วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ

วันที่ 12 มค. พ.ศ.2567

12-1-66-1-b.jpg

วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร
Wat Paknam Bhasicharoen , Bhasicharoen , Bangkok

  
                   วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ สถานที่ทำวิชชาสู้รบปรบมือกับพญามาร เมื่อพระเดชพระคุณหลวงปู่ พระผู้ปราบมารมาเป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ท่านก็เป็นทั้งครูและนักเรียน


                  เป็นครู คือ สอนสมาธิด้วย ในที่สุดก็มีผู้บรรลุธรรมเข้าถึงพระธรรมกายเพิ่มขึ้นอีกมาก เป็นนักเรียน คือ ท่านก็ศึกษาค้นคว้าวิชชาธรรมกายต่อไป จนกระทั่งพบเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องหน้าที่ของท่าน และทีมงานของท่าน ที่ท่านจะต้องลงมาเกิด มาทำงานที่สำคัญ ที่จะมุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรม ที่จะไปขจัดต้นตอของกิเลสอาสวะให้หมดสิ้น ตรวจตรามองกันไปเรื่อย ศึกษาไปเรื่อย โดยเข้ากลางของกลางไปตามลำดับ


                   ในที่สุดก็รวบรวมธาตุธรรมพิเศษที่มาเกิดเพื่อการนี้ ที่จะศึกษาค้นคว้าวิชชาธรรมกายรวมกันได้เป็นกลุ่มเป็นก้อน


                    ตั้งแต่ท่านอายุ ๔๗ ปี ก็เริ่มทำสงครามภายใน ซึ่งเป็นสงครามที่แท้จริง เป็นสงครามที่ไม่ได้ใช้ศาสตราวุธยุทโธปกรณ์ ไม่มีการพลัดพราก มีแต่ความสุขและความบันเทิงทุกขั้นตอนของการทำสงครามที่แท้จริงกับกิเลสอาสวะ และพญามารภายใน ศึกษาค้นคว้ากันเรื่อยไป โดยแบ่งเป็น ๒ กะ กลางวัน ๖ ชั่วโมง กลางคืน ๖ ชั่วโมง ค้นคว้ากันเรื่อยไป


                      จนกระทั่งถึงยุคที่คุณยายอาจารย์ของเราได้มีส่วนสำคัญในการได้เข้าสู่สมรภูมิรบที่แท้จริง รบกันด้วยธรรมาวุธ ด้วยธรรมกาย ไม่มีการสูญเสียใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากบุญบันเทิงมีความสุขทุกขั้นตอนเรื่อยไป


                    กระทั่งเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่เกิดการรบราฆ่าฟันกันไปทั่วโลก ท่านก็ศึกษาค้นคว้ากันไปด้วย แก้ไขทุกข์มนุษย์ไปด้วย ศึกษาไป ค้นคว้าไป แก้ไขไม่ให้มนุษย์รบกันเอง เพราะมนุษย์ไม่รู้ว่า เกิดมาทำไม อะไรคือเป้าหมายของชีวิต ถูกเขาจับปั่นเหมือนจิ้งหรีดให้กัดกันโดยเอากิเลสอาสวะมาบังคับ และบดบังไม่ให้รู้เป้าหมายชีวิตของตัวเอง ไม่ให้รู้ว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นพี่เป็นน้องกัน ไม่ให้รู้เรื่องราวว่า จะต้องมุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรมด้วยกัน ให้รบกันไปอย่างนั้น ท่านก็พยายามแก้ไขเหตุในเหตุกันเรื่อยไป โดยทำทั้งกลางวันและกลางคืน มีทีมงานซึ่งเป็นธาตุธรรมพิเศษอยู่จํานวนหนึ่ง ทั้งอุบาสิกาและพระเณร ได้ประกอบวิชชาธรรมกายกัน


                     คุณยายอาจารย์ของเราก็เป็นหนึ่งในนั้น ท่านเป็นหัวหน้าเวรขาดรู้ ซึ่งจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องเหตุผล ที่จะตอบกับพระเดชพระคุณหลวงปู่ที่ซักถาม ตามหลักวิชชาทั้งหยาบและละเอียด หยาบก็ถามเกี่ยวกับเรื่องสงครามโลก ละเอียดก็สงครามภายใน ก็แก้ไขกันไปจนกระทั่งสงครามโลกสงบลง


