ประโยชน์ของสมาธิตามทัศนะของพระมหาเถระ
จากข้างต้นเราจะเห็นว่า ประโยชน์ของสมาธินั้นมีมากมายหลายอย่าง ต่อไปจะได้แสดงถึงอานิสงส์ของสมาธิในบางส่วนบางข้อที่เกิดขึ้นจากการทำสมาธิในทางพระพุทธศาสนา
ประการที่ 1 ทำให้มีความสามารถในการทำงานเหนือผู้อื่นที่นักทำงานปรารถนาอย่างยิ่งก็คือ
1. ทำงานได้โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรือเบื่อหน่าย การทำสมาธิที่ถูกต้องทำให้เรารู้สึกสดชื่น
กระปรี้กระเปร่าอยู่เสมอ คนที่ทำสมาธิอยู่เสมอจะมีความรู้สึกตัวเบาใจเบา และมีความสุขกับการทำงานทุกอย่าง เหมือนกับการที่เราได้ทำในสิ่งที่ชอบใจ เราย่อมจะมีความรู้สึกสนุกและเบิกบาน ใจของคนที่มีความสุขก็เช่นกันไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ดูจะมีความสุขไปหมด จึงไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ซึ่งตรงข้ามกับคนไม่มีสมาธิเมื่อจะทำอะไรดูทุกสิ่งจะแย่ไปหมด
2. ทำงานได้รอบคอบเกิดประโยชน์และมีผลเสียหายน้อย เราจะสังเกตเห็นว่าผู้ที่มีสมาธิดีจะ
เป็นผู้ที่ใจเย็น เมื่อเกิดปัญหาขึ้นเขาจะทำใจให้ สงบ เหมือนที่ผู้รู้ได้กล่าวเอาไว้ว่า เมื่อใจ สงบจะพบทางออกและในสถานการณ์ที่ฉุกเฉินเขาจะเป็นคนแก้ไขปัญหาด้วยสติ ไม่ร้อนรน เพราะผู้ที่มีสมาธิดีจะมีสติดีสติเป็นตัวทำให้เกิดความรอบคอบ เมื่อคนได้ทำสมาธิเขาจะมีสติอยู่กับตัว ใจไม่ซัดส่าย วอกแวก เมื่อจะทำอะไรใจก็จะมุ่งไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผลงานจึงออกมาประณีต และการที่ทำสมาธิบ่อยใจก็จะเป็นระบบ การจัดสรรงานก็จะออกมาเป็นระเบียบ ทำงานน้อยลง แต่ได้ผลงานมากขึ้น ดีกว่าคนที่ทำอะไรแบบหลงๆ ลืมๆ งานก็ตกๆหล่นๆ ต้องตามเก็บงาน หรือต้องทำซ้ำใหม่บ่อยๆ ทำให้งานเสียหายได้ง่าย
3. คาดการณ์ล่วงหน้าได้แม่นยำ คนที่จะคาดการณ์ได้ดี คนๆ นั้นต้องมีภาพภายในใจที่ชัดเจน
เหมือนกับสถาปนิกที่ดี การที่เขาจะออกแบบอาคารสิ่งก่อสร้างได้ดี เขาก็ต้องมีแบบสำเร็จอยู่ในใจที่ชัดเจนจึงจะรู้ว่าโครงสร้างของอาคารนั้นต้องประกอบด้วยไม้กี่ชิ้น กระดานกี่แผ่น คนที่จะคาดการณ์งานได้ดีภาพในใจของเขาต้องชัดเจน จึงจะมองออกว่า เมื่อถึงที่สุดแล้วภาพงานสำเร็จจะออกมาในรูปไหน มีลักษณะอย่างไร เมื่อภาพในใจของเขาชัดเจนมากสิ่งที่คาดหวังไว้จึงมาค่อนข้างตรง ผิดกับคนที่มีสมาธิไม่ดีภาพในใจจะไม่ชัดเจน ดังนั้นงานที่ออกมาสำเร็จจึงไม่ค่อยสู้ดี ไม่ได้ตรงตามเป้าหมายถ้านักทำงานคนใดมีคุณสมบัติทั้ง 3 ประการนี้เขาย่อมสามารถทำงานได้ดีกว่าคนอื่นๆ อย่าง
แน่นอน หลังจากตั้งใจฝึกสมาธิไปเรื่อยๆ โดยไม่ทอดทิ้งแล้ว ถึงระยะหนึ่งใจของผู้นั้นย่อมจะสงบนิ่งนิสัยก็จะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีได้เอง ที่เป็นคนมักโกรธก็กลับกลายเป็นยิ้มแย้ม คนชอบตระหนี่
เอาเปรียบก็กลับโอบอ้อมอารีที่เป็นคนเจ้ากังวลก็กลับรู้จักตัดสินใจ ที่สำคัญที่สุดคือ ตัดความลำเอียง
ได้ กลายเป็นคนเลือกแบก เลือกทำ กาย วาจา ใจจึงเบากว่าผู้อื่น ไม่ต้องเสียเวลากับเรื่องไร้สาระ
ให้เหนื่อยเกินเหตุ ทำงานน้อยกลับได้ผลมาก และความไม่ลำเอียงที่ฝึกได้นี่เองทำให้สามารถตัดสินใจ
และคาดการณ์ล่วงหน้าได้แม่นยำเหมือนตาเห็น เกิดความสามารถพิเศษในการทำงานอย่างน่าอัศจรรย์
ประการที่ 2 ทำให้ใจมีพลังใจที่มีพลัง เปรียบเสมือนการเก็บกักน้ำไว้ในเขื่อน เมื่อน้ำมากเข้าก็สามารถนำมาใช้งาน นำมาปันเป็นกระแสไฟฟ้า หรือเหมือนเลนส์ที่เมื่อแสงตกกระทบก็จะรวมแ งเป็นจุดเดียว ทำให้เกิดความร้อนเผาไหม้สิ่งต่างๆ ได้ เช่นเดียวกับใจที่รวมที่ศูนย์กลางกายจะทำให้มีพลังทำในสิ่งที่อัศจรรย์ได้ในสามัญญผลสูตร1 เราจะรู้ว่า พระพุทธองค์ทรงสอนให้คนฝึกสมาธิให้จิตมีพลัง จนสามารถที่จะมีฤทธิ์ทางใจ เหาะเหินเดินอากาศได้ และสามารถแ ดงฤทธิ์อื่นได้มากมาย ด้วยพลังทางใจที่เกิดขึ้นจากการทำสมาธิอย่างถูกวิธี
จากหนังสือ DOU
วิชา MD 101 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสมาธิ