คำถาม: กราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ทำไมในปัจจุบันนี้ นักธุรกิจทั่วไป มักจะนิยมอ่านตำราบริหารงานของฝรั่ง ในพุทธศาสนา เรามีหลักคำสอนซึ่งเกี่ยวกับการบริหารงานบ้างหรือไม่
ตอบ: เจริญพร...ความจริงในเรื่องของการบริหารงานนั้น ตำรับตำราทางโลก ว่าที่จริงของเขาก็ไม่เลวหรอก เพียงแต่ว่ามันยังไม่สมบูรณ์ ที่ว่าไม่สมบูรณ์มันเป็นอย่างไร กล่าวคือ การบริหารทางโลก มักมุ่งเน้นไปที่ความสำเร็จเป็นหลัก ที่เรียกว่าความสำเร็จเป็นหลัก คือ มุ่งประโยชน์ของตนเองเป็นหลักนั่นเอง พอมุ่งประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก มันก็เข้าทำนองที่เราเรียกว่า “มุ่งวัตถุเป็นหลักจนกระทั่งลืมทางด้านจิตใจกันไป” เพราะว่าพอมุ่งเอาความสำเร็จ ซึ่งมนุษย์ส่วนมากมุ่งที่ความร่ำรวยอีกนั่นแหละ มุ่งที่ความเด่น ความดังอีกนั่นแหละ ส่วนใครจะกระทบอย่างไรก็ช่าง ขอให้เราได้รวย ได้เด่น ได้ดังมาเสียก่อน นี้ก็เป็นแนวทางการบริหารทางโลก ตามตำรับตำราในยุคปัจจุบันนี้
.....พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทราบดีว่า ความจริงแล้ว มนุษย์เกิดมาทำไม คือ เกิดมาสำหรับสร้างบุญ สร้างบารมี เกิดมาเพื่อแก้ไขตัวเอง มีข้อผิดพลาดอยู่อย่างไร ติดตัวข้ามภพข้ามชาติมา แก้เสียให้หมดในชาตินี้ แล้วก็ขณะที่กำลังทำมาหากิน ซึ่งแน่นอน เพราะเรื่องการทำมาหากินนั่นแหละ ทำให้ต้องบริหารงาน อันนั้น อันนี้ อันโน้น ขึ้นมา ในระหว่างทำมาหากินอยู่นี่เอง ก็ถือโอกาสปรับปรุงแก้ไขตัวเองให้ยิ่งๆขึ้นไป สร้างความดี สร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเองยิ่งๆขึ้นไปพูดง่ายๆ สายตาของพระพุทธศาสนา มองว่า “มนุษย์ทั้งหลาย เกิดมาเพื่อสร้างบารมี เพื่อสร้างความดี เพื่อแก้ไขตัวเองเป็นหลัก ส่วนว่าเรื่องความรวย เรื่องความสำเร็จแบบโลกๆนั้น เป็นแค่ของแถม” พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมองโลก ทรงมองพวกเรา อย่างนี้
.....เพราะฉะนั้นพระองค์จึงทรงมุ่งเน้นให้เรานั้น ขณะที่บริหารไป ก็อย่ามุ่งแค่ Material หรืออย่ามุ่งแค่ประโยชน์ตน ประโยชน์ทางวัตถุเท่านั้น แต่ให้คำนึงถึงประโยชน์ท่าน ประโยชน์ทั้งตนและท่าน ทั้งทางด้านวัตถุและทางด้านจิตใจไปพร้อมๆกัน ที่เรียกว่าประโยชน์ทางด้านจิตใจ คือ อย่างที่บอก คือ แก้ไขนิสัยใจคอของตัวเอง ที่ไม่ดีให้แก้ไขไปซะ และเพิ่มพูนบุญกุศลให้กับตัวเองให้มากยิ่งขึ้น เมื่อพระองค์ทรงมองอย่างนี้ แล้วมุ่งหวังที่จะให้พวกเราทำอย่างนี้จึงขอแนะนำว่า....