                     คุณยายอาจารย์ของเราได้รับการยกย่อง จากปากคำของพระเดชพระคุณหลวงปู่ว่า “เป็นหนึ่งไม่มีสอง” พูดครั้งเดียว มีพยานที่เป็นหลักฐานหลายท่านรับรองในคำพูดของพระเดชพระคุณหลวงปู่ ซึ่งคุณยายท่านก็รับฟังด้วยใจที่เป็นปกติ


                   การศึกษาวิชชาธรรมกาย เป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง จิตต้องบริสุทธิ์และไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้ง ไม่เกาะเกี่ยวกับเรื่องคนสัตว์สิ่งของ จึงจะไปรู้เรื่องราวสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะเรื่องราวเหล่านี้เหลือวิสัยและยากต่อการเข้าใจด้วยวิธีการให้เหตุผลธรรมดา หรือจะไปหาหลักฐานอ้างอิง หรือจะใช้ความนักคิดค้นเดาเอาไม่ได้ และเป็นสิ่งที่นอกเหนือจากนักการศึกษาพระพุทธศาสนา หรือปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาได้ศึกษาค้นคว้า เหมือนใบไม้ในป่าประดู่ลาย


                    สมัยหนึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านกอบใบไม้มากำมือหนึ่ง ถามพระภิกษุว่า “ใบไม้ในกำมือ กับใบไม้ในป่าประดู่ ส่วนไหนมีมากกว่ากัน” ภิกษุก็บอกว่า “ใบไม้ในป่าประดู่มีมากกว่าใบไม้ในกำมือ” พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ได้กล่าวเอาไว้ว่า สัพพัญญุตญาณของเรานั้น รู้แจ้ง เห็นแจ้งแทงตลอดในสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งปวง โดยไม่มีขอบเขตจำกัด แต่ว่าสิ่งที่เราเอามาสอนเธอนี่เพียงนิดเดียว เพื่อเป็นทางหลุดทางพ้นจากกิเลสอาสวะ จากภพทั้งสาม จากกฎแห่งกรรมเพื่อหาพระนิพพานให้แจ้งเท่านั้น


                    วิชชาธรรมกายเหมือนใบไม้ในป่าใหญ่ ซึ่งปราชญ์ในทางพระพุทธศาสนาไม่ได้ให้โอกาสแก่ตัวเองในการศึกษาธรรมปฏิบัติให้ลึกซึ้งขึ้นไป ก็ยากต่อการที่จะเข้าใจ แม้แต่นักวิชาการพระพุทธศาสนาในระดับโลก เมื่อไม่ได้ให้โอกาสตัวเองศึกษา ก็ยากที่จะเข้าใจสิ่งนี้ได้


                      เพราะฉะนั้น...ค่าว่า "วิชชาธรรมกาย” จึงรู้กันอยู่ในขอบเขตจำกัด สำหรับธาตุธรรมที่พิเศษ คือ ในโรงงานทำวิชชาเท่านั้น นอกนั้นก็รู้แต่เพียงว่า ธรรมกาย คือ พระรัตนตรัยภายในเป็นที่พึ่งที่ระลึก


                        วิชชาธรรมกายเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะเอาชนะพญามารได้ ที่จะทำให้สันติสุขและสันติภาพของโลกที่แท้จริงบังเกิดขึ้น นอกเหนือจากนี้แล้วสันติภาพของโลก และสันติสุขที่แท้จริงของโลกไม่อาจที่จะเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าด้วยวิธีการใด ๆ ทั้งสิ้น


                   สุดท้ายนี้...ด้วยบุญที่ทุกคนได้มาพร้อมใจกันประกาศคุณบูชาธรรมพระเดชพระคุณหลวงปู่พระผู้ปราบมาร ในธรรมยาตราเส้นทางพระผู้ปราบมาร ด้วยความเคารพเลื่อมใส ก็จะทำให้เราได้รับอานิสงส์ทำให้เกิดในตระกูลสูง จะเป็นผู้ที่ได้รับการเคารพนับถือกราบไหว้ จะเป็นที่ยกย่องของมหาชน เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย กิตติศัพท์อันดีงามของเราจะฟุ้งขจรขจายไปทั่ว


                    เราจะได้เกิดในร่มเงาพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย จะเป็นผู้มีศรัทธาตั้งมั่น เป็นสัมมาทิฐิบุคคล จะได้มนุษย์สมบัติอันเลิศ ถึงพร้อมทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ จะมีสมบัติตักไม่พร่อง สมบัติอัศจรรย์ในภพชาติที่มาบังเกิด เมื่อมีทรัพย์แล้วก็จะไม่ตระหนี่ จะมีโอกาสได้ทำบุญในบุญเขตอันเยี่ยมกับทักขิไณยบุคคล จะมีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป และก็จะได้บรรลุมรรคผลนิพพานโดยเร็วพลันเทอญ


                    Wat Paknam Bhasicharoen is the place where Luang Pu, the Mara Vanquisher, researched Vijja Dhammakaya and fought with Mara. When he became the abbot of Wat Paknam Bhasicharoen, he was both a teacher and a student there.


