ขันธปริตตชาดก ว่าด้วย พระปริตต์ป้องกันสัตว์ร้ายต่างๆ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง
ได้ยินว่า เมื่อภิกษุนั้นกำลังผ่าฟืนอยู่ที่ประตูเรือนไฟ งูตัวหนึ่งเลื้อยออกจากระหว่างไม้ผุ ได้กัดเข้าที่นิ้วเท้า ภิกษุนั้นมรณภาพในที่นั้นทันที. เรื่องที่ภิกษุนั้นมรณภาพได้ปรากฏไปทั่ววัด. ภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากันในโรงธรรมว่า ได้ยินว่า ภิกษุรูปโน้นกำลังผ่าฟืนอยู่ที่ประตูเรือนไฟ ถูกงูกัดถึงแก่มรณภาพ ณ ที่นั้นเอง.
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุรูปนั้นจักได้เจริญเมตตาแผ่ถึงตระกูลพญางูทั้งสี่แล้ว งูก็จะไม่กัดภิกษุนั้น.
แม้ดาบสทั้งหลายซึ่งเป็นบัณฑิตแต่ปางก่อน เมื่อพระพุทธเจ้ายังมิได้อุบัติ ก็ได้เจริญเมตตาในตระกูลพญางูทั้ง ๔ ปลอดภัยอันจะเกิดเพราะอาศัยตระกูลพญางูเหล่านั้น แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลพราหมณ์ แคว้นกาสี ครั้นเจริญวัย สละกามสุข ออกบวชเป็นฤๅษี ยังอภิญญาและสมาบัติให้เกิด สร้างอาศรมบทอยู่ที่คุ้งแม่น้ำแห่งหนึ่งในหิมวันตประเทศ เพลิดเพลินในฌาน เป็นครูประจำคณะ มีหมู่ฤๅษีแวดล้อมอยู่อย่างสงบ.
ครั้งนั้น ที่ฝั่งคงคา มีงูนานาชนิดทำอันตรายแก่พวกฤๅษี พวกฤๅษีโดยมากได้ถึงแก่กรรม ดาบสทั้งหลายจึงบอกเรื่องนั้นแก่พระโพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์เรียกประชุมดาบสทั้งหมด แล้วกล่าวว่า หากพวกท่านเจริญเมตตาในตระกูลพญางูทั้ง ๔ งูทั้งหลายก็จะไม่กัดพวกเธอ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่นี้ไป พวกเธอจงเจริญเมตตาในตระกูลพญางูทั้ง ๔ แล้วจึงตรัสคาถานี้ว่า :
ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูชื่อว่า วิรูปักขะ
ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูชื่อว่า เอราปถะ
ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูชื่อว่า ฉัพยาปุตตะ
ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูชื่อว่า กัณหาโคตมกะ.
พระโพธิสัตว์ ครั้นแสดงตระกูลพญางูทั้ง ๔ อย่างนี้แล้ว จึงกล่าวว่า หากพวกท่านจักสามารถเจริญเมตตาในตระกูลพญางูทั้ง ๔ นั้น งูทั้งหลายก็จักไม่กัดไม่เบียดเบียนพวกท่าน แล้วกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :
ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับสัตว์ที่ไม่มีเท้า
ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับสัตว์สองเท้า
ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับสัตว์สี่เท้า
ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับสัตว์มีเท้ามาก.
พระโพธิสัตว์ ครั้นแสดงเมตตาภาวนาโดยสรุปอย่างนี้แล้ว
บัดนี้ เมื่อจะแสดงด้วยการขอร้อง จึงกล่าวคาถานี้ว่า :
ขอสัตว์ที่ไม่มีเท้า สัตว์ที่มี ๒ เท้า สัตว์ที่มี ๔ เท้า สัตว์ที่มีเท้ามาก อย่าได้เบียดเบียนเราเลย.
บัดนี้ เมื่อจะแสดงการเจริญเมตตาโดยไม่เจาะจง จึงกล่าวคาถานี้ว่า :
ขอสัตว์ผู้ข้องอยู่ สัตว์ผู้มีลมปราณ สัตว์ผู้เกิดแล้วหมดทั้งสิ้นด้วยกัน จงประสบพบแต่ความเจริญทั่วกัน ความทุกข์อันชั่วช้า อย่าได้มาถึงสัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งเลย.
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า พวกท่านจงเจริญเมตตาไม่เฉพาะเจาะจง ในสรรพสัตว์อย่างนี้ เพื่อให้ระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัยอีก จึงกล่าวว่า :
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีพระคุณหาประมาณมิได้ บรรดาสัตว์เลื้อยคลาน คือ งู แมลงป่อง ตะขาบ แมงมุม ตุ๊กแก และหนู เป็นสัตว์ประมาณได้.
พระโพธิสัตว์แสดงว่า เพราะธรรมทั้งหลายอันทำประมาณมีราคะภายในของสัตว์เหล่านั้นยังมีอยู่ ฉะนั้น สัตว์เลื้อยคลานเหล่านั้นจึงชื่อว่ามีประมาณ แล้วกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย อย่างนี้ว่า ด้วยอานุภาพของพระรัตนตรัยอันหาประมาณมิได้ ขอสัตว์ทั้งหลายอันมีประมาณเหล่านี้ จงทำการปกป้องรักษาพวกเราทั้งกลางคืนกลางวันเถิด
เพื่อแสดงกรรมที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น จึงกล่าวคาถานี้ว่า :
เราได้ทำการรักษาตัวแล้ว ป้องกันตัวแล้ว
ขอสัตว์ทั้งหลายจงพากันหลีกไป
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ขอนอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๗ พระองค์.
พระโพธิสัตว์ผูกพระปริตรนี้ให้แก่คณะฤๅษี ก็พระปริตรนี้ พึงทราบว่า ท่านกล่าวไว้ในชาดกนี้ด้วยคาถาทั้งหลายตอนต้น เพราะแสดงเมตตาในตระกูลพญานาคทั้งสี่ หรือเพราะแสดงเมตตาภาวนาทั้งสอง คือโดยเจาะจงและไม่เจาะจง ควรค้นคว้าหาเหตุอื่นต่อไป.
ตั้งแต่นั้น คณะฤๅษีตั้งอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ เจริญเมตตา รำลึกถึงพระพุทธคุณ เมื่อฤๅษีรำลึกถึงพระพุทธคุณอยู่อย่างนี้ บรรดางูทั้งหลายทั้งหมดต่างก็หลีกไป แม้พระโพธิสัตว์ก็เจริญพรหมวิหาร มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก
คณะฤๅษีในครั้งนั้น ได้เป็น พุทธบริษัท ในครั้งนี้.
ส่วนครูประจำคณะ คือ เราตถาคต นี้แล.