ผ้าขี้ริ้ว

วันที่ 06 สค. พ.ศ.2563

ผ้าขี้ริ้ว

                 วันหนึ่งในฤดูร้อน ข้าพเจ้ากำลังเดินไปกุฏิปรนิมมิตวสวัตดี (กุฏิของคุณยาย) ระหว่างทางได้สัมผัสบรรยากาศภายในวัดที่ร่มรื่น มีร่มเงาไม้ให้เห็นเต็มไปหมด เพราะต้นไม้ที่ปลูกในวัดเป็นต้นไม้ใหญ่ บางต้นกำลังผลัดใบ ทำให้เห็นใบอ่อนแตกยอดออกมา บ่งบอกถึงฤดูกาลที่จากไป และฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะมาเยือน


               วันนี้ เป็นวันแรกที่ข้าพเจ้ามารับบุญทำความสะอาดกุฏิคุณยายที่มีชื่อว่า "ปรนิมมิตวสวัตดี" พี่อารีพันธุ์เรียกข้าพเจ้าไปหาที่ห้องเลขาและแนะนำว่า "ให้ดูใต้ถุนกุฏิว่ามีอะไรบ้าง ดูว่าอะไรอยู่ที่ไหน เมื่อเสร็จ
แล้วก็ทำทุกอย่างให้เหมือนเดิม"


                ข้าพเจ้าเดินสำรวจรอบกุฏิ เพื่อดูว่า มีอะไรอยู่ที่ไหนบ้างสิ่งที่เห็นคือ อุปกรณ์ทำความสะอาด ได้แก่กระป๋องน้ำ แปรงขัดพื้น ทั้งที่เป็นทองเหลืองและไนล่อน เซลลูโลส (ฟองน้ำสำหรับทำความสะอาด) ผงซักฟอก ทุกอย่างถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ข้าพเจ้าเดินเลยไปด้านหลังซึ่งมีราวยกที่ใช้สำหรับตากผ้าขี้ริ้วทั้งผืนเล็ก ผืนกลาง ผืนใหญ่ ผ้าขี้ริ้วที่กุฏิคุณยายดูแปลกตากว่าที่อื่น เพราะเป็นผ้าสีอ่อนและสะอาดมาก
 

                  ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นผ้าขี้ริ้วที่สะอาดอย่างนี้มาก่อน ผ้าขี้ริ้วที่เคยเห็นโดยทั่วไปเป็นผ้าที่ดูสกปรกที่สุด เขาจึงนิยมนำผ้าสีเข้มมาทำเป็นผ้าขี้ริ้วเพื่อจะได้ไม่เห็นความสกปรก


                ข้าพเจ้าเลือกหยิบผ้าขี้ริ้วผืนใหญ่สุด เพราะมั่นใจว่า ต้องเป็นผ้าที่ใช้ถูพื้นแน่ ๆ จากนั้นก็เดินสาละวนหาไม้ถูพื้น วนไปทางซ้ายก็แล้ว ทางขวาก็แล้วก็ยังไม่เจอ จึงคิดจะเดินกลับไปถามพี่อารีพันธุ์ ก็พอดีได้ยินเสียงพี่อุดม (อุปัฏฐากอีกท่านหนึ่ง ปัจจุบันคือ พระอุดม ยติสฺสโร) ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ห้วน แต่แฝงไว้ด้วยความจริงใจ ว่า "หาอะไร" ข้าพเจ้ารีบตอบกลับไปทันทีว่า "หาไม้ถูพื้นค่ะ ไม่รู้อยู่ไหน เดินหาหลายรอบแล้ว ยังไม่เจอเลย" เสียงที่แฝงด้วยความจริงใจพลันดุขึ้นว่า "นี่เธอ ที่นี่เขาไม่ใช้ไม้ถูพื้นกันหรอกนะ" ไม่ต้องบอกต่อ...ข้าพเจ้าก็พอจะจินตนาการได้ว่า ต้องถูพื้นแบบไหน และทำอย่างไรต่อไป

 

                ข้าพเจ้ารีบเอากระป๋องน้ำมารองน้ำ ระหว่างนั้นข้าพเจ้าเห็นพี่อุดมเดินไปเก็บจีวรที่ตากอยู่ที่ราวไกล ๆ โน้นสักพักพี่อุดมก็เดินมา แล้วพูดว่า "บิดผ้าให้แห้งล่ะ" ข้าพเจ้านำผ้าไปแช่น้ำให้ชุ่มแล้วบิดผ้าให้น้ำคายออกมากที่สุด จนรู้สึกว่า ผ้าบิดเป็นเกลียวมากแล้ว นำมาตีกับมือของตัวเองอีกที เพื่อให้แน่ใจว่า ไม่มีหยดน้ำกระเซ็นออกมา


