.....ประเทศญี่ปุ่น ได้รับการยกย่องว่า เป็นประเทศที่สามารถพัฒนา ได้อย่างรวดเร็ว เป็นชาติในเอเชียเพียงชาติเดียว ที่สามารถพัฒนาตัวเอง เป็นมหาอำนาจเคียงบ่าเคียงไหล่ กับมหาอำนาจตะวันตกในยุค ล่าอาณานิคม
.....ข้อที่มักมีผู้ยกขึ้นมา เปรียบเทียบกันเสมอๆ โดยเฉพาะในหมู่คนไทย ก็คือประเทศไทย และประเทศญี่ปุ่นเริ่มพัฒนาประเทศมาพร้อมๆ กันในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งของญี่ปุ่นตรงกับรัชสมัยจักรพรรดิเมจิ แต่ทำไมญี่ปุ่นจึงแซงหน้าเราไปได้ไกลจริงอยู่ที่วิธีการพัฒนาประเทศของญี่ปุ่นมีจุดเด่นหลายประการ ที่ควรศึกษาเป็นแบบอย่าง แต่สิ่งที่คนทั่วไปมักมองข้ามคือ เมื่อเริ่มพัฒนาประเทศนั้น ญี่ปุ่นและไทยเริ่มด้วยพื้นฐานไม่เท่ากัน ประเทศญี่ปุ่นมีข้อได้เปรียบไทยอย่างน้อย ๔ ประการ ดังนี้
.....๑. ความเป็นเอกภาพของคนในชาติ ความที่มีประเทศเป็นเกาะ ทำให้ญี่ปุ่นมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางเชื้อชาติสูง และโชกุนในสมัยเอโดะ ก็สามารถแผ่อำนาจการปกครองครอบคลุมทั่วประเทศญี่ปุ่นไว้ได้อย่างมั่นคงต่อเนื่องกันถึง ๒๐๐ กว่าปี ทำให้คนโดยทั่วไปมีจิตสำนึกร่วมกันว่า ตนคือชนชาติญี่ปุ่น มีสำนึกของความ เป็นชาติสูง ดังนั้นเมื่อเปิดประเทศแล้วก็สามารถพัฒนาไปได้เต็มที่โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง
.....ส่วนประเทศไทยของเรานั้น มีดินแดนติดต่อกับเพื่อนบ้านรอบทิศ มีการผสมผสานทางเชื้อชาติมาก และดินแดนในส่วนต่างๆ ของไทยเราก็มีอิสระในการปกครองตัวเองสูง บางแห่งก็มีประวัติ- ศาสตร์การเป็นประเทศเอกราชมานาน เช่น ดินแดนแถบล้านนา ผู้ที่คิดว่าตนเป็นชาวไทยจริงๆ นั้น มีอยู่บริเวณภาคกลางรายรอบพระนครเท่านั้น ดังนั้นพระราชภารกิจสำคัญยิ่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวต้องทรงกระทำก่อนคือ ภารกิจการสร้างเอกภาพของคนในชาติ สร้างจิตสำนึกร่วมของความเป็นคนไทย ชาติไทย เพราะมิฉะนั้นแล้ว ถ้ามีต่างชาติมายุยงให้เกิดการแตกแยก คนไทยต้องรบกันเองเมื่อไร ฝรั่งก็จะเข้าผสมโรง และนั่นหมายถึงการสูญเสียเอกราช ต้องตกเป็นอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจตะวันตกอย่างแน่นอน ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว การพัฒนาประเทศก็ไม่มีความหมายอะไร
.....การสร้างเอกภาพของชนในชาติ เป็นงานใหญ่ที่ละเอียดอ่อนและต้องใช้เวลา โดยเฉพาะในภาวะที่มีมหาอำ นาจนักล่าอาณานิคมคอยจ้องอยู่รอบทิศ ถือเป็นงานที่ยากมาก แต่ก็สำเร็จลงได้ด้วยพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเราก็ต้องเสียเวลา ทรัพยากร กำลังความคิดสติปัญญา ไปกับเรื่องนี้มากทีเดียว แทนที่จะทุ่มไปในเรื่องการพัฒนาประเทศได้ทันที
.....๒. ความหนาแน่นของประชากร ในช่วงปีพุทธศักราช ๒๔๑๐ ไทยมีพื้นที่มากกว่าญี่ปุ่นประมาณ ๑ เท่าครึ่ง แต่ประเทศไทยมีประชากรอยู่เพียง ๗-๘ ล้านคน ในขณะที่ญี่ปุ่นมีประชากรถึงประมาณ ๓๐ ล้านคน มากกว่าไทยถึง ๔ เท่าตัว และเมื่อดูจากอัตราความหนาแน่นของประชากรต่อพื้นที่แล้ว ญี่ปุ่นก็มากกว่าไทยถึง ๖ เท่าตัว ซึ่งจำนวนประชากรนี้ มีผลอย่างมากต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ทั้งในแง่เป็นกำลังงานในการผลิต การขนส่ง และเป็นตลาดรองรับสินค้า
