คำถาม: หลวงพ่อครับ ทหารตำรวจที่มีหน้าที่ป้องกันประเทศชาติ บางครั้งปราบปรามโจรผู้ร้ายจนเสียชีวิต ซึ่งเป็นการกระทำบาปด้วยความจำเป็น อยากกราบเรียนหลวงพ่อว่า บาปกรรมที่เกิดขึ้นนี้น้อยกว่าการทำปาณาติบาตทั่วไปหรือไม่ครับ
คำตอบ: คุณโยม...การที่บาปมากบาปน้อย เอาหลักง่ายๆแบบชาวบ้านก็แล้วกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัด เมื่อจิตขุ่นมัว ไม่ผ่องใส ทุคติเป็นที่ไป นี่เป็นหลักเกณฑ์ที่พระองค์ตรัสเอาไว้ ในขณะที่ตรงกันข้าม เมื่อจิตผ่องใส สุคติเป็นที่ไป พูดง่ายๆ การจะไปนรกจะไปสวรรค์ จะบาปมากบาปน้อย ขึ้นอยู่กับความขุ่นมัวของจิตใจกับความผ่องใสของจิตใจนี่เอง ไม่ว่าการฆ่านั้นจะด้วยเหตุอะไรก็ตาม เมื่อเวลาไปลงมือฆ่ากัน ไปประกอบเหตุกัน จิตขุ่นมัวมากเท่าไหร่ก็บาปมากเท่านั้นถ้าขุ่นมัวน้อยเท่าไหร่ บาปก็น้อยเท่านั้น อันนี้เป็นกฎเกณฑ์ จากกฎเกณฑ์ตรงนี้...เราก็มาดูก็แล้วกัน...ความที่ต่อสู้ป้องกันตัว แล้วก็ไม่ได้โกรธ ไม่ได้เคืองกัน แต่ว่าเมื่อถูกบุกรุก ถูกรุกรานเข้ามา ทหารเป็นรั้วของประเทศชาติยังไงก็ต้องสู้ สู้เพื่อประเทศชาติด้วย สู้เพื่อชีวิตของตัวเองด้วย
.....แต่ในขณะที่สู้นั้น ถ้าสู้ด้วยความเคียดแค้นสู้ด้วยความฮึกเหิม ตรงนี้แน่นอนใจขุ่นมัวหนัก ตรงนี้ไม่ค่อยจะดี
.....แต่ว่าสู้เพราะจนใจจริงๆ ต้องสู้ ปล่อยเอาไว้ไม่ได้ เดี๋ยวบ้านเมืองอยู่ไม่ได้ จะต้องเข่นต้องฆ่ากันไป...แต่...ใครที่พอยั้งมือได้ ก็ยั้ง ควรจะตายมากก็เลยตายน้อย ควรจะตายน้อยก็แค่บาดเจ็บ อะไรทำนองนั้นล่ะก็ตรงนี้ก็คงจะขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แล้วก็ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของทหารท่านนั้นตำรวจท่านนั้นเป็นเรื่องของรายบุคคลอันนี้ก็เป็นกรณีที่ 1
กรณีที่ 2 ที่จะต้องมาพิจารณาตามกันไปอีกก็คือ พอทำไปแล้ว รู้สึกอย่างไร ถ้ารู้สึกว่า...มันสะใจจริงๆ...ถ้าอย่างนี้ใจขุ่นหนักเลย คือ นอกจากใจขุ่นแล้ว ยังดีใจกับความขุ่นนั้นเข้าไปด้วย อันนี้แทบจะมืดสนิทกัน...ตรงนี้ก็บาปมากหน่อยนะ เพราะดีใจกับบาปกรรมที่ตัวทำ แต่ตรงกันข้าม...เราก็ไม่อยากจะทำ แต่ว่าถ้าไม่ทำ ไม่ฆ่า มันก็ฆ่าเรา และบ้านเมืองก็อยู่ไม่ได้ มันก็ต้องฆ่ากันไป...เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว นอกจากไม่ได้ดีใจกับการฆ่านั้นแล้ว ยังคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นอีก มาหาทางช่วยกันแก้ไข มาหาทางช่วยกันป้องกัน อย่าให้มันเกิดขึ้นอีกเพราะแค่นี้ใจเราก็แย่แล้ว เพราะถึงอย่างไรก็มนุษย์ด้วยกัน
.....ที่ร้ายที่สุด ที่เขาลุยเข้ามานั้น มาลุยจะฆ่าทหารจะลุยเข้ามาฆ่าตำรวจนั้นบางทีพวกนี้ถูกหลอกมาด้วยถูกหลอกกันมากี่ทอดกี่ชั้นก็ไม่รู้ถูกจ้างถูกวานมา หรือบางทีก็ถูกมอมเมามาด้วยอาจจะมอมเมาด้วยยาเสพติด หรืออะไรก็ตามทีนึกเรื่องนี้แล้ว...แทนที่จะดีใจกับการเข่นฆ่าก็นึกเมตตาสงสารว่า เราไม่อยากจะทำ แต่ว่ามันจนใจต้องทำ แล้วก็มาหาทางคิดป้องกันกันต่อไป
.....ถ้าอย่างนี้...ใจประเภทนี้...ถามว่า บาปนั้นมีหรือไม่...ตอบว่า มี แต่ไม่เท่าประเภทแรก
.....ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อฆ่ากันไปเรียบร้อยแล้ว...ส่งโรงพยาบาล...ส่งวัด...ส่งเมรุ ก็แล้วแต่ เรียบร้อยแล้ว นอกจากมาหามาตรการป้องกันแก้ไขกันในภายหน้าแล้ว ก็มีเรื่องฝากไว้อีก คือ ทำบุญทำทานอุทิศส่วนกุศลอะไรกันได้ก็ทำไปเถอะกรวดน้ำให้ไปเลยว่า ที่ทำมาก็ไม่อยากจะทำหรอกนะ
.....และยิ่งกว่านั้น ถ้าจะให้ดี หลังจากทำบุญทำทานเรียบร้อยแล้วขอฝากไว้ก็แล้วกัน เรื่องอะไรร้ายๆนั้น จบแล้วให้มันจบไป อย่าไปหมั่นนึกถึงมัน มันมีหลักอยู่ นึกถึงบาป นึกเมื่อไหร่ บาปมันก็จะโตขึ้น ใจก็ขุ่นมัวมากขึ้นนึกถึงบุญ ใจก็จะใส ใสอยู่เท่าไหร่ แล้วก็ใสขึ้นมาอีก เพราะฉะนั้นฝากเลย เมื่อเรื่องไม่ค่อยจะดีนั้น มันจบไปแล้ว วางมาตรการแก้ไขจบเรียบร้อยแล้ว อย่าไปนึกถึงมันอีก ลบภาพนั้นทิ้งเสีย...ลบอย่างไร
ประการที่ 1. ลบด้วยการไม่พยายามจะนึกถึงมัน
ประการที่ 2. นึกภาพดีๆ เข้ามาแทน นึกภาพดีๆ เข้ามาแทนนึกอย่างไร...ก็นึกเรื่องบุญเรื่องกุศลที่เราทำ ถ้าจะให้ดี หมั่นทำสมาธิทุกคืน นึกถึงองค์พระ นึกถึงดวงแก้วใสๆ ให้เกิดขึ้นกลางกาย กลางใจ นึกไปเรื่อยๆ เป็นการเปลี่ยนโปรแกรมใหม่ให้กับชีวิตของเรา อย่างนี้บาปไม่มีสิทธิ์โตขึ้น มีแต่บุญจะโตวันโตคืน...เจริญพร