.....เหตุไฉนชาวนครสีพีจึงจะให้ขับไล่เวสสันดรลูกรักผู้ไม่มีโทษ ผู้แม้พระราชาต่างแดนทั้งหลายก็เคารพบูชา มีเกียรติยศ เหตุไฉนชาวสีพีจึงให้ขับไล่ลูกเวสสันดรผู้ไม่มีความผิด ผู้เลี้ยงดูบิดามารดา ประพฤติถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ในราชสกุล ผู้เกื้อกูลแก่พระเจ้าแผ่นดินแก่เทพเจ้า แก่พระประยูรญาติ แก่พระสหาย และเกื้อกูลทั่วแว่นแคว้น
.....ความเมตตาปรารถนาดีต่อเพื่อนร่วมโลก และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ด้วยความบริสุทธิ์ใจนั้น เป็นสิ่งที่มวลมนุษยชาติควรมีไว้เป็นคุณธรรมประจำใจ โลกใบนี้คือ บ้านหลังใหญ่ที่ทุกคนต่างอาศัย ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ เพื่อการดำรงชีวิตอยู่ภายใต้ท้องฟ้าเดียวกัน มีผืนแผ่นดิน ทะเล สายน้ำ ลำธาร ภูเขา ป่าไม้ แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวเดียวกัน อีกทั้งเราต่างเป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน เพราะฉะนั้นจึงควรอยู่รวมกันด้วยใจที่เปี่ยมด้วยกรุณา มีความปรารถนาดีต่อกัน อยากให้ทุกคนหลุดพ้นจากความทุกข์ เข้าถึงความสุขอันเป็นอมตะ คือ พระนิพพาน
พระนางผุสดีราชเทวีได้กล่าวสุนทรวาจาไว้ว่า
.....เหตุไฉนชาวนครสีพีจึงจะให้ขับไล่เวสสันดรลูกรักผู้ไม่มีโทษ ผู้แม้พระราชาต่างแดนทั้งหลายก็เคารพบูชา มีเกียรติยศ เหตุไฉนชาวสีพีจึงให้ขับไล่ลูกเวสสันดรผู้ไม่มีความผิด ผู้เลี้ยงดูบิดามารดา ประพฤติถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ในราชสกุล ผู้เกื้อกูลแก่พระเจ้าแผ่นดิน แก่เทพเจ้า แก่พระประยูรญาติ แก่พระสหาย และเกื้อกูลทั่วแว่นแคว้น
.....ครั้งที่แล้ว ถึงตอนที่พระเวสสันดรโพธิสัตว์ ถูกขับไล่ออก นอกเมือง ให้เสด็จไปอยู่เขาวงกตในป่าหิมพานต์ เหตุเพราะพระองค์ได้บริจาคมงคลหัตถีให้แก่พราหมณ์ทั้งแปด ที่เดินทางมาจากแคว้นกาลิงคะ แม้พระองค์จะไม่หวั่นไหวในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่พระนางผุสดีผู้เป็นพระมารดากลับรู้สึกเสียใจ ที่ ชาวเมืองมองไม่เห็นคุณความดีของพระโอรส จึงทรงร้องไห้ครํ่าครวญด้วยความสงสารลูก
.....*ส่วนพระเวสสันดร ไม่ได้น้อยเนื้อตํ่าใจแม้แต่น้อย ขอประทับอยู่อีก ๑ วัน เพื่อจะได้เตรียมตัวเดินทาง และสั่งสมมหาทานให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ทรงดำริว่าจะบริจาคสัตตสตกมหาทาน ทรงรับสั่งให้มหาอำมาตย์ชื่อคุตตะมาเข้าเฝ้า และรับสั่งให้จัดแจงสัตตสตกมหาทาน คำว่า สัตตสตกมหาทาน อาจจะเป็นคำที่ไม่คุ้นหูนัก ในที่นี้ท่านหมายถึงการให้ทานวัตถุ ๗ ชนิด ชนิดละ ๗๐๐ คือ ช้าง ๗๐๐ เชือก ล้วนประดับด้วยคชาลังการ มีเครื่องรัดกลางตัว ที่ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ คลุมด้วยเครื่องประดับทอง มีนายหัตถาจารย์ถือโตมรนั่งประจำ ทรงบริจาคม้า ๗๐๐ ตัว ล้วนประดับประดาด้วยอัศวาภรณ์ เป็นม้าอาชาไนย เป็นพาหนะว่องไว มีนายอัศวาจารย์ขี่ประจำ สวมเกราะถือธนู ทรงบริจาครถ ๗๐๐ คัน ที่แข็งแรงมั่นคง หุ้มด้วยหนังเสือเหลือง เสือโคร่ง ประดับด้วยสรรพาลังการหลายอย่าง สวยงามมาก อีกทั้งมีคนขับถือธนูสวมเกราะประจำรถอีกด้วย
