หลักธรรมปลดล็อกจิตใจ

วันที่ 04 สค. พ.ศ.2558

 

หลักธรรมปลดล็อกจิตใจ


    เรามักจะได้ยินคำว่า “ อิจฉาริษยา ” นั้นมาคู่กันเสมอจริงๆแล้ว “ อิจฉา ” หมายความว่า พอเราเห็นคนอื่นได้ดีก็ปรารถนาอยากได้อย่างเขา แต่ถ้าเกิดความ “ ริษยา ” แล้วเราจะรู้สึกไม่อยากให้ใครได้ดี เห็นใครได้ดีแล้วทนไม่ได้ ถ้าเปรียบเทียบกันแล้วระดับของความริษยานั้นหนักกว่าความอิจฉามากแต่อย่างไรเสียทั้งความอิจฉาและริษยาก็ไม่ดีและควรได้รับการแก้ไขทั้งนั้น


ชาดกว่าด้วยโทษของความริษยา
    ในพุทธกาล มีหมู่บ้านชาวประมงตั้งอยู่ที่ชานแคว้นโกศล มีชาวประมงอาศัยอยู่ประมาณ 1 พันครอบครัว อยู่มาวันหนึ่งมีหญิงคนหนึ่งเกิดตั้งครรภ์ ปรากฏว่าทั้งหมู่บ้านถูกไฟไหม้ถึง 7 ครั้ง เสียค่าปรับให้กับพระราชาอีก 7 หน เกิดเรื่องราวร้ายๆ สารพัดจนทุกคนในหมู่บ้านคิดว่า ต้องมีคนกาลกิณีเกิดขึ้นในหมู่พวกเขาแน่ๆ พวกเขาจึงทดลองแยกครอบครัวต่างๆออกเป็น 2 กลุ่มปรากฏว่ากลุ่มที่หญิงมีครรภ์คนนี้อยู่ได้รับแต่ปัญหาแต่ไม่มีปัญหาใดเกิดกับอีกกลุ่มหนึ่งเลย
    พวกเขาค่อยๆแยกครอบครัวออกเป็นกลุ่มย่อยเรื่อยๆ จนสุดท้ายพบว่า ปัญหามาจากครอบครัวของหญิงมีครรภ์คนนี้ ชาวบ้านจึงไล่หญิงมีครรภ์ออกจากหมู่บ้าน นางต้องออกร่อนเร่พเนจรกระทั่งคลอดลูกก็ยังได้รับความลำบากสารพัด พอลูกเดินได้และโตพอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้นางจึงบอกกับลูกว่า “ ลูก...แม่ลำบากกับเจ้ามามากมายเหลือเกินแล้ว เจ้าเอาชามดินเผาไปขอทานเองเถิด ” เด็กน้อยจึงต้องออกร่อนเร่พเนจรเอง เก็บของเหลือกินให้พอประทังชีวิตไปวันๆ 


    กระทั่งวันหนึ่ง พระสารีบุตรออกบิณฑบาต แล้วได้พบเด็กน้อยคนนี้กำลังเก็บเม็ดข้าวที่เหลือทิ้งติดจาน เขากินข้าวทีละเม็ดด้วยความหิวโหย พระสารีบุตรเกิดความสงสารจึงพาเด็กน้อยกลับไปที่วัดแล้วให้บวชเป็นสามเณรได้ชื่อว่า “ โลสกะติสสะ ” จากนั้นสามเณรโลสกะติสสะก็อยู่ในโอวาทพระสารีบุตรมาโดยตลอด เชื่อฟังคำสั่งสอนและปฏิบัติธรรม พออายุครบบวชโลสกะติสสะจึงได้บวชเป็นพระแล้วปฏิบัติธรรมจนได้เป็นพระอรหันต์
    ตลอดชีวิตแม้ได้บวชเป็นพระแล้วก็ยังไม่เคยไดฉันอิ่มแม้เพียงครั้งเดียว พอออกบิณฑบาตชาวบ้านเขาก็ตักบาตรให้แค่ทัพพีเดียวเพราะกรรมมันบังตา คือคนใส่บาตรเขาเห็นว่าข้าวเต็มบาตรแล้วเขาจึงไม่ใส่ให้อีก สุดท้ายจึงได้อาหารบิณฑบาตมานิดเดียวแค่พอกันตาย แต่ไม่เคยได้ฉันอิ่มเลยจนร่างกายทรุดโทรม กระทั่งวันหนึ่งพระสารีบุตรรู้ด้วยญาณทัสสนะว่า ภิกษุผู้เป็นศิษย์วันนี้จะนิพพานแล้ว ท่านจึงสงสารอยากให้ได้ฉันอิ่มบ้างสักมื้อ เลยให้ออกบิณฑบาตด้วยกันโดยให้เดินตามหลังท่านไป


