บั้งไฟพญานาคา ...บูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

วันที่ 18 ตค. พ.ศ.2548

บั้งไฟพญานาค -ปีนี้.ตรงกับวันอังคารที่ 18 ตุลาคม 2548

เรื่องราวอันน่าอัศจรรย์นี้เกิดขึ้นในวันออกพรรษาของประเทศลาว วันมหาปวารณา ซึ่งช้ากว่าวันออกพรรษาของไทยหนึ่งวัน แต่บางปีก็มาพ้องตรงกัน เมื่อถึงวันนั้น คลื่นมหาชนจำนวนมากจะหลั่งไหลไปที่ริมฝั่งแม่น้ำโขง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย อันเป็นแม่น้ำสายเดียวในโลกเท่านั้น เพื่อรอดูดวงไฟที่ลอยขึ้นมาจากกลางลำน้ำโขง ผู้เฒ่าผู้แก่ของพี่น้องชาวไทยลาวทั้ง ๒ ฝั่ง เล่าสืบต่อกันมาว่า ดวงไฟนั้นเป็นบั้งไฟพญานาค ที่ท่านบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยจิตที่เลื่อมใส

 

ที่มาของพญานาคแม่น้ำโขง

 

เริ่มเมื่อหลายพันปีก่อนสมัยพุทธกาล บนผืนแผ่นดินอันสะอาดบริสุทธิ์ของประเทศลาวในปัจจุบัน ชาวเมืองเป็นผู้มีศีลมีธรรม มีจิตใจที่งดงาม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน มีความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าผู้แก่ ดูแลมารดาบิดากันเป็นปกติ พระราชาผู้ปกครอง บ้านเมืองทรงมีธรรมราชาครบถ้วน ๑๐ ประการ แล้วก็มีปุโรหิตท่านหนึ่ง เป็นคนจิตใจงาม เป็นผู้มีปัญญามาก เวลาจะตัดสินคดีความอะไรก็บริสุทธิ์ ยุติธรรม ท่านชำนาญในไตรเพท มีหน้าที่ประกอบพิธีกรรมบวงสรวงพญานาค โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล เพราะมีความเชื่อว่า นาค เป็นผู้ให้น้ำ ท่านก็ประกอบพิธีอย่างนี้ทุกปีๆ จนกระทั่งหมดอายุขัย

ด้วยใจที่ผูกพันกับพญานาคมาก กอปรกับบุญกุศลที่ท่านปุโรหิตทำใน ระดับที่ดีของชาวโลก ในยุคที่พระพุทธศาสนายังไม่บังเกิดขึ้น เมื่อละโลกแล้ว ท่านจึงไปเกิดเป็นพญานาค มีกายสีทองสวยงาม เป็นหัวหน้าปกครองชุมชน นาคในระดับล่าง อยู่ใต้ลำน้ำโขง ซึ่งจะเป็นภพซ้อนภพ มีอายุยืนมาก

พญานาคมีอยู่ ๓ ระดับ คือ ระดับล่าง ระดับกลาง ระดับสูง ระดับ สูงก็อยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ระดับกลางๆ ก็ลดหย่อนลงมา ระดับ ล่างก็อยู่ในระดับพื้นมนุษย์ มีบ้านเมือง ที่สวยสดงดงามพอสมควร ท่านเป็นผู้ปกครองชุมชนนาคในละแวกลำน้ำโขงนั้น ซึ่งกว้างขวางมาก พญานาคท่านนี้ เมื่ออยู่ ในเมืองนาคท่านจะแปลงกายเป็นกายทิพย์ ที่คล้ายๆ มนุษย์ มีเครื่องประดับงดงาม แล้วท่านปรารถนาพุทธภูมิมานาน ตั้งแต่ ก่อนจะมาเกิดเป็นปุโรหิต แม้มาเป็นปุโรหิต ก็มีความรู้สึกเช่นนี้อยู่ลึกๆ ในใจ

 

พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากดาวดึงส์

 