*มก. เวสสันตรชาดก เล่ม ๖๔ หน้า ๖๒๒
.....นอกจากนี้พระองค์ยังทรงบริจาคสตรี ๗๐๐ นาง แต่ละนางอยู่ในรถ สวมสร้อยทองคำประดับกาย ล้วนมีเครื่องประดับประดาสีเหลืองอร่าม นุ่งห่มผ้าสีเหลือง ประดับอาภรณ์สีเหลือง มีดวงตาโตสวย ยิ้มแย้มก่อนจึงพูด มีรูปร่างสวยงาม อีกทั้งบริจาคแม่โคนมอีก ๗๐๐ ตัว ล้วนเป็นหัวหน้าโคได้ที่คัดเลือกเป็นพิเศษ สามารถรีดน้ำนมได้วันละหม้อ ทาสหญิง ๗๐๐ คน ทาสชายอีก ๗๐๐ คน ทั้งหมดล้วนได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี พร้อมเครื่องดื่ม และโภชนาหารหาประมาณมิได้ มหาเสนาคุตตะ สามารถจัดหามาได้โดยไม่ยากนัก ทั้งนี้ด้วยอานุภาพแห่งบุญของพระเวสสันดร
.....บางคนอาจสงสัยว่า ทำไมบริจาคช้างมงคลเพียงเชือกเดียวเท่านั้น ถึงกับเป็นเหตุให้พระเวสสันดรต้องถูกเนรเทศออกจากเมือง ช้างเชือกนี้มีความสำคัญและมีค่าควรเมืองเพียงไร ในพระไตรปิฎกได้กล่าวถึงลักษณะของมงคลหัตถีเชือกนี้ไว้อย่างน่าสนใจมากว่า เป็นช้างที่ประดับด้วยเครื่องอลังการราคา ๔๐๐,๐๐๐ กหาปณะ ที่เท้าทั้ง ๔ ข้าง เครื่องอลังการประดับที่สีข้างทั้งสองของช้างด้านละ ๒๐๐,๐๐๐ กหาปณะ ข่ายคลุมหลัง ๓ ชนิด คือ ข่ายแก้วมุกดา ข่ายแก้วมณี และข่ายทองคำ ราคา ๓๐๐,๐๐๐ กหาปณะ
.....กระดึงเครื่องประดับที่ห้อยลงมาตามสีข้างทั้งสองราคา ๒๐๐,๐๐๐ กหาปณะ ผ้ากัมพลลาดบนหลังราคา ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะ เครื่องประดับใช้คลุมกระพองราคา ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะ สายรัด ๓ สายราคา ๓๐๐,๐๐๐ กหาปณะ พู่เครื่องประดับที่หูทั้ง ๒ ข้าง ราคา ๒๐๐,๐๐๐ กหาปณะ ปลอกเครื่องประดับงาทั้งสอง ราคา ๒๐๐,๐๐๐ กหาปณะ วลัยเครื่องประดับทาบที่งวงราคา ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะ เครื่องประดับหางราคา ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะ เครื่องประดับซึ่งแต่งงดงามที่กายช้างและเครื่องประดับอย่างอื่นอีก รวมราคา ๒,๒๐๐,๐๐๐ กหาปณะ เกยสำหรับขึ้นราคา ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะ และอ่างบรรจุของบริโภคราคาอย่างละ ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะ ทั้งหมดรวมเป็น ๒,๔๐๐,๐๐๐ กหาปณะ
.....นอกจากนี้ยังมีมณีที่กำพู่ฉัตรและยอดฉัตร สร้อยมุกดาที่ขอช้าง สร้อยมุกดาผูกคอช้าง กระพอง และที่ตัวพญาช้างเอง ทุกชิ้นล้วนเป็นเครื่องประดับที่หาค่ามิได้ เมื่อพระเวสสันดรตัดสินพระทัยพระราชทานของทั้งหมดแก่พราหมณ์ทั้งแปดคน และพระราชทานคนบำรุงช้าง ๕๐๐ สกุล กับทั้งควาญช้างคนเลี้ยงช้างด้วย แม้แผ่นดินที่ไม่มีวิญญาณก็เกิดอาการหวั่นไหว สะเทือนเลื่อนลั่น