    ปรากฎว่าผลกรรมแรงจนทำให้วันนั้นพระสารีบุตรไม่ได้รับบิณฑบาตอาหารเลย พระสารีบุตรจึงต้องให้พระโลสกะติสสะกลับวัด แล้วท่านรับบาตรเองเสร็จเรียบร้อยค่อยนำอาหารไปให้ พอพระโลสกะติสสะแยกทางกลับวัดเท่านั้นเองก็มีคนใส่บาตรพระสารีบุตรมากมาย พระสารีบุตรรีบแบ่งอาหารบิณฑบาตให้คนนำไปถวายให้พระโลสกะติสสะ ปรากฏว่าด้วยผลกรรมคนรับอาหารเดินทางมาถึงกลางทางแล้วเกิดลืมว่าตนเองจะเอาอาหารไปทำอะไร จึงนั่งกินเองจนหมด พระสารีบุตรท่านกลับถึงวัดจึงรู้ว่าพระโลสกะติสสะยังไม่ได้ฉัน แต่ยังพอมีเวลาจึงเข้าวังไปหาพระเจ้าปเสนทิโกศล หวังจะไปบิณฑบาตกับพระราชา
    พระราชาเห็นว่าใกล้เพลแล้ว พระองค์เกรงว่าเวลาจะไม่พอจึงไม่ถวายของคาว ถวายแต่ของหวานคือเภสัชทั้งหลาย มีน้ำผึ้ง น้ำอ้อย เนยใส เนยข้น พอพระสารีบุตรกลับมาก็คะยั้นคะยอให้พระโลสกะติสสะฉันภัตตาหารจากบาตรที่พระสารีบุตรถือไว้ อาศัยบุญของพระสารีบุตรค้ำไว้เพราะเกรงว่าถ้าวางบาตรลงอาจจะมีเหตุให้ภัตตาหารหายไปอีก เพราะโลสกะติสสะจึงได้ฉันอิ่มในมื้อสุดท้ายแล้วนิพพานวันนั้นเอง


    หลังจากพระโลสกะติสสะนิพพาน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทำพิธีฌาปนกิจแล้วให้เก็บอัฐิซึ่งเป็นพระธาตุของท่านบรรจุในพระสถูปเจดีย์ ภิกษุทั้งหลายสงสัยจึงกราบทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เพราะเหตุใดพระโลสกะติสสะปฏิบัติธรรมจนเป็นพระอรหันต์ แต่ทำไมถึงมีวิบากกรรมหนักหนาเช่นนี้ พระพุทธเจ้าจึงระลึกชาติไปดูเหตุแล้วนำมาเล่าให้พระภิกษุทั้งหลายฟังว่า โลสกะติสสะภิกขุ ภพในอดีตเคยบวชเป็นพระ ท่านได้เป็นเจ้าอาวาสที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมตามปกติ กระทั่งวันหนึ่งเศรษฐีอุปัฏฐากใหญ่ของวัดแห่งนี้ เห็นพระอรหันต์เดินทางผ่านมา แล้วได้เห็นกิริยาอาการน่าเลื่อมใสจึงนิมนต์ให้เข้ามาพักที่วัดนี้ แล้วปรนนิบัติดูแลอย่างดีจนพระเจ้าอาวาสเกิดความอิจฉา รู้สึกว่าถ้าขืนปล่อยไว้อย่างนี้ต่อไปเศรษฐีต้องไปศรัทธาพระอาคันตุกะนี้มากกว่าตนแน่


