อนาคตถูกกำหนดไว้เเล้วจริงหรือ

วันที่ 08 กย. พ.ศ.2563

8-9-63-1-b.jpg

อนาคตถูกกำหนดไว้เเล้วจริงหรือ

อิทธิพลของโหราศาสตร์กับชีวิตมนุษย์

                   เวลาที่มนุษย์เกิดความรู้สึกทุกข์ใจหรือมีปัญหา บางคนจะพึ่งพาหมอดู คนส่วนใหญ่ที่ไปดูหมอก็มักจะเป็นผู้หญิง บางคนถ้าได้ยินข่าวเล่าลือว่าหมอดูคนนั้นทำนายแม่น แม้ว่าจะเดินทางลำบากเพียงใด จ่ายเท่าไรก็ยอมไป

 

                  ปัจจุบันนี้ โหราศาสตร์เข้ามามีอิทธิพลกับชีวิตมนุษย์เกือบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ การเมือง แม้กระทั่งการดูดวงของนักการเมืองว่า ผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร

 

                  “โหราศาสตร์” เริ่มต้นมาตั้งแต่โบราณกาล แต่ในยุคปัจจุบันเรามีความรู้มากขึ้น ยกตัวอย่างในอดีตเมื่อเกิดราหูอมจันทร์ ผู้คนก็จะตีเกราะเคาะกระป๋อง เพราะมีความเชื่อว่าจะได้ไล่ราหูให้คายดวงจันทร์หนีไป แต่ในปัจจุบันเรารู้แล้วว่า ราหูอมจันทร์เกิดจากเงาโลกบดบังดวงจันทร์

 

                  สมัยนี้วิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้ามากขึ้นจนทำให้มนุษย์รู้ว่า ดาวต่าง ๆ อยู่ตรงไหน เข้าใจจักรวาลอย่างดี ความรู้ในเรื่องเหตุและผลก็มีมากขึ้น จึงทำให้เราอาจจะคิดได้ว่า ความเชื่อเรื่องดวงก็น่าจะลดลงตามไปด้วย แต่กลับตรงกันข้าม

 

                  บางท่านจบการศึกษาระดับปริญญาเอก เป็นนักธุรกิจใหญ่ เป็นนักการเมือง แต่ยังมีความเชื่อเรื่องดวง ทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ รัฐมนตรี พอเจอปัญหาก็ยังไปหาหมอดู จึงมีคำถามตามมาว่า ทำไมถึงเกิดปรากฏการณ์ขัดแย้งกันอย่างนี้ขึ้น คนที่มีความรู้สูง มีหน้าที่การงานใหญ่โต มีอำนาจและความรับผิดชอบมากมายก็น่าจะเชื่อมั่นในตัวเอง และตัดสินใจเองได้ ทำไมเขาจึงยังต้องไปหาหมอดูด้วย

 

                 สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าพื้นฐานมนุษย์ คือ “มีความไม่รู้” หรือที่ศัพท์ในทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า “อวิชชา” คือความไม่รู้หุ้มห่อใจอยู่ ทำให้ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง

 

                   บางท่านบอกว่าตนเองมีความรู้มากมายแล้ว  อวิชชาน้อยลงไปแล้ว  แต่ความจริงความรู้ที่มีเป็นแค่ความรู้ทางโลก  ซึ่งความจริงความรู้เรื่องโลกของมนุษย์เรายังไม่มากเลย  มีสิ่งที่เรายังไม่รู้อีกมากมาย แล้วที่เราบอกว่ารู้มากแล้ว ถ้าถามว่ารู้ไหมว่า ก่อนจะมาเกิดเรามาจากไหน แล้วเมื่อตายแล้วไปไหน ดอกเตอร์ทั้งหลายก็คงนั่งเงียบกันหมด ตรงนี้เองคือความไม่รู้ที่ห่อหุ้มใจอยู่ทำให้มนุษย์เกิดความไม่มั่นใจในตัวเอง

 

การเกิด “ศาสนา” ในอดีต

                   สมัยก่อน ในประเทศไทยยังมีคนอาศัยอยู่จำนวนไม่มากนัก สมัยอยุธยามีประชากรประมาณ 1 ล้านคนเท่านั้น ผู้คนเพิ่มมากขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์นี้เอง ชาวบ้านใช้ชีวิตอยู่แบบพึ่งพาตัวเอง  พอได้ยินฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้างลงมาบ้าง  เกิดพายุพัดบ้าง น้ำท่วมใหญ่บ้าง เกิดความหวาดกลัวจึงสมมติให้มีพระแม่คงคา เทพเจ้าสายฟ้า วายุเทพเกิดขึ้น มีการสมมติเทพขึ้นมากมาย

 

                    เห็นภูเขาใหญ่ก็กราบไหว้หวังเป็นที่พึ่งที่ระลึก เห็นต้นไม้ใหญ่ก็กราบไหว้ เห็นวัวคลอดลูกออกมามี 2 หัว ก็กราบไหว้เป็นต้น เมื่อเห็นอะไรแปลก ๆ ผิดธรรมชาติก็ให้ความเคารพกราบไหว้ หรือเห็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้าง เช่น ภูเขาใหญ่โตก็เกิดความยำเกรง มีการสมมติเทพต่าง ๆ ขึ้นมาเพราะความไม่รู้และต้องการที่พึ่ง