                    As a teacher, he taught meditation and many more people attained Dhammakaya within. As a student, he continued to study and research Vijja Dhammakaya until he discovered his duty that he and his team had come down from heaven and been born on earth to accomplish the goal of reaching the Utmost Dhamma and to get rid of the root of defilements. Throughout his life, he continued studying and researching Vijja Dhammakaya by sequentially entering the center of the center of the mind inside the body.


                   Finally, he gathered some gifted mediators who were born for this purpose to study and research Vijja Dhammakaya. They became a team.


                    When he was 47 years old, he began to wage an internal war, a real war without weapons nor separation, but happiness and joy, to get rid of all defilements. Luang Pu and his team continued studying and researching for more profound knowledge through out his life. The team was divided into two shifts, each shift meditating twice a day, six hours at a time, for constant researching.


                     Khun Yai, our Master Nun, played an important role in getting into the real battlefield within. She fought through Dhamma and the Dhammakaya within. There was no loss. There was only happiness and joy every step of the way.


                  During World War II, in which there was fighting and killing around the world, Luang Pu continued to study and research Vijja Dhammakaya, solving human suffering and preventing humans from fighting each other at the same time. Human beings do not know why they are born and what their inherent purpose in life is. Mara controls human minds through defilements, making humans ignorant of their true life goal, their brother hood, and the mission to the Utmost of Dhamma. Mara makes us fight each other.


                   Luang Pu tried to solve the cause of problems day and night. In doing so, several special Dhamma team members consisting of monks, novice monks, and laypersons practiced Vijja Dhammakaya with Luang Pu.


                   Khun Yai, our Master Nun, was one of them. She was the head of duty, responsible for answering Luang Pu's questions related to World War II and internal war based on her meditative insight. Luang Pu resolved the problems until World War II ended.


                   Khun Yai, our Master Nun, was honored by the words of Luang Pu as "second to none." Putting everything aside and her life at stake, she did everything at her best until achieving the goal. Luang Pu only said it once, and Khun Yai just listened with a calm mind. Many witnesses have confirmed the words of Luang Pu.


                  The study of Vijja Dhammakaya is very profound. The mind must be pure and not cling to anything at all to be capable of comprehending matters that seem impossible and difficult to understand based on conventional reasoning, references, evidence, or hypothesis. These matters are something beyond what scholars of Buddhist studies have studied and researched, like leaves in the Padauk Forest.


                    At one time, the Lord Buddha gathered a handful of leaves and asked a monk: "How would you compare a handful of leaves to leaves in the Padauk Forest? Which part has more?" The monk said, "There are more leaves in the Padauk Forest than a handful of leaves." The Lord Buddha said, "My intuition always accesses the information in all beings and all things without limitation. What I have taught you is just a little bit for you to be able to find a way to be rid of all defilements, escape from the three worlds and the law of karma, and ultimately attain Nirvana."


                  Vijja Dhammakaya is like leaves in the forest. Scholars of Buddhism who do not give themselves an opportunity to practice meditation profoundly will find it difficult to understand. Even for world-class scholars of Buddhism, without giving themselves the opportunity to practice meditation, it will be hard for them to understand.


                   The word "Vilja Dhammakaya" was understood in detail only among gifted meditators of the special team in the meditation workshop. Other people knew only that Dhammakaya is the inner Triple Gem and a refuge for everyone


                 Vijja Dhammakaya is the most important thing in defeating Mara and will bring about true happiness and world peace which cannot be achieved by any other method.


                  Finally, the merit that we came to declare the grace of Luang Pu, the Mara Vanquisher, on the path of Dhammayatra journey with respect will enable us to be born into a noble-class family, be respected and praised by the public, have a good reputation, and be loved by humans and celestial beings.


                  Furthermore, the merit will enable us to discover Buddhism and Vijja Dhammakaya, have a strong faith and the Right View, and obtain great physical attributes, everlasting wealth, and excellent personal qualities. Being wealthy and generous, we will have the opportunity to respectfully make merit or donation to support worthy receivers. The merit will enable us to be reborn in a Fortunate Realm and ultimately attain Nirvana.

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.041552452246348 Mins