยู่ตรงนี้ ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์นั่น มนุษย์ผู้ฟังธรรมต้องเอาใจไปจดตรงนั้น ถ้าไม่จดตรงนั้นไม่ถูกทางไปของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ ไม่ถูกเป้าหมายใจดำของพุทธศาสนา เมื่อเอาใจไปจดอยู่ตรงนั้นแล้วทำใจให้หยุดนั้นแหละ พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญทีเดียว สตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ สุขอื่นนอกจากความหยุดความนิ่งไม่มี หยุดตรงนั้นแหละเป็นสุขละ ถูกทางไปของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทีเดียว แล้วก็ถูกความสรรเสริญของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทีเดียว นี่แหละถูกเป้าหมายใจดำของพระพุทธศาสนาละ นี่เป็นความอันประเสริฐของพระพุทธเจ้าดังนี้ นี่แหละเป็นรัตนะอันประณีต ในพระพุทธเจ้า อิทมฺปิ พุทฺเธ รตนํ ปณีตํ เป็นรัตนะอันประณีตในพระพุทธเจ้า เอเตน สจฺเจน สุวตฺถิ โหตุ ด้วยความสัจนี้ขอความสวัสดีจงมีเถิด
นี่เราได้ฟังของจริงดังนี้แล้วละก็จำไว้เป็นหลักนะอย่าให้คลาดเคลื่อน เป็นข้อวัตรปฏิบัติจะได้พาตนหลีกลัดออกจากไตรวัฎสงสารทางตรงอยู่เท่านี้นะ อย่าซมซานเซอะซะไปทางอื่นไม่ได้ เหลวไหลไปไม่ได้
ถ้าว่าจะเข้าไปในทางนี้แล้ว ต้องเป็นชั้น ๆ ต้องไม่พ้นจากกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์-กายทิพย์ละเอียดไปเสีย จะได้พ้นจากถาม เมื่อพ้นไปจากแล้วไปติดรูปอีกแล้ว ให้พ้นจาก กายพรหม-รูปพรหมละเอียดไปเสียจะได้เลิกติดรูป ไปติดอรูปอีกแล้ว ไปติดอรูปพรหมอีกแล้ว ให้พ้นกายอรูปพรหม-อรูปพรหมละเอียด จะได้ไม่ติดจะได้ถึงกายธรรม พอไปถึงกายธรรมก็ไปติดอีกเหมือนกันสักกายทิฎฐิ วิจิกิจฉา สีสัพพตปรามาส ไปติดเข้าโน่นอีกแล้ว ให้พ้นกายธรรม-กายธรรมละเอียดไปเสีย จะได้หลุดไปเข้าถึงกายธรรมโสดา-โสดาละเอียด ก็พ้นสักกายทิฎฐิวิจิกิจฉา สีสัพพตปรามาสไปเสีย ก็ยังติดกามราคะ พยาบาทอีก นั่นแกร่งอยู่นั่นอีกแล้ว ให้พ้นกายโสดา-โสดาละเอียดไปเสีย ให้ถึงกายสกทาคา-สกทาคาละเอียด กามราคะพยาบาทหมด ยังติดมราคะพยาบาทอย่างละเอียดอยู่ ให้พ้นกายสกทาคา-สกทาคาละเอียดไปเสีย เข้าถึงกายพระอนาคา-พระอนาคาละเอียด กามราคะพยาบาทอย่างละเอียดหมดหบุดไปหมด ยังไปติดรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชายังไปไม่ได้ ให้พ้นกายพระอนาคา-อนาคาละเอียดไปเสีย ให้เข้าถึงกายพระอรหัต-พระอรหัตละเอียดนั่นแหละ พ้นจากรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา เรียกว่าเข้าถึงวิราคธาตุ-วิราคธรรมแล้ว พ้นจากไตรวัฎสงสารแล้ว มีนิพพานเป็นที่ไปในเบื้องหน้า นี้พระพุทธเจ้าประสงค์อย่างนี้ หมดทั้งสกลพุทธศาสนา เมื่อพระพุทธเจ้ามีพระชนม์อยู่ก็ประสงค์แง่นี้ แม้พระพุทธเจ้ารุ่นหลังจะมาอีกเท่าไรก็ประสงค์อย่างนี้แบบเดียวกัน เมื่อรู้จักเช่นนี้แล้วก็อุตส่าห์พยายามทำให้เข้าถึงธรรมเหล่านี้ให้ได้ เมื่อเข้าถึงธรรมเหล่านี้แล้ว เราจะได้พ้นทุกข์ออกจากไตรวัฎสงสารมีนิพพานเป็นที่ไปในเบื้องหน้า
ที่ได้ชี้แจงแสดงมา ตามวาระพระบาลีคลี่ความเป็นสยามภาษาตามมตยาธิบายพอสมควรแก่เวลา วรญฺญํ สรณํ นตฺถิ ที่พึ่งอื่นไม่ใช่ที่พึ่งอันประเสริฐของเราท่านทั้งหลาย สรณํ เม รตนตฺตยํ พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของเราท่านทั้งหลาย เอเตน สจฺจ วชฺเชน ด้วยอำนาจความสัจที่ได้อ้างธรรมปฏิบัติตั้งแต่ต้นจนอวสานนี้ สทา โสตฺถี ภวนฺตุ เต ขอความสุขสวัสดี จงบังเกิดมีแต่ท่านทั้งหลาย บรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า อาตมภาพชี้แจงแสดงมา พอสมควรแก่เวลา สมมุติว่ายุติธรรมิกถาโดยอรรถนิยมความเพียงเท่านี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้