    พอตอนเช้าก่อนออกบิณฑบาตเจ้าอาวาสก็วางอุบายด้วยความริษยา คือแทนที่เจ้าอาวาสจะเคาะระฆังปลุกพระลูกวัดให้ออกบิณฑบาต ท่านกลับเอาเล็บเคาะระฆังเบาๆ แล้วกระซิบกับระฆังว่า “ เคาะระฆังปลุกแล้วไม่ได้ยินเสียงเองช่วยไม่ได้นะ ” แล้วท่านก็ออกไปบิณฑบาต พอเจ้าอาวาสเจอเศรษฐีก็ใส่ร้ายพระอาคันตุกะทันทีว่า สงสัยท่านนอนหลับอุตุยังไม่ตื่น เมื่อวานท่านเศรษฐีถวายภัตตาหารมาก พระท่านคงจะฉันอิ่มมากเกินไป แต่ท่านเศรษฐีมีท่าทีนิ่งเฉย พอใส่บาตรเสร็จท่านก็ฝากภัตตาหารไปถวายพระอาคันตุกะด้วย พอถึงกลางทางท่านเจ้าอาวาสตั้งใจจะแกล้งพระอาคันตุกะจึงเทอาหารทิ้งทั้งหมดด้วยวิบากกรรมนี้จึงส่งให้พระโลสกะติสสะตกนรก
    พอพ้นกรรมจากนรกก็มาเกิดเป็นยักษ์ จากยักษ์มาเกิดเป็นสุนัขอีก 500 ชาติ เป็นสุนัขอดอยากยากแค้นแสนสาหัส ผอมแห้งเห็นกระดูกซี่โครง จนกระทั่งก่อนตายได้กินอิ่มหนึ่งมื้อ คือเศษอาหารที่เขาอาเจียนออกมา ตอนเป็นสุนัขหิวโซทุกชาติไป จนกระทั่งพ้นกรรมจากสัตว์แล้วมาเกิดเป็นคนท่านก็ยังต้องเจอวิบากกรรมอย่างนี้เรื่อยไป เพราะฉะนั้น เราอย่าไปอิจฉาริษยาใครเด็ดขาด เห็นใครเขาทำความดีแล้วประสบความสำเร็จ ก็ให้มีมุทิตาจิต อนุโมทนาสาธุด้วย 


บุคคล 2 ประเภท
    ลองสังเกตว่า เมื่อมีคนประสบความสำเร็จ คนที่พบเห็นจะมี 2 ประเภท คือ “ อิจฉาริษยา ” และ “ มีมุทิตาจิต ” คือบุคคลผู้ “ อิจฉาริษยา ” มักจะมีความรู้สึกอยากทำให้เขาย่ำแย่ลง ไม่คิดพัฒนาตัวเองแต่กลับอยากจะฉุดเขาลงมา เขาจะได้ไม่เด่นเกินหน้าเกินตาเรา ซึ่งเป็นความคิดทางลบ หรือพลังด้านการทำลายที่ไม่เคยทำให้ใครเจริญขึ้นเลย ส่วนบุคคลผู้มี “ มุทิตาจิต ” มีความคิดทางบวกหรือมีพลังสร้างสรรค์ พอเห็นคนอื่นประสบความสำเร็จก็มักจะเกิดมุทิตาจิต รู้สึกชื่นชมอนุโมทนา แล้วเกิดแรงบันดาลใจที่จะพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นอย่างนั้นบ้าง มีพลังแห่งความสร้างสรรค์ที่จะดึงตัวเองให้พัฒนาก้าวหน้าต่อไป