.....เทวดาทั้งหลายต่างแซ่ซ้องสาธุการในมหาทานของท่าน ที่ทำได้โดยยากยิ่ง แต่ชาวเมืองสีพียังมีคนตระหนี่อยู่มาก มีใจไม่กว้างใหญ่อย่างพระบรมโพธิสัตว์ จึงไม่อนุโมทนา และไม่พอใจในการกระทำของพระองค์ ถึงกลับ มารวมตัวกันร้องเรียนพระเจ้าสัญชัย ให้ขับไล่พระองค์ออกนอกเมือง อันที่จริงมงคลหัตถีนี้เป็นช้างคู่บุญของพระเวสสันดร เพราะได้มาด้วยบุญ โดยมีช้างพังเชือกหนึ่งที่เหาะเหินเดินอากาศได้ ได้นำลูกช้างเผือก มามอบให้ แต่ชาวเมืองถือว่า ช้างนี้เป็นของคู่บ้านคู่เมือง ไม่ใช่เป็นเพียงของพระเวสสันดรเท่านั้น จึงไม่พอใจกับการบริจาคมงคลหัตถีในครั้งนั้น
.....ในยามราตรี พระเวสสันดรได้เสด็จไปหาพระนางมัทรีอัครมเหสี และให้โอวาทพระนางว่า เธอจงบริจาคทาน ในท่านผู้มีศีลทั้งหลายตามสมควร เพราะทานที่ทำไว้ดีแล้ว จะเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย ดูก่อนน้องมัทรี เธอจงเอ็นดูในโอรส และธิดากับทั้งพระสัสสุ และพระสสุระ กษัตริย์ใดมาสำคัญว่าจะเป็นภัสดาเธอ เธอจงบำรุงกษัตริย์นั้นโดยเคารพ ถ้าไม่มีใครสำคัญว่าจะเป็นภัสดาเธอ เพราะเธอไม่ได้อยู่กับฉัน เธอจงแสวงหาภัสดาอื่น เธออย่าได้ลำบากเพราะพรากจากฉันเลย
.....พระนางมัทรีได้ขอติดตามพระองค์ไปด้วย นางกล่าวถ้อยคำที่น่าสรรเสริญว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า การตายร่วมกับพระองค์เท่านั้นเป็นสิ่งประเสริฐกว่าการพลัดพรากจากพระองค์ แม้นางช้างพังยังติดตามช้างพลายในป่า อาศัยตามภูผาทางกันดาร ฉันใด หม่อมฉันจะพาบุตรและบุตรีตามเสด็จ ฉันนั้น หม่อมฉันจักเป็นผู้ที่เลี้ยง จักไม่ทำความลำบากพระทัยให้เกิดขึ้นกับพระองค์เลย
.....เราจะเห็นได้ว่า ยอดศรีภรรยาผู้เป็นนักสร้างบารมีในสมัยก่อน แม้มีอุปสรรคก็ไม่ทอดทิ้งกัน ส่วนพระนางผุสดีเมื่อได้สดับข่าวร้าย ก็รีบเสด็จมาหาพระเวสสันดร ทรงได้สดับการสนทนาของกษัตริย์ทั้งสอง ก็พลอยทรงกันแสงด้วยความสงสาร ทรงพาพระโอรสเสด็จไปเฝ้าพระเจ้าสัญชัย พลางกราบทูลอ้อนวอนว่า ชาวสีพีให้ขับไล่พระราชโอรสผู้ไม่มีความผิด รัฐมณฑลของพระองค์ก็จะเป็นเหมือนรังผึ้งร้าง เหมือนผลมะม่วงหล่นลงบนดิน เหมือนหงส์มีขนปีกหลุดร่วง ย่อมอยู่อย่างลำบากในเปือกตมที่ไม่มีน้ำ ข้าแต่มหาราชเจ้า ประโยชน์อย่าได้ล่วงเลยพระองค์ไปเลย ขอพระองค์อย่าได้ขับไล่พระโอรสผู้ไม่มีความผิด ตามคำของชาวสีพีเลย
.....แม้จะมีใครมาช่วยพูดอ้อนวอนอย่างไร ก็ไม่อาจเปลี่ยนพระทัยของพระราชาได้ เป็นอันว่า พระเวสสันดรต้องถูกเนรเทศให้ออกเดินทางไปสู่เขาวงกต พร้อมด้วยพระนางมัทรีราชเทวีอย่างแน่นอน นี่เป็นตอนหนึ่งที่พระเวสสันดรได้สร้างมหาทานบารมี ซึ่งเป็นธรรมดาว่าจะต้องมีอุปสรรค พระเวสสันดรจะเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส และจะหาโอกาสสร้างทานบารมี ที่ยิ่งกว่าการให้มงคลหัตถีต่อไปได้อย่างไร ต้องมาติดตามกันต่อไป