ครั้นเวลาล่วงเลยมาถึงสมัยพุทธกาล ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม พอ ใกล้ถึงวันออกพรรษา เหล่าเทวดาก็โจษกันไปทั่วว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเสด็จลงจากดาวดึงส์ จนเสียงอื้ออึงโจษขานดังไปทั่ว พร้อมๆ กับเสียง ดนตรีสวรรค์ดังไปถึงนาคพิภพ ทำให้อาสนะของพญานาค ที่เคยอ่อนนิ่ม กลับแข็งกระด้างขึ้นมา พญานาคและบริวารจึง ออกมาจากนาคพิภพ ขึ้นไปอยู่บนผิวน้ำของแม่น้ำโขง สายตาก็มองไปบนท้องฟ้า

ตอนนั้นเมฆบนท้องฟ้าก็ยังฟูฟ่องล่องลอยอยู่เยอะแยะ แต่สักพัก หนึ่งเมฆก็แวบหายไป ท้องฟ้าเริ่มเปิดออก มีลำแสงฉัพพรรณรังสีพุ่งออกมา ท้องฟ้ากลวงเข้าไป เหมือนไม่มีท้องฟ้าในบริเวณนั้น คือท้องฟ้าเปิดจนมอง เห็นสวรรค์ ในลำแสงนั้นก็จะเห็นเหล่าทวยเทพทั้งหลายในภพ ๓ เต็ม ไปหมดเลย ยกเว้นอรูปพรหม ๔ ชั้น และอสัญญีสัตตาพรหม หรือพรหมรูปฟัก ที่ไม่ได้มา นอกนั้นมาหมดเลย

ท้าวมหาราชทั้ง ๔ คอยอารักขา นาค ครุฑ ยักษ์ คนธรรพ์ โดยเฉพาะคนธรรพ์จะร้องรำทำเพลง ประโคม ดนตรีตลอด เวลา พลุสวรรค์หลากสี ดังเป็นเสียงดนตรีสวรรค์ ดอกไม้ทิพย์สวยสดงดงาม หอมฟุ้ง ตลบอบอวลไป ทั่วบริเวณสองข้างทาง ก็เต็มไปด้วยทวยเทพทุกชั้น เทพอัปสร เรียงกันลงมาเป็นกระบวน ถัดจากนางเทพอัปสรก็จะมีเหล่าเทวดายืนเรียงรายกันเต็มไปหมดเลย มีบันไดทองคำใส บันไดแก้ว เพชร บันไดเงิน ทอดลงมาจากดาวดึงส์จนถึงพื้นโลกมนุษย์

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จ อยู่ตรงกลางบันไดแก้วเพชรที่มี หลากสี ทั้งม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง ตามหลังมาด้วย ปัญจสิกขเทวบุตร และมาตุลีเทพ สารถี ส่วนบันไดทองคำใสก็เป็น ของเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ มีท้าว สุยามาผู้ปกครองสวรรค์ชั้นยามา ถือพัดวีชนี ท้าวสักกเทวราชหรือ พระอินทร์ถือปาริฉัตกะ ถัดมาก็ ท้าวสันตดุสิต ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นดุสิต ท้าวนิมมานรมิต ผู้ปกครอง สวรรค์ชั้นนิมมานรดี ถัดมาก็ท้าว ปรนิมมิต ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี และตามด้วยเหล่า เทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ทั้งหลาย

บันไดเงินเป็นของพรหมผู้มีศักดิ์ใหญ่ ทั้ง ๑๖ ชั้น ซึ่งล้วนแต่งชุดขาว มีอานุภาพมาก ผู้มีศักดิ์ ใหญ่มากที่สุดก็อยู่ข้างหน้า เนรมิตฉัตรสีขาว ๙ ชั้น ลอยอยู่เบื้องบน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปล่งฉัพพรรณรังสี สว่างไสว เนรมิตพระวรกายให้ใหญ่ กว่าเทวดาและพรหม ในระดับที่มนุษย์เห็นพอดี ใกล้หรือไกลก็เห็นเท่ากันด้วยพุทธานุภาพ

