.....โรครู้งี้หรือรู้อย่างนี้แพร่ระบาดไปทั่วทุกกลุ่มคนที่ขาดความระมัดระวัง หรือจะพูดแบบตรงไปตรงมาก็คนประมาทนั่นแหละครับ ทำไมผมถึงบอกว่ากลุ่มนี้ประมาท ก็จากคำคุ้นเคยที่ว่ารู้อย่างนี้ หรือรู้งี้ เรามักจะเอ่ยขึ้นหลังจากทราบว่าเหตุการณ์ที่เรากำลังประสบอยู่นั้น มันเป็นเหตุที่ไม่ทราบมาก่อน คือถ้าทราบมาก่อนละก็เราคงจะแก้ไขปัญหาได้ทันตามเหตุการณ์ ตัวอย่างเช่นขณะที่เรากำลังเดินทางเกิดฝนตกขึ้นมา เราอาจรำพึงขึ้นว่า รู้อย่างนี้เอาร่มมาด้วยดีกว่า หรือกรณีของนักเรียน นักศึกษาก็เหมือนกันครับ เกิดสอบตกวิชาใดวิชาหนึ่งเข้า โรครู้งี้ก็กำเริบขึ้นทีเดียว รู้อย่างนี้ตั้งใจเรียนเสียตั้งแต่ต้นคงสอบได้แน่ และหากเกิดตกอับยากจนเข้าล่ะครับ ไม่พ้นคำว่ารู้อย่างนี้ขยันทำมาหากินเสียแต่ทีแรกดีกว่า
.....ยังมีตัวอย่างอีกมากครับ และผมก็เชื่อว่าตลอดเส้นทางอันยาวไกลที่ท่านเดินผ่านมานั้นต้องมีสักครั้งที่เกิดอาการของโรครู้งี้ หรือรู้อย่างนี้ ลองทบทวนดูนะครับ
.....หนทางในการักษาโรครู้งี้ยังพอมีครับ ขั้นต้นต้องใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทพร้อมทั้งศึกษาและน้อมนำหัวข้อธรรม โยนิโสมนสิการและอัปปมาทะมาปฏิบัติ เพราะการมีโยนิโสมนสิการนั้นคือการใช้ความคิดอย่างถูกวิธีและแยบคาย มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณา สืบค้นถึงต้นเค้า สาวไปหาเหตุจนตลอดสาย แยกแยะออก และพิเคราะห์ด้วยปัญญาที่คิดอย่างมีระบบระเบียบ ส่วนอัปปมาทะเป็นเรื่องความไม่ประมาทโดยเฉพาะครับ คืออยู่อย่างไม่ขาดสติ ดำเนินชีวิตโดยมีสติเป็นเครื่องกำกับความประพฤติและการกระทำ หมั่นระมัดระวังตัวไม่ยอมถลำไปในทางเสื่อม ตระหนักในสิ่งที่พึงทำ และพึงละเว้น
.....หน้าที่ของชาวพุทธเราที่พระพุทธองค์ตรัสสอนให้ถือปฏิบัติเป็นอุปนิสัยก็คือ การทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา ชาวพุทธทุกคนต่างซาบซึ้งดีว่าหากทำความดีก็มีสุขคติเป็นที่ไป หากทำไม่ดีก็มีทุกคติเป็นที่ไป ฉะนั้นหนทางข้างหน้าไม่ว่าเราจะพบกับสุขหรือทุกข์ก็ตาม ขอจงมีสติระลึกว่าเราเป็นผู้เลือกเองนะครับ เพราะข้อมูลข้อปฏิบัติต่างๆเพื่อให้ได้หนทางไปสวรรค์และนรกนั้น มีผู้บอกแล้วเหลือเพียงเราเท่านั้นที่เป็นผู้เลือกทำ ชีวิตหลังความตายไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะครับ เราคงไม่ประมาทยอมปล่อยชีวิตให้ลอยตามน้ำเพื่อจะไปพบกับทุกข์ภัยข้างหน้า ทั้งที่รู้ก่อนแล้วว่าเราควรจะแก้ไขอย่างไร ไม่ต้องรอให้ถึงเวลาเพื่อจะพูดว่า รู้อย่างนี้จะทำโน้น ทำนี่ ดีกว่า เพราะเวลานั้นมันสายไปแล้วครับ !!!
จิรธรรม