.....๓. เครือข่ายการตลาดและวิญญาณของความเป็นนักการค้า เพราะมีความหนาแน่นของประชากรน้อย และมีทรัพยากร ธรรม-ชาติอุดมสมบูรณ์ ประเทศไทยในยุคนั้น จึงมีระบบเศรษฐกิจเป็นแบบผลิตเพื่อยังชีพ แต่ละชุมชนที่อยู่กระจายกันห่างๆ ต่างก็ผลิตพืชผลต่างๆ เพื่อการบริโภคแลกเปลี่ยนกันในชุมชนเป็นหลัก แม้ข้าวที่ถือเป็นสินค้าหลักของประเทศ ก็มาจากที่ราบลุ่มภาคกลางบริเวณใกล้กับแม่น้ำเท่านั้น เพราะสามารถขนส่งได้สะดวกก็เฉพาะทางน้ำ การคมนาคมทางบกยังไม่สะดวก และการขนส่งสินค้าที่มีน้ำหนักมาก เช่นพืชผลการเกษตรไปขายไกลๆ แค่ค่าขนส่งก็ไม่คุ้มแล้วสำหรับท้องถิ่นที่อยู่ห่างไกล สิ่งที่พอจะเป็นสินค้าไปขายต่างเมืองหรือต่างประเทศได้ ก็เป็นจำพวกของป่า เช่น น้ำผึ้ง ครั่ง หนังสัตว์ ไม้แก่นจันทร์ ฯลฯ คือพวกสินค้าที่มีราคาต่อน้ำหนักสูง คุ้มค่ากับการขนส่ง การค้าจึงมีอยู่ในวงจำกัด ระบบเครือข่ายการตลาดยังไม่ได้รับการพัฒนา คนไม่คุ้นเคยกับการค้าขาย นักลงทุนนักธุรกิจมีอยู่น้อยมาก และมักเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาเป็นนายอากรบ่อนเบี้ยต่างๆ กล่าวได้ว่า ศักดินายังเป็นกระแสหลักของสังคม ดังมีภาษิตของคนในยุคนั้นที่ว่า สิบพ่อค้าไม่เท่าหนึ่งพระยาเลี้ยง
.....ส่วนประเทศญี่ปุ่น เพราะความที่มีประชากรอยู่กันหนาแน่น และมีภาวะลมฟ้าอากาศรุนแรง บางแห่งหนาวจัดปลูกข้าวไม่ได้ผล ก็ต้องผลิตสินค้าอย่างอื่นไปหาซื้อแลกเปลี่ยนมา เส้นทางสัญจรต่างๆ จึงได้รับการพัฒนา มีการค้าขายกันอยู่โดยทั่วไป ในสมัยนั้นเฉพาะที่เมืองเอโดะ (คือมหานครโตเกียวในปัจจุบัน) แห่งเดียวก็มีประชากรอาศัยอยู่มากกว่าหนึ่งล้านคนแล้ว จัดเป็นมหานครใหญ่แห่งหนึ่งของโลก การค้าขายเป็นไปอย่างคึกคัก มีระบบธนาคารซึ่งมีสาขาทั่วประเทศ รับฝากกู้ยืมเงิน บริการตั๋วแลกเงินเพื่อความปลอดภัยเวลาเดินทาง มีกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่มีขนาดธุรกิจครอบคลุมทั่วประ-เทศ นักลงทุนนักธุรกิจได้รับการบ่มเพาะให้เติบใหญ่ กระบวนการสะสมทุนได้ดำเนินไปอย่างสืบเนื่องภายใต้ภาวะความมั่นคงทางการเมืองที่ยาวนานกว่า ๒๐๐ ปี เครือข่ายการตลาดได้กระจายตัว เข้าถึงดินแดนทุกส่วนของประเทศ ผู้คนคุ้นเคยกับการค้าขาย มีวิญ-ญาณของนักการค้าอยู่แล้ว
.....การเปิดประเทศของญี่ปุ่น จึงหมายถึงการเปิดรับเอาเทคโน- โลยีต่างๆ เข้ามาใช้ในการผลิตสินค้าแล้วก็ส่งไปจำหน่าย ขยายขอบเขตการค้าไปยังต่างประเทศด้วย ส่วนตัวพ่อค้านักลงทุน เครือข่ายการตลาดนั้นมีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นกระบวนการต่างๆ จึงสามารถ พัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว รัฐบาลเพียงแต่เปิดทางอำนวยความสะดวก ให้ นักธุรกิจเอกชนก็พร้อมจะวิ่งไปข้างหน้า ซึ่งทุกอย่างนี้ต่างจากประเทศไทยมาก
