ภัยพิบัติและการแก้ไข

วันที่ 11 เมย. พ.ศ.2568

11-4-68-1-b.jpg

ภัยพิบัติและการแก้ไข
 

                    มนุษยชาติทุกวันนี้ ต่างต้องเผชิญภัยพิบัติที่รุนแรงและน่ากลัว จนดูเหมือนว่า โลกช่างโหดร้ายต่อมนุษย์เหลือเกิน แท้จริงแล้ว โลกมิได้โหดร้ายเลย  เพราะภัยพิบัติต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น ล้วนมาจากฝีมือมนุษย์


                    เรามักจะพูดกันถึงเรื่องภาวะโลกร้อน อันทำให้ดินฟ้าอากาศแปรปรวน ที่เคยหนาวกลับร้อน ที่เคยร้อนกลับหนาว บางท้องที่ในทวีปยุโรปแม้เข้าสู่หน้าร้อนแล้ว แต่กลับมีหิมะตกอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนโลกร้อนขึ้นได้อย่างไร

                    ถ้ามิใช่เพราะมนุษย์ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างถล่มทลาย จนธรรมชาติไม่อาจปรับสมดุลได้ เกิดความผันผวนแปรปรวนกระทบกันไปหมดดังนั้นภัยธรรมชาติทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมแผ่นดินไหว หรือลมพายุล้วนเกิดจากมนุษย์ตัวเล็กๆนี่เอง

 
                     ยิ่งไปกว่านั้นการก่อการร้าย การกระทำอันเห็นแก่ตัว และความประมาทของมนุษย์ ยังก่อให้เกิดภัยพิบัติที่สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงมาแล้ว นับครั้งไม่ถ้วน ดังเหตุการณ์ที่เกิดไฟป่าครั้งใหญ่ในประเทศออสเตรเลีย


                     เมื่อประมาณปี พ.ศ.2551-2552 ซึ่งเป็นข่าวไปทั่วโลก เนื่องจากมีผู้เสียชีวิตนับร้อย และสร้างความเสียหายรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของออสเตรเลียในขณะที่สาเหตุของภัยพิบัติครั้งนี้ เกิดจากการที่วัยรุ่นจุดไฟเล่นเพียงเพราะอยากเห็นความโกลาหลวุ่นวายเท่านั้นเอง


                     ในเมืองไทยการเผาป่าก็สร้างความเสียหายไม่น้อยเช่นกัน พื้นที่ป่านับ  2,000 – 3,000 ไร่ สามารถถูกทําลายได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง โดยที่ผู้กระทำนั้นอาจหวังเพียงว่า เมื่อพื้นที่ป่ากลายเป็นเถ้าถ่านแล้วจากนั้นอีกไม่นานก็จะมีเห็ดงอกขึ้นมาให้เก็บไปขาย มนุษย์ทุกคนต่างมีอิทธิพลต่อโลกใบนี้  สภาพความเป็นไปของโลก ก็คือภาพสะท้อนจิตใจของมนุษย์นั่นเอง ยิ่งมนุษย์มีความเห็นแก่ตัว ภัยพิบัติก็ยิ่งร้ายแรงเป็นเงาตามตัว


                      ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเล่าถึงมนุษย์มีจิตใจตกต่ำถึงขีดสุด จนทำให้เกิดภัยพิบัติอันน่าสะพรึงกลัว 3 รูปแบบคือ


1. ไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก มีสาเหตุมาจากกิเลสตระกูลโทสะของมนุษย์ ยุคใดที่มนุษย์มีโทสะมากโลกก็จะร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งจะเกิดไฟบรรลัยกัลป์ที่เผาทำลายโลกมนุษย์แล้วลุกลามไปยังสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น และรูปพรหมอีก 3 ชั้น จนมอดไหม้หมดสิ้น


2. น้ำบรรลัยกัลป์ล้างโลก มีสาเหตุมาจากกิเลสตระกูลราคะของมนุษย์ ยุคใดที่มนุษย์มีความโลภมาก มีราคะเกิดขึ้นท่วมท้น ถึงจุดหนึ่งจะเกิดน้ำบรรลัยกัลป์ล้างโลกสามารถทำลายล้างนับตั้งแต่โลกมนุษย์ สวรรค์ทั้ง 6 ชั้นจนถึงรูปพรหมอีก 6 ชั้น จนหมดสิ้น


3. ลมบรรลัยกัลป์ล้างโลก มีสาเหตุมาจากกิเลสตระกูลโมหะของมนุษย์ยุคใดที่มนุษย์มีความลุ่มหลงมัวเมาไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ จะเกิดลม
บรรลัยกัลป์ล้างโลก ซึ่งมีอำนาจทําลายยิ่งกว่าไฟและน้ำ สามารถพัดทำลายโลกมนุษย์ ตลอดจนสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น จนถึงรูปพรหมอีก 9 ชั้นจน
หมดสิ้น


                    นี่คือภัยพิบัติ ที่บังเกิดขึ้นในยุคที่ไม่อาจเยียวยาแก้ไขสิ่งใดได้แล้ว ส่วนเรานั้นยังโชคดีที่เกิดมาในยุคที่พระพุทธศาสนายังดำรงอยู่  จึงได้รู้ว่าภัยพิบัติที่ดูเผินๆเหมือนภัยธรรมชาติจากลมน้ำ ไฟ นี้ แท้จริงเกิดจากกิเลสในใจคน  ดังนั้นการแก้ไขภัยพิบัติจึงต้องเริ่มต้นที่จิตใจคน


                     ในอดีตเมื่อเกิดภาวะผิดปกติเช่น เกิดภัยแล้งฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล หรือเกิดทุกข์ภัยต่างๆ พระราชาจะนำชาวเมืองทั้งหมดนุ่งขาวห่มขาว รักษาศีล และสวดมนต์เจริญภาวนาอย่างต่อเนื่อง 7 วัน 7 คืน หรือจนกระทั่งเหตุการณ์ค่อยๆ คลี่คลาย


                      จนในที่สุดฝนฟ้ากลับมาตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาหารกลับมาอุดมสมบูรณ์ นี่คือสิ่งที่บัณฑิตนักปราชญ์ในกาลก่อนได้กระทำเป็นต้นแบบ


                      คนรุ่นใหม่ที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวเหล่านี้ อาจคิดว่าเป็นเพียงนิทาน แต่ขอให้ลองพิจารณาดูว่า บรรยากาศโลกของเราจะเป็นอย่างไร ถ้าคนทุกคนอยู่ในศีลในธรรม ตั้งใจทำความดี สิ่งแวดล้อมย่อมได้รับการดูแล


                       สรรพสิ่งย่อมปรับเข้าสู่ภาวะสมดุล ขอเพียงเราเริ่มต้นที่ตัวของเราเองก่อน  แล้วชักชวนผู้คนรอบข้าง ให้พลังความดีขยายวงกว้างออกไป เราจะพบว่าภัยพิบัติธรรมชาติมิใช่เหตุสุดวิสัย แต่สามารถป้องกันและแก้ไขได้ ด้วยการร่วมแรงร่วมใจกันท่าความดี


เจริญพร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.045390065511068 Mins