....ยักษ์เป็นสัตว์โลกพวกหนึ่งที่มีอายุยืน ว่ากันว่าเป็นพันเป็นหมื่นปี แต่พ่อแม่ของยักษ์ตนนี้ก็ไม่ได้ยินจากพระกัสสปะพระพุทธเจ้าโดยตรง แต่เป็นรุ่นปู่รุ่นย่าได้ยินมาจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ก่อนที่ปู่ย่าจะตายก็สั่งพ่อสั่งแม่ว่า ถ้าไปเจอใครตอบปัญหานี้ได้ ก็ให้รู้ว่าเถิดว่า นั่นคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนพ่อแม่จะตาย จึงได้บอกทั้งคำถามคำตอบนี้ให้อาฬวกยักษ์ อาฬวกยักษ์ตนนี้ถึงจะเกเรอย่างไรก็ตาม แต่วันนี้เห็นสมณะที่ผ่องใสอย่างนี้ ซึ่งแม้ไม่รู้ว่าเป็นใครแต่ก็เอาปัญหามาถาม เมื่อตอบได้ ก็รู้ว่านี่คือพระพุทธเจ้า ก็แสดงว่าเป็นยักษ์มีปัญญาพอตัว
.....เพราะฉะนั้นยักษ์จึงได้บอกว่า ทำไมข้าพระองค์จึงจะต้องไปถามสมณพราหมณ์เป็นอันมากอีก วันนี้ข้าพระองค์รู้ชัดถึงประโยชน์ในภายหน้า พระพุทธเจ้าเสด็จมาเมืองอาฬวีนี่ เพื่อประโยชน์แก่ข้าพระองค์โดยแท้ ยักษ์รู้เลยว่าท่านเสด็จมาโปรดตัวเอง
.....ที่หลวงพ่ออยากจะชี้เน้นให้เห็นก็คือเรื่องของฆราวาสธรรมนี้แหละ บุคคลอยู่ครองเรือนของธรรมประกอบด้วยศรัทธา แล้วก็มีธรรม ๔ ประการ
.....แต่ก่อนจะมีธรรม ๔ ประการนี่ ต้องรู้ ต้องละไว้ในฐานที่เข้าด้วยนะว่า มีศรัทธาในพระพุทธเจ้า มีความเข้าใจดีในเรื่องกรรม อย่างน้อยก็รู้ว่าอะไรบุญอะไรบาป และก็มีความมั่นใจว่าทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว อยู่ในใจก่อนแล้ว
.....แล้วยังต้องมีสัจจะ มีธรรมะ มีขันติ มีจาคะ บุคคลอย่างนี้เท่านั้น จึงจะประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งโลกนี้และโลกหน้า
.....แล้วอะไรที่เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าบุคคลนั้นมีฆราวาสธรรม คำตอบที่สั้นที่สุดก็คือ บุคคลนั้นดำเนินชีวิตด้วยการประกอบเศรษฐกิจแนวพุทธ มียันต์ประจำใจอยู่ ๒ บทนั่นเอง บทแรกคือ อุ กา ก ส บทที่ ๒ คือ ส สี จา ป
.....แนวทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจระดับชาติ ที่พระพุทธเจ้าทรงแนะ
.....พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้ประเด็นเอาไว้ว่า เมื่อพูดถึงเรื่องเชิงเศรษฐกิจนั้น ให้แบ่งคนออกเป็น ๒ ระดับ ระดับบนกับระดับล่าง
....การแบ่งกลุ่มเศรษฐกิจ
.....ระดับบน มีอยู่ ๔ กลุ่ม
.....๑. กลุ่มการเมือง
.....๒. กลุ่มเสนาบดี หรือข้าราชการประจำระดับสูง
.....๓. กลุ่มวิชาการ เช่น พวกอธิการบดี คณบดีต่างๆ พวกครูบาอาจารที่อยู่ในสาขาวิชาต่างๆ
.....๔. กลุ่มธุรกิจใหญ่ เช่น ซีพี ยูคอม ชินวัตร ธนาคารต่างๆ
.....ระดับล่าง มี ๓ กลุ่ม
.....๑. กลุ่มเกษตรกร และผู้ใช้แรงงาน
.....๒. กลุ่มพ่อค้าแม่ขาย
.....๓. กลุ่มข้าราชการผู้น้อย
.....ทั้ง ๒ ระดับ มีความเหมือนในเชิงเศรษฐกิจอย่างหนึ่งคือ ต่างก็จนด้วยกันทั้งคู่ ไม่น่าเชื่อว่าจนกันหมดเลย คือ พวกกลุ่มระดับล่างจนเพราะหามื้อกินมื้อ หาได้ไม่พอใช้ พวกนี้คือเกษตรกรผู้ยากไร้ ผู้ขายแรงงาน พวกหาเช้ากินค่ำ หลักสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน พ่อค้าแม่ขายระดับล่างที่ต้องกู้หนี้ยืมสินจากเงินนอกระบบ แล้วก็ข้าราชการชั้นผู้น้อย ที่ไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรม เงินก็น้อย หัวเดือนท้ายเดือนไม่ค่อยจะถึง ไม่ค่อยจะชนเดือน พวกนี้จนเพราะไม่มี
.....ส่วนพวกข้างบนมีพันล้าน หมื่นล้าน ก็ยังจนเพราะไม่พอ ต่างก็จนอยู่ด้วยกัน แต่จนไม่เหมือนกัน
.....ปริมาณของบุคคลระดับล่าง ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของแผ่นดินนั้น เป็นพ่อค้าแม่ค้ารายย่อย เป็นเกษตรกรถึง ๘๐-๙๐% แล้วก็ยังข้าราชการชั้นผู้น้อยที่เต็มแผ่นดินอยู่ นี่คือสิ่งที่ต้องมองให้ชัดว่า พวกที่จนเพราะไม่มีเหล่านี้เป็นปริมาณมากของแผ่นดิน กลุ่มข้างบนมีปริมาณคนน้อย แต่ว่าแต่ละคนเขย่ารัฐบาลได้ทั้งนั้นเลย พร้อมที่จะเขย่ารัฐบาล พร้อมที่จะทำสารพัดจนกระทั่งเปลี่ยนรัฐบาล ไล่รัฐบาลได้ เหล่านี้อยู่ในระดับบน มีคนไม่มาก แต่ว่าแต่ละคนมีกำลังมากแล้วก็ส่วนมากจนเพราะไม่รู้จักพอ
.....ในอดีตนั้น เวลาแก้ไขเรื่องเศรษฐกิจ มักจะแก้ไขด้วยการมุ่งไปที่การส่งเสริม ช่วยเหลือกลุ่มที่อยู่ข้างบน แต่ส่งเข้าไปเท่าไรไม่เคยรู้จักพอ แล้วมักจะลงไปไม่ถึงข้างล่าง คนส่วนน้อยไม่กี่คนได้รับความเหลือไป มีมากอยู่แล้ว ก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก ก็เพราะพวกข้างบนไม่รู้จักพอสักที แล้วเวลาร้องพวกนี้ก็ร้องเสียงดัง ในขณะที่พวกข้างล่างไม่มีเสียงร้องแล้ว เพราะอะไร? เพราะหมดแรงร้อง แค่จะหายใจยังไม่ค่อยมีแรง แล้วจะไปร้องได้อย่างไร
.....พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ใส่เงินไปที่กลุ่มล่าง
.....ทีนี้มาดูว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้ทำยังไง ทรงสอนให้ใส่ลงไปข้างล่าง แต่มีข้อแม้ว่าต้องคัดคนด้วย