.....๔. ความเข้มแข็งของกลไกการปกครอง ไทยเรายุคก่อนรัชกาลที่ ๕ การปกครองของประเทศยังเป็นไปแบบหลวมๆ แต่ละเมืองก็มีเจ้าครองเมืองดูแลอยู่ รับผิดชอบกิจการในเมืองของตน ถ้าเป็นหัวเมืองชั้นในก็อยู่ในความดูแลของส่วนกลางใกล้ชิดหน่อย หัวเมืองชั้นนอกก็เป็นอิสระมากขึ้น ยิ่งชนบทห่างไกลออกไปแล้วยิ่งมีอิสระมาก บางแห่งอำนาจรัฐเข้าไปไม่ถึงเลย ส่วนของญี่ปุ่นอำนาจรัฐได้เข้าไปถึงแทบทุกจุดของประเทศ ระบบการจัดเก็บภาษีเป็นไปอย่างเข้มงวด นโยบายและคำสั่งจากรัฐบาลกลางจะถูกถ่ายทอดไปยังทุกชุมชนและได้รับการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ผู้ฝ่าฝืนจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง กลไกของรัฐจึงมีบทบาทชี้นำสังคมได้มากและได้ผลอย่างดียิ่ง
.....เราลองดูอย่างง่ายๆ เรื่องการศึกษา ไทยเราเริ่มยุครัชกาลที่ ๕ ปีพุทธศักราช ๒๔๑๐ ค่อยๆ พัฒนาเรื่องการศึกษา มีโรงเรียนมหาดเล็กหลวง โรงเรียนข้าราชการพลเรือน สร้างโรงเรียนขยายออกไป กว่าจะเริ่มประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษาแห่งชาติ บังคับให้เด็กไทยทุกคนต้องเรียนการศึกษาภาคบังคับถึงชั้นประถม ๔ ก็ล่วงเข้าปีพุทธศักราช ๒๔๖๔ จากนั้นกว่าจะขยายการศึกษาภาคบังคับถึงชั้น ป.๗ ก็เข้าปีพุทธศักราช ๒๕๐๔ รวมแล้วใช้เวลาเกือบ ๑๐๐ ปี ส่วนของญี่ปุ่นเริ่มรัชสมัยจักรพรรดิเมจิในปีพุทธศักราช ๒๔๑๐ และเริ่มยุคของการพัฒนาประเทศอย่างจริงจัง พอผ่านไปได้เพียง ๕ ปี ก็เริ่มประกาศใช้ระบบโรงเรียนเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ และพัฒนาไปตามลำดับ ขยายการศึกษาภาคบังคับถึงประถมปลาย ในปีพุทธศักราช ๒๔๕๐ รวมใช้เวลาเพียง ๔๐ ปี
.....นี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ ให้เห็นถึงความแตกต่างกัน ของความเข้มแข็งทางกลไกรัฐและพื้นฐานต่างๆ ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ที่ชี้ให้พวกเราเห็นถึงความจริงว่า เมื่อเริ่มพัฒนาประเทศ ญี่ปุ่นมีข้อได้เปรียบไทยหลายประการดังกล่าวมาแล้วนั้น มิใช่เพื่อให้เรามีข้ออ้างปลอบใจตนเองว่า ไม่ใช่คนไทยไม่เก่ง แต่เพราะตอนเริ่มต้นเราเสียเปรียบเขาต่างหาก แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการให้พวกเรา เวลามองอะไรไม่มองอย่างมีอคติคิดเข้าข้างตนเองปลอบใจตัว หรือมองอย่างดูถูกตัวเอง แต่ต้องฝึกมองด้วยใจเป็นกลาง มีวิสัยทัศน์ที่กระจ่างชัด มองเห็นสิ่งต่างๆ ไปตามความเป็นจริง เข้าใจเหตุและผล เงื่อนไขปัจจัยของเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง
.....สำหรับตอนต่อไป เราจะมาวิเคราะห์ดูกันว่า นอกจากปัจจัยพื้นฐานที่เอื้อให้ดังกล่าวแล้ว คนญี่ปุ่นมีคุณสม บัติ ดีเด่นอย่างไร จึงพัฒนาประเทศได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้
ผู้ใดไม่หวั่นไหวเพราะมานะ ๓ อย่าง
ที่ถือว่าตัวเรา เป็นผู้ประเสริฐกว่าเขา ๑
เสมอเขา ๑ เลวกว่าเขา ๑
นักปราชญ์ย่อมสรรเสริญ ผู้นั้นแหละว่า
เป็นผู้มีปัญญา มีวาจาจริง ตั้งมั่นดีแล้ว
ในศีลทั้งหลาย และว่าประกอบด้วยความสงบใจ
ขุ.เถร.มก. ๕๓/๓๓๗/๓๙๘