จะทำมาหากินอะไร จะบริหารงานอย่างไร เห็นช่องทางจะร่ำรวยในทางที่ไม่ผิดศีลไม่ผิดธรรมล่ะก็...ทำไปเถอะ ไม่ว่าหรอก จะบริหารงานขนาดส่วนตัว หรือทำกันเป็นองค์กร ทำเป็นบริษัทใหญ่ๆหรือในระดับประเทศก็ทำไปเถอะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตำหนิ แต่ให้คำนึงว่า งานทุกชิ้นนั้นจะต้องเพิ่มพูนศีลธรรมให้กับตัวเองเพิ่มพูนศีลธรรมให้กับเพื่อนร่วมงานเพิ่มพูนศีล เพิ่มพูนธรรมให้กับสังคมและประเทศชาติ อีกทั้งไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วยนี่คือเป้าใหญ่ใจความของการบริหารงาน ซึ่งชาวพุทธได้ถูกอบรมบ่มนิสัยมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก
.....เมื่อเราถูกอบรมกันมาอย่างนี้บางทีเราจึงมักจะละเลยที่จะไปแก้ไขปรับปรุงในเรื่องขั้นตอนทางเทคโนโลยีหรือไปผลิตเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการบริหารบางทีทำให้การบริหารทางด้านวัตถุล้าหลังไป แต่ว่ามีความก้าวหน้าทางด้านจิตใจมาก กล่าวคือ ทำงานไปด้วย ก็มีน้ำจิตน้ำใจกันไปด้วย ในระหว่างนั้นก็ทำทานไป ก็เพิ่มพูนจิตเมตตาไปให้กับเพื่อนร่วมงาน ใครตกทุกข์ได้ยาก ก็มีกรุณาหอบหิ้วลากจูงกันไป ที่จะปลดกันง่ายๆตัดลอยแพกันง่ายๆ ไม่มี มีแต่ประคับประคองกันไปให้ถึงที่สุดทีเดียว
.....ยิ่งไปกว่านั้น ทำงานไปด้วยก็พยายามที่จะสร้างความสามัคคีธรรม ให้เกิดขึ้นในบ้านในเมือง ในหมู่คณะ ทำทานไปก็ได้บุญไป ทำทานไปก็ชักชวนกัน เดี๋ยวก็ทอดผ้าป่าเดี๋ยวก็ทอดกฐินเดี๋ยวก็ช่วยกันสร้างสาธารณประโยชน์เอาความรวยเอาความสำเร็จที่ได้นั้น เป็นฐานในการสร้างคุณงามความดี รวยมาเท่าไหร่ ก็ใช้ไปทำบุญทำทานทำงานหนักเท่าไหร่ กลายเป็นเพิ่มความเมตตากรุณาแก่กัน เพิ่มความหนักแน่นมั่นคงให้กับจิตใจไปด้วย ถือว่าสิ่งเหล่านี้เมื่อได้มาแล้วมันคุ้มยิ่งกว่าสมบัติพันล้าน หมื่นล้าน หรือมหาสมบัติท่วมฟ้าท่วมโลกเสียอีก
.....เพราะฉะนั้นขอฝากไว้ด้วยว่า จะทำงานอะไรก็ทำไปจะบริหารงานยังไง จะวิธีไหนก็ไม่ว่าแต่จำไว้บริหารไป ต้องให้ศีลธรรมประจำใจมีแต่เพิ่มพูน ที่จะตกหล่น มีโอกาสจะตกนรก อย่าไปทำเข้า ส่วนว่าเมื่อศีลธรรมเพิ่มพูนขึ้น มากขึ้น ในระหว่างนั้น มันอาจจะต้องใช้จ่ายมากขึ้นไปบ้าง ก็ช่างประไรในเมื่อไม่ถึงกับขาดทุน แต่ทว่ากำไรอาจหย่อนลงไปสักหน่อยแต่ภูมิศีล ภูมิธรรม เพิ่มขึ้นมาตั้งเยอะ...ยอมเถอะ .อย่างนี้แล้วจะประสบความสำเร็จข้ามภพข้ามชาติอีกเหมือนกัน