 

พญานาคพ่นบั้งไฟเป็นพุทธบูชา

 

เหตุการณ์ในวันนั้นไม่ใช่มนุษย์ทั่วโลกได้เห็นกันหมด แต่เห็นเฉพาะ ผู้มีบุญที่สังกัสสะนคร เป็นเมืองที่เป็นเนิน สามารถเห็นได้รอบทิศ ซึ่งอยู่ในเมืองสาวัตถี ในรัศมีแค่ ๓๖ โยชน์เท่านั้น แล้ว มนุษย์ที่เห็นวันนั้นก็มีหลายประเภท คือ ผู้ที่เลื่อมใสก็มี ที่เฉยๆ ก็มี ไม่ เลื่อมใสก็มี ที่เลื่อมใสมากก็เห็นมาก ที่เฉยๆ ก็เห็นหย่อนลงมา ที่ไม่เลื่อมใส ก็เห็นมั่งไม่เห็นมั่ง

แต่พวกมีตาทิพย์กายละเอียดเขามองเห็น เทวดาก็เห็น แล้วนาคก็เห็น ท่านจึงเกิดกุศล ศรัทธามาก "ได้เปล่งวาจาตั้งความปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต" ดังนั้น เมื่อถึงวันเข้าพรรษา พญานาคก็จะออกมาจาก นาคพิภพมาจำศีลภาวนาใต้ลำน้ำโขง ซึ่งท่านปรารถนาจะให้ใครเห็นหรือไม่ เห็นก็ได้ด้วยอานุภาพของท่าน

การพ่นไฟของนาคนั้นมีหลายลักษณะ ถ้าพ่นเพราะความโกรธจะพ่น อย่างร้อนแรงโดนที่ไหนก็พังที่นั่น แต่ก็พ่นไม่ได้ทุกตัว ปริมาณที่พ่นไฟก็ไม่ เท่ากัน แล้วแต่ฤทธิ์ของใคร ใครมีบุญมาก มีฤทธิ์มาก ก็พ่นได้มาก หรืออีก แบบหนึ่งที่เราได้ยินบ่อยๆ ในพระไตรปิฎกว่า บังหวนควันŽ คือจะพ่นควัน ที่มีไอร้อนออกมา

ส่วนการพ่นไฟเป็นประทีปบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พญานาคต้องประพฤติพรหมจรรย์ ไม่เสพเมถุนตลอด ๑ พรรษา แล้วก็ระลึกนึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใน วันเทโวโรหณะที่เสด็จลงมาจากดาวดึงส์ ด้วยใจที่ปลื้มปีติ แล้วพ่นไฟที่กลั่นจากใจใสๆ ลอยขึ้นไปในอากาศ แล้วอธิษฐานว่า ด้วยอานิสงส์Œนี้ ขอให้ข้าพระองค์ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต เมื่อเป็นฟองอยู่ใต้น้ำก็กลม ๆ เนื่องจากเป็นของกึ่งหยาบกึ่งละเอียด ทำให้เวลาลอยพ้นน้ำขึ้นมา ผิวน้ำจะไม่กระเพื่อม คือ เหมือนผ่านอากาศ แล้วลอยขึ้นไปสว่างวาบบนท้องฟ้า

 

ตอนแรกท่านก็มาตามลำพังตนเดียว ต่อมาลูกน้องบริวารเกิดศรัทธา ตามขึ้นมาจำศีลด้วย บั้งไฟที่ส่องสว่างขึ้นบนท้องฟ้า ช่วงสั้นบ้าง ยาวบ้าง ดวงโตบ้าง ดวงเล็กบ้‰าง แล้วแต่อานุภาพของแต่ละท่าน ใครกำลังบารมีอ่อนก็พ่นได้ไม่กี่ดวง แล้วก็สูงไม่มาก แต่ของพญานาคจะสูงทีเดียว ด้วยเหตุนี้ บั้งไฟพญานาคจึงเกิดขึ้นในวันออกพรรษาทุกปี และเริ่มมีมากขึ้นตาม ห้วยหนองคลองบึงต่าง ๆ