    ถ้าประเทศใดฝึกนิสัยคนในชาติให้มีมุทิตาจิตประเทศนั้นก็จะเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ต่างชาติใครทำดีก็จะชื่นชมให้รางวัล หรือสร้างอนุสาวรีย์เพื่อเป็นเกียรติ ผู้คนจะได้เกิดแรงบันดาลใจอยากเอาเป็นแบบอย่าง และอยากที่จะขวนขวายพัฒนาตัวเอง ประเทศสหรัฐอเมริกาเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วก็เพราะว่า ชาวยุโรปที่อพยพเข้าไปบุกเบิกบ้านป่าเมืองเถื่อนอยู่ที่นั่น ไม่มีข้าวของเครื่องใช้ที่ให้ความสะดวกสบาย จะเดินทางกลับไปนำข้าวของเครื่องใช้มาจากยุโรปก็ไกล ดังนั้นถ้าไม่มีใครคิดค้นหรือสร้างอะไรขึ้นมาใช้ได้เองในประเทศ ก็เท่ากับว่าช่วยให้ประชากรทุกคนมีความเป็นอยู่ที่สุขสบายขึ้น เขาจึงได้รับความชื่นชมอย่างมากจนเกิดเป็นค่านิยมในสังคมว่า ต้องชื่นชมและยกย่องคนที่ฉลาดและคิดค้นสิ่งใหม่ๆได้สำเร็จในทุกๆด้าน


    ในสหรัฐอเมริกา ถ้าใครสร้างสรรค์สิ่งที่ดีมีประโยชน์แล้วประสบความสำเร็จ รัฐบาลจะประกาศเชิดชูเกียรติคุณ สังคมก็เชิดชูเกียรติคุณ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็เกิดแรงบันดาลใจอยากจะเอาเป็นแบบอย่าง สหรัฐอเมริกาจึงสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมาได้มากมายในประเทศญี่ปุ่นก็เหมือนกัน มีอนุสาวรีย์อยู่ทั่วทุกหัวระแหงในหมู่บ้านก็ยังมีอนุสาวรีย์ประจำหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านนี้มีใครประสบความสำเร็จและควรยกย่องชื่นชมในทุกด้าน อาทิ เป็นนักวิชาการที่มีชื่อเสียง เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เป็นนักกีฬาทีชาติ เป็นดารา นักร้อง นักแสดง หรือเป็นนักเขียน เขาก็จะสร้างรูปปั้นอนุสาวรีย์ให้ แล้วเล่าให้ลูกหลานในหมู่บ้านฟังต่อๆ กันไปด้วยว่า บุคคลนี้เป็นใคร และทำความสำเร็จอะไร ถือเป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็กๆ เกิดแรงบันดาลใจว่า อยากจะฝึกตัวเองให้ดีอย่างนั้นบ้าง พระเอกประจำชาติ คือบุคคลที่สร้างสรรค์จนประสบความสำเร็จ พระเอกประจำชาติของผู้ชายไทยไม่ควรเป็นขุนแผนที่ชายไทยต้องเอาเป็นแบบอย่างด้วยการมีบ้านเล็กบ้านน้อยให้มากที่สุด แต่ว่าพระเอกประจำชาติควรเป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบ ขยันและอดทนสู้งานหนัก 


    ประเทศไทยของเราก็ควรฝึกมุทิตาจิตให้เกิดขึ้นในระดับชาติ รัฐบาลต้องเป็นผู้นำ สื่อมวลชนนักวิชาการและคนในสังคมต้องร่วมมือกันยกย่องชื่นชมคนที่ประสบความสำเร็จโดยพยายามให้ข่าวเชิงบวกเปลี่ยนวงจรลบที่เป็นพลังที่คอยถ่วงรั้งสังคมจนกลายเป็นสังคมทอนกำลัง เพราะชอบอิจฉาริษยาทำลายกัน เปลี่ยนใหม่ให้เป็นสังคมที่เต็มไปด้วยมุทิตาจิตใครทำอะไรได้ดีก็ชื่นชมยกย่องให้เป็นแบบอย่าง พัฒนากันไปทั้งสังคม พ่อแม่ต้องคอยสอนลูกอย่างนี้บ่อยๆ เราก็จะเอาชนะความอิจฉาริษยา แล้วกลายเป็นผู้ที่มีมุทิตาจิต สังคมไทยก็จะกลายเป็นสังคมที่สงบร่มเย็นสมกับเป็นสังคมเมืองพุทธ และเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลก

 

--------------------------------------------------------------------

" หนังสือ เนรมิต จิตใจ "
ปลดล็อกความเครียด รู้ทันความเสื่อม สร้างสุข สลัดทุกข์หยุดโกรธ
โดยพระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0015644510587056 Mins