 

                   เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้แล้ว ก็มีคนบางกลุ่มตอบสนองต่อความวิตกกังวล และความไม่รู้ของมนุษย์ โดยการสร้างศาสนาแบบเทวนิยมขึ้นมา สมมติมีเทพเจ้าเกิดขึ้น มีพระเจ้าเกิดขึ้น

 

                  ชาวป่าชาวเขานับถือผีสาง นางไม้ แต่เมื่อผู้ปกครองแผ่นดินนับถือบ้าง ผีสาง นางไม้ก็พัฒนาการกลายเป็นเทพเจ้า หรือพระเจ้า ซึ่งความจริงก็คือ “ผี” นั่นเอง แต่เป็นผีที่ถูกยกระดับขึ้นมา สร้างเครื่องบูชาที่อลังการขึ้น จากเดิมเป็นศาลเพียงตา ศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่ ก็กลายเป็นมหาวิหารใหญ่ มีการประกอบพิธีกรรมที่อลังการ สุดท้ายก็ก่อรูปจนกระทั่งกลายเป็น “ศาสนา” เหล่านี้เป็นที่มาของศาสนาที่เรียกว่า“เทวนิยม”

 

                  “เทวนิยม” แตกต่างจาก “พระพุทธศาสนา” ตรงที่ เทวนิยมเกิดขึ้นจากความไม่รู้ของมนุษย์ ก็เลยสมมติเอาความเชื่อหนึ่งขึ้นมา แล้วมาบอกต่อเพื่อให้ผู้คนรู้สึกว่ามีที่พึ่งพา แต่ในทางพระพุทธศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของโลกและชีวิตด้วยพระองค์เอง แล้วจึงนำมาสอนมนุษย์ เป็นเรื่องของความจริงไม่ใช่ความเชื่อ

 

มนุษย์ทุกคนกำลังติดคุกเป็นนักโทษประหารจริงหรือ ?

                     พระเดชพระคุณหลวงพ่อทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ท่านขยายความเอาไว้ว่า พื้นฐานความจริง คือ “มนุษย์ทุกคนกำลังติดคุก” เป็นนักโทษประหาร แต่คุกนี้คือ “โลก” ซึ่งเป็นคุกที่ใหญ่มาก ใหญ่จนกระทั่งนักโทษไม่รู้ว่าตัวเองกำลังติดคุกอยู่ และยังไม่รู้อีกด้วยว่าคุกนี้มีกฏว่าอย่างไรบ้าง เมื่อกระทำอะไรลงไปแล้วจะต้องได้รับโทษอย่างไร ไม่บอกกฎให้รู้ ซ้ำร้ายยังเป็นคุกที่ไม่ให้อาหาร แต่ให้หากินเอง ระหว่างที่หาอาหารหากผู้ใดเผลอไปใช้วิธีการที่ผิดกฎของคุก เช่น ไปปล้น ฆ่า ลักขโมยเขาก็ต้องรับโทษเพิ่มอีก

 

                    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เห็นความจริงทั้งหมดนี้แล้วมาสอนเรา ให้เรารู้ตัวว่ากำลังติดคุกอยู่ พระองค์เปรียบตัวเองเป็นเหมือนลูกไก่ตัวพี่ คือ สามารถเจาะกระเปาะไข่ออกมารู้มาเห็นได้ก่อนตัวอื่น กล่าวง่าย ๆ คือ เป็นนักโทษที่แหกคุกสำเร็จกำจัดกิเลสได้หมดแล้วเข้าพระนิพพานได้ พระองค์จึงมาสอนให้ผู้อื่นรู้ว่า เราทุกคนกำลังติดคุกอยู่ คุกนี้มีกฎแห่งคุก คือ “กฏแห่งกรรม” ทำอย่างไรแล้วผิด เป็นบาป และต้องรับโทษหนักขึ้นแล้วทำอย่างไรจึงจะเป็นบุญกุศลให้กิเลสเบาบางลง คือ ปฏิบัติ “มรรคมีองค์ 8” สุดท้ายพอกิเลสหมดจากใจ เราก็จะสามารถพ้นจากคุก หรือ “วัฏสงสาร” นี้ไปได้ทุกคน

 

                  ความแตกต่างของพระพุทธศาสนากับศาสนาอื่น คือพระพุทธศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน “ความจริง” แต่ว่าศาสนาอื่น ๆ สอน “ความเชื่อ”

 

                 ดังนั้น “หมอดู” ก็เหมือนกับศาสนาที่สอนเรื่องความเชื่อนั่นเอง แต่เป็นความเชื่อขนาดย่อม ไม่ได้พัฒนาจนถึงขั้นเป็นศาสนา แต่หมอดูบางท่านเกิดถูกยุค เขาสามารถพัฒนาตัวเองเป็นศาสดาก็ยังได้ สรุปได้ว่าทั้งหมดเกิดจาก “ความไม่รู้” คือ “อวิชชาที่ห่อหุ้มใจ” ทำให้มนุษย์ไม่มั่นใจในอนาคตของตัวเอง จึงพยายามโหยหาที่พึ่งภายนอกตัว

 

จากหนังสือ เปิดประตูใจสร้างสุขจากภายใน
พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ 

**บทความ แนะนำ/เกี่ยวข้อง

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.025341300169627 Mins