.....เขาว่ากันว่าความลับไม่มีในโลก หากมีใครสักคนมาบอกเราว่าขอให้คุณ เก็บเรื่องนี้เป็นความลับและอย่าไปบอกใครเด็ดขาด เพราะเขาอาจจะมาตำหนิผมได้ว่าเอาความลับมาเปิดเผย ยิ่งถ้ามีการกำชับมากเท่าไรว่าเรื่องนี้เป็นความลับ ขอให้คุณรู้ไว้เถอะครับว่า คุณอาจะไม่ใช่คนแรกที่เขานำความลับสุดยอดมาบอกแก่คุณ หรือไม่คุณก็ไม่ใช่คนเดียวหรอกครับที่รู้เรื่องความลับที่ว่านั้น เรื่องอะไรก็ตามที่มีคนรู้มากกว่าหนึ่งเป็นเรื่องยากเหลือเกินครับที่จะเก็บไว้อย่างมิดชิด
.....แต่ก็เอาเถอะครับไม่ว่าเรื่องราวทั้งหลายทั้งปวงจะเป็นความลับของใคร หรือเป็นความลับของเราก็ตามทีเถอะ พระพุทธองค์ตรัสสอนถึงการสงวนเรื่องราวเฉพาะตัวของเราและถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรเล่าให้ใครฟังมีอยู่ ๕ ประการครับ เรื่องแรกคือ การเสียทรัพย์ เป็นเรื่องที่ไม่ควรบอกใคร นอกจากทรัพย์ที่เสียไปนั้นไม่อาจกลับคืนด้วยคำพูดแล้วสิ่งที่จะเสียตามมาคือ ความน่าเชื่อถือที่จะเกิดขึ้นแก่ตัวเราเอง ประการสองคือความเจ็บใจ เรื่องนี้หลายคนอาจค้านเพราะอาจมีแนวคิดที่ว่าเมื่อเราเจ็บแค้นใครหากได้ระบาย ให้ใครรับรู้สักคนก็คงจะบรรเทาความเจ็บใจไปได้ ผมว่าเรื่องความเจ็บใจพูดทีไรไม่เคยเบาบางหรอกครับ มีแต่ทวีความเจ็บแค้นเพิ่มขึ้น พอดีพอร้ายผู้ฟังเกิดมีอารมณ์ร่วมช่วยแคะแกะเกาผสมโรงไปด้วย ความเจ็บใจแค่ปลายเล็บอาจเพิ่มเป็นภูเขาก็เป็นได้นะครับ
.....ในเรื่องความเสียหายในบ้านก็เช่นกันครับเป็นเรื่องราวที่ควรรู้เฉพาะผู้อยู่ในเรือนของตน คนอื่นแม้เขารู้แล้วก็ไม่อาจช่วยเราได้ มีแต่เขาจะตำหนิและซ้ำเติมเราเข้าให้นะสิไม่ว่า สองเรื่องสุดท้ายคือ การถูกล่อลวงและเรื่องความขายหน้า หรือถูกหมิ่นเป็นเรื่องที่ควรอยู่กับตัวเราและหาทางป้องกันแก้ไขในคราวต่อไปจะดีกว่าครับ ก็อย่างที่กล่าวข้างต้นแหละครับว่าความลับไม่มีในโลก เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคนที่เราไว้ใจได้นั้นเขาได้ฟังเรื่องราวจากเราไป แล้วจะไม่ขยายผลให้เป็นเรื่องเสียหายเกิดขึ้นแก่เราภายหลัง หรือแม้กระทั่งเรื่องราวที่เราเล่าให้เขาฟังไปแล้วจะไม่เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ อุปนิสัยในทางผิดพลาดของเราต่อไป
.....ให้คนรอบข้างเขาจดจำแต่เรื่องดีๆ เรื่องกิจวัตรในทางบุญทางกุศลดีกว่าครับ ความผิดพลาดเสียหายควรรู้ได้เฉพาะตน และผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้นครับ คำที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ว่า สิ่งที่ไม่ควรเล่าให้ใครฟังทั้งห้าประการนี้ ผู้มีปัญญาไม่ควรประกาศเลย เป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลมครับ
จีระ ศุภวัฒน์