 

วิธีชมบั้งไฟพญานาค : ทำบุญ – สวดมนต์

 

นี่คือสิ่งที่เป็นอจินไตยที่เกิดขึ้นจริงด้วยจิตที่เลื่อมใสของพญานาค พญานาคท่านก็รู้จิตใจของมนุษย์ทุกคน ในทุกยุคที่ผ่านมาสองพันห้าร้อยกว่าปี ว่ามนุษย์คิดกันอย่างไร ยุคต้นๆ มนุษย์มีจิตเลื่อมใสพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เชื่อมั่น ส่วนในยุคนี้ เชื่อก็มี เชื่อมั่งไม่เชื่อมั่งก็มี ไม่เชื่อเลยก็มี แต่พญานาคท่านไม่สนใจ เพราะเอาใจไปอยู่กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์อยู่ตลอดเวลา ปลื้มปกติ ไม่สนใจเสียงการละเล่น ต่างๆ ของมนุษย์ทั้งสองฝั่งริมโขงเลย ใครจะคิด ตำหนิติเตียนหรือจะลบหลู่ ท่านก็เฉยๆ ไม่สนใจ ใจปลื้มอยู่ในบุญ เพราะท่านรู้ว่ามนุษย์ไม่เห็นวันนั้น จะให้มาปลื้มอย่างท่านคงยาก

เพราะฉะนั้น เมื่อถึงวันมหาปวารณาของลาว หรือวันออกพรรษาของไทย เราจะเห็นดวงไฟลอยขึ้นมาจากลำน้ำโขงเป็น ประจำทุกปี ปีละครั้ง และมีที่นี่ที่เดียวในโลก เพราะฉะนั้น ณ จุดตรงนี้ ถ้า หากว่าผู้มีบุญทั้งหลายได้ไปดูแล้ว ทำจิตให้เลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างพญานาค เปลี่ยนวิธีการใหม่ แทนที่จะไปเถิดเทิง กลองยาวหรืออะไรต่างๆ ที่ผ่านมาแล้ว ให้ลืมไปเสียให้หมด แล้วมาเริ่มใหม่ เริ่มกันตั้งแต่เช้ากันเลย นิมนต์พระมาให้ทั้งสองฝั่งไทยลาวได้ใส่บาตรกันในตอนเช้า แล้วบำเพ็ญบุญกุศล ทาน ศีล ภาวนากันตลอดทั้งวัน ตรงนั้นอย่าให้มีเหล้า สุราเมรัย บุหรี่หรือสิ่งไม่ดีต่างๆ ไม่ให้มีเลย ปัดกวาดบ้านเรือนให้สะอาดสะอ้าน ถนนหนทาง ให้สะอาดทีเดียว แล้วทำกาย วาจา ใจ ของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส พูดปิยวาจา พอตกตอนพลบค่ำทั้งภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา สาธุชน นานาชาตินับแสนก็มาสวดมนต์ ระลึกนึกถึงคุณของพระรัตนตรัยพร้อมๆ กัน ทั้งสองฝั่งไทยลาว ซึ่งต่างก็เป็นเครือญาติกัน..ย่อมเป็นทางมาแห่งบุญ และเป็นภาพที่นำมาซึ่งความชื่นชมของผู้คนที่ได้พบเห็นอย่างแน่นอน

ในคราวนี้ล้วนตั้งใจไปร่วมกัน ณ สถานที่เพื่อสถาปนาเตรียมจัดสร้างเป็น "พุทธอุทยานนานาชาติ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย" ตลอดทั้งวัน เริ่มตั้งแต่ การทำบุญตักบาตร ทอดผ้าป่าปลูกต้นสน สวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ชมบั้งไฟพญานาค กันจนตลอด

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.043980185190837 Mins