.....บุญนี่เป็นเรื่องสำคัญทีเดียว เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิต การที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น จะต้องมีให้ครบถ้าไม่ครบตรงนี้แล้ว ความสำเร็จก็ไม่เกิดขึ้น บางคนมือถึง ใจถึง ทีมถึง ทุนถึง แต่บุญไม่ถึง ความสำเร็จก็ไม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเรื่องของการสั่งสมบุญนี้ เมื่อโอกาสมาถึงเราแล้ว ก็อย่าให้โอกาส ดีๆ นั้นผ่านไป
....บางช่วงเรามีกำลังใจดี มีความพร้อมในทุกด้าน เราก็ทำเต็มที่ บางช่วงมีการท้อแท้กันบ้าง แต่ว่าเมื่อเราตั้งหลักได้ ตั้งสติได้ ปัญญาเกิดขึ้นก็เริ่มต้นกันใหม่ ในชีวิตของการสร้างบารมีที่ผ่านมาก็เป็นอย่างนี้ แต่บางคนรักษากำลังใจในการสั่งสมบุญ ตั้งแต่เบื้องต้นมาจนกระทั่งตลอดเส้นทางถึงวันนี้ได้โดยไม่ให้บุญหกหล่นเลย แล้วก็ทำเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ นี่คือสิ่งที่น่าอนุโมทนาทีเดียว
ถ้าหากว่าเราได้สังเกตชีวิตของเราให้ดีว่า เวลาใจสบายๆ ลองสังเกตดูทำไมบางครั้งเราอยากจะทำบุญ เราอยากใจจะขาดทีเดียวแต่ทุนไม่ให้ เพราะไม่มีทุนที่จะทำ
....วิธีปล้นของเขา ก็คือเอาความตระหนี่เข้ามาบังคับเราให้เกิด ความรู้สึกหวงแหนเสียดายทรัพย์ ให้ไม่ได้ พอคิดจะให้แล้วทุกข์ใจ นอกจากไม่ให้ด้วยตัวเอง ยังห้ามคนอื่นไม่ให้เสียอีก ก็เลยมืดแล้วมืดเล่า มืดไปเรื่อยๆ เลย
.....สมบัติจักรพรรดิซึ่งเกิดด้วยบุญ ก็ไม่มีโอกาสได้ช่องที่จะเข้ามาถึงตัวเราและให้เราได้ใช้สร้างบารมีอย่างสะดวกสบาย ไม่มีโอกาสเลย เพราะถูกความตระหนี่นั้นบดบัง ปิดบังไปหมด เพราะฉะนั้นผังความจนถาวรจึงเกิดขึ้น แต่ว่าบางช่วงของเราตระหนี่บ้าง ไม่ตระหนี่บ้าง ช่วงไหนไม่ตระหนี่บุญเข้าได้ การสร้างบารมีก็สะดวก ช่วงไหนความตระหนี่เข้าไครอบงำ บุญเข้าไม่ได้ สร้างบารมีก็ไม่สะดวก
พระพุทธเจ้าทรงเห็นภัยตรงนี้ เพราะฉะนั้นพระองค์ถึงพยายามที่จะรื้อผังจนถาวรออกให้หมด เหมือนเรื่องมหาทุคตะนั่นเหละ เพราะเรื่องเห็นชัดเจนทีเดียว ว่าเวลาผังความจนถาวรติดมา อันตรายมาก หลวงพ่อว่าในสภาฯ นี้ไม่มีใครยากจนเท่ามหาทุคตะ ที่สามีภรรยามีผ้าห่มเพียงผืนเดียวผลัดกันห่มออกจากบ้าน ไม่มีใครจนเท่านี้
.....พอดีวันนั้นจะหมดกรรม ได้มาฟังธรรมเข้า สามีมาฟังธรรม พระพุทธเจ้าท่านมองเห็นเข้า สอดญาณระลึกชาติหนหลังไปเลย ไปมองดูว่ามหาทุคตะคนนี้ประกอบเหตุอะไรเอาไว้ จึงมีผลอย่างนี้ ระลึกชาติหนหลัง จนกระทั่งเห็นต้นเหตุว่า มหาทุคตะคนนี้ตระหนี่มาตลอดอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เป็นทุคตะธรรมดาจนกระทั่ง ได้รับการยกย่องให้เป็นมหาทุคตะ คือจนแล้วจนเล่าเฝ้าแต่จนอย่างเดียว จนถาวร แล้วก็มองต่อไปในอนาคตอีก ถ้าไม่โปรดนี่ต่อไปจะเป็นอย่างไร มหาทุคตะว่าแย่แล้วนะ ต่อไปเดี๋ยวเป็นซูเปอร์มหาทุคตะหนักเข้าไปอีกตอนนี้ยุ่งเลย ท่านก็มองดูว่าจะแก้ไขอย่างไร สอดญาณไปดู ต้องรื้อผังจนถาวรต้องรื้อออกให้หมด ต้องทำลายความตระหนี่ แล้วก็ต้องให้เกิดขึ้นด้วย ให้เกิดขึ้นมาในใจทีเดียว ให้สิ่งที่ท่านแนะนำนี่ทำให้มันถูกหลักวิชชา ฟังแล้วก็ให้มันเข้าไปอยู่ในใจ ไม่ใช่อยู่ข้างใน แต่ให้เข้าใจ เข้าไปในเลย ตั้งแต่ ๖ โมงเย็น ถึง ๖ โมงเช้ากว่าจะเข้าไปในใจได้
.....พอเข้าไปในใจได้เหมือนความมืดอยู่ในห้องที่มีอยู่ พอกดสวิตช์ไฟ ความสว่างมันพรึบขึ้นมาเลย พอพรึ่บขึ้นมาความตระหนี่ในใจหมด พอหมดก็มีความรู้สึกอยากให้ เกิดปีติเบิกบานทีเดียว ถึงได้เปล่งคำว่า " ชิตังเม " ชนะแล้ว ชนะสิ่งที่ชนะได้ยาก คือความหวงแหนเสียดายในทรัพย์ที่ตัวมีอยู่
.....พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้อยากได้ผ้าผืนนั้น แต่ว่าท่านต้องการรื้อผังจนถาวร แล้วในที่สุดผังรวยถาวรก็ซ้อนเข้าไปเลย ติดหมดทุกกาย นี่หลักวิชชามีอย่างนี้ พอซ้อนเข้ามาอยู่ตรงกลางตัว เป็นดวงใสๆ ส่งกระแสดึงดูดทรัพย์ให้เกิดขึ้นติดไปหมดเลย เหมือนหลอดไฟที่ติดอยู่ที่เสาไฟข้างถนน สับสวิตซ์ทีก็พรึบไปหมดตลอดเส้นทางสว่าง