               ด้วยความปรารถนาดีอย่างจริงใจของพี่อุดม พี่เค้าเดินเข้ามาหาข้าพเจ้าแล้วพูดว่า "ส่งผ้ามานี่จะทำให้ดู" ข้าพเจ้าส่งผ้าผืนนั้นให้พี่อุดม พี่เค้าได้สาธิตวิธีการพับผ้าขี้ริ้วว่า พับเป็นกี่ด้าน ขนาดของผ้ากับฝ่ามือของเราต้องใกล้เคียงกัน เวลาถูต้องคลี่ผ้าออกมาใช้ให้ครบทุกด้าน ซึ่งสิ่งนี้ไม่เคยมีใครสอนข้าพเจ้ามาก่อน


              จากนั้นข้าพเจ้าเดินเข้าไปในกุฏิ ตรงไปยังห้องที่อยู่ด้านในสุด และคุกเข่าใช้มือทั้งสองวางบนผืนผ้า ถูห้องไปตามแนวยาว โดยเริ่มถูจากมุมห้องที่อยู่ด้านในสุดถอยหลังมาเรื่อย ๆ ข้าพเจ้าถูพื้นประมาณครึ่งห้องก็จะสลับเอาด้านใหม่ของผ้าออกมา  ส่วนด้านที่ถูแล้วพับกลับไปไว้ด้านใน ข้าพเจ้าถูถอยหลังมาเรื่อย ๆ สลับด้านของผ้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงบันไดขั้นสุดท้าย จึงนำผ้าไปซัก และนำกลับมาถูอีกครั้ง ถูแบบเดิม คือ เริ่มที่มุมห้องในสุดแล้วถูถอยหลังไปเรื่อย ๆ การถูแบบนี้จะทำให้เราไม่เอารอยเท้าไปย่ำโดนพื้นที่ยังไม่แห้ง


               หลังจากถูเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าจึงนำผ้าขี้ริ้วไปซักด้วยผงซักฟอกโดยใช้แปรงซักผ้าขัด สลับกับการขยี้ด้วยมือ จนมั่นใจว่า ผ้าสะอาดเหมือนเดิมแล้ว จึงนำไปซักด้วยน้ำสะอาดอีก ๒ ครั้ง บิดให้แห้งแล้วจึงนำไปตากที่ราว ให้ชายของผ้าขี้ริ้วเสมอกัน จากนั้นจึงนำกระป๋องน้ำมาเช็ดให้แห้ง แล้ววางคว่ำไว้ที่เดิม


               ข้าพเจ้ากลับมานั่งพักที่บันไดกุฏิ รู้สึกเจ็บเข่าจึงก้มลงดู เห็นเข่าเป็นสีแดงเหมือนกัน แม้จะเจ็บเข่า แต่กลับรู้สึกมีความสุข และภาคภูมิใจในสิ่งที่ได้ทำ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครสอน และข้าพเจ้าก็ไม่เคยเรียนรู้สิ่งดี ๆ เช่นนี้มาก่อนเลย


                ขณะที่ข้าพเจ้าเดินออกจากกุฏิเห็นพี่อุดมกำลังปั่นจักรยานผ่านมา มือข้างหนึ่งถือกระป๋องพลาสติกสีเหลือง ข้าพเจ้าโบกมือเรียกพี่อุดม เสียงเบรกรถดังมาพร้อมกับเสียงของพี่อุดม "มีอะไร" ข้าพเจ้าถามพี่อุดมว่า "พี่อุดม...ใครสอนพี่ถูกุฏิเหรอ" คำตอบที่แฝงด้วยน้ำเสียงที่ดุแต่ก็จริงใจดังมาว่า "นี่...เธอ ยังไม่รู้อีกหรือทุกเรื่องเนี่ยคุณยายท่านสอน แม้แต่เรื่องซักจีวรของหลวงพ่อ คุณยายท่านก็สอน หัดไปเดี๋ยวอีกหน่อยเธอก็รู้เอง" แล้วพี่อุดมก็ปั่นจักรยานจากไป


                 ข้าพเจ้าเหลียวหลังกลับไปมองกุฏิของคุณยายอีกครั้ง...พลางคิดในใจว่า "ผ้าขี้ริ้วของคุณยายต้องเป็นผ้าที่สะอาดที่สุด เพราะผ้าสะอาดเท่านั้นที่จะเช็ดทุกสิ่งทุกอย่างให้สะอาดหมดจดได้อย่างแท้จริง"


คนที่มีใจใสะอาดบริสุทธิ์
ย่อมทำสิ่งรอบข้างให้สะอาดหมดจดได้เสมอ
แม้กระทั่งผ้าขี้ริ้ว


"ความสะอาดภายนอกใคร ๆ ก็อาจมองเห็นได้
แต่ความสะอาดภายในจิตใจ ตัวเราเองเท่านั้นที่มองเห็น"

 

จากหนังสือ ดวงจันทร์กลางดวงใจ

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.038642501831055 Mins