พยัคฆชาดก ว่าด้วย เรื่องของมิตร
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภโกกาลิกภิกษุ
ก็พระโกกาลิกะคิดว่า จักไปพาพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะมา จึงออกจากกาสิกรัฐไปยังพระวิหารเชตวัน ถวายบังคมพระศาสดา แล้วเข้าไปหาพระเถระทั้งสอง แล้วกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้อาวุโส มนุษย์ชาวแว่นแคว้นเรียกหาท่านทั้งหลาย มาเถิดท่าน เราทั้งหลายจะได้ไปด้วยกัน. พระเถระทั้งสองกล่าวว่า ไปเถอะคุณ พวกเรายังจะไม่ไป.
พระโกกาลิกะนั้นอันพระเถระทั้งสองปฏิเสธแล้ว จึงได้ไปโดยลำพังตนเอง.
ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระโกกาลิกะไม่อาจเป็นไปร่วม หรือเว้นจากพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ แม้ร่วมก็อดกลั้นไม่ได้ แม้พลัดพรากก็อดกลั้นไม่ได้.
พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไรหนอ?
เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่าด้วยเรื่องชื่อนี้พระเจ้าข้า จึงตรัสว่า มิใช่ในบัดนี้เท่านั้นดอกนะภิกษุทั้งหลาย แม้ในกาลก่อน พระโกกาลิกะนี้ไม่อาจอยู่ร่วม หรือเว้นจากพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะได้แล้ว ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นรุกขเทวดาอยู่ในราวป่าแห่งหนึ่ง ในที่ไม่ไกลวิมานของพระโพธิสัตว์นั้น มีรุกขเทวดาตนหนึ่งอยู่ในต้นไม้เจ้าป่าต้นหนึ่ง สีหะและพยัคฆ์ก็อยู่ในไพรสณฑ์นั้น เพราะกลัวสีหะและพยัคฆ์ใคร ๆ จึงไม่ไถนา ไม่ตัดไม้ในไพรสณฑ์นั้น ชื่อว่าบุคคลผู้สามารถที่เหลียวกลับมาดู ย่อมไม่มี.
ก็สีหะและพยัคฆ์เหล่านั้นฆ่าเนื้อทั้งหลายแม้มีประการต่างๆ เคี้ยวกิน ทิ้งสิ่งที่เหลือจากการเคี้ยวกินไว้ในที่นั้นนั่นเองแล้วก็ไปเสีย ไพรสณฑ์นั้นจึงมีกลิ่นซากสัตว์อันไม่สะอาด เพราะกลิ่นของเนื้อเหล่านั้น.
ลำดับนั้น รุกขเทวดานอกนี้เป็นผู้โง่เขลาไม่รู้จักเหตุและมิใช่เหตุ วันหนึ่ง ได้กล่าวกะพระโพธิสัตว์ว่า ดูก่อนสหาย ไพรสณฑ์เกิดกลิ่นซากสัตว์อันไม่สะอาดแก่พวกเรา เพราะอาศัยสีหะและพยัคฆ์เหล่านี้ เราจะไล่สีหะและพยัคฆ์เหล่านี้ให้หนีไปเสีย.
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ดูก่อนสหาย เพราะอาศัยสีหะและพยัคฆ์ทั้งสองตัวนี้ พวกเราจึงรักษาวิมานอยู่ได้ เมื่อสีหะและพยัคฆ์เหล่านี้หนีไปเสีย วิมานของพวกเราก็จักฉิบหาย เพราะพวกมนุษย์เมื่อไม่เห็นรอยเท้าของสีหะและพยัคฆ์ทั้งหลายก็จักตัดป่าทั้งหมด กระทำให้เป็นเนินลานเดียวกันแล้วไถนา ท่านอย่าชอบใจอย่างนี้เลย
เมื่อพระโพธิสัตว์แม้จะกล่าวเหตุอย่างนี้ เทวดาเขลาตนนั้นไม่พิจารณาใคร่ครวญเลย วันหนึ่ง แสดงรูปอันน่ากลัว ทำให้สีหะและพยัคฆ์เหล่านั้นหนีไป.
พวกมนุษย์ไม่เห็นรอยเท้าของสีหะและพยัคฆ์เหล่านั้นรู้ได้ว่า พวกสีหะและพยัคฆ์หนีไปอยู่ชัฏป่าอื่น จึงถางชัฏป่าได้ด้านหนึ่ง.
เทวดาเขลาจึงเข้าไปหาพระโพธิสัตว์แล้ว กล่าวว่า ดูก่อนสหาย ข้าพเจ้าไม่กระทำตามคำของท่านจึงทำสีหะและพยัคฆ์ทั้งหลายให้หนีไป บัดนี้ มนุษย์ทั้งหลายรู้ว่าสีหะและพยัคฆ์เหล่านั้นหนีไปแล้ว จึงพากันตัดชัฏป่า เราจะพึงทำอย่างไรหนอ อันพระโพธิสัตว์กล่าวว่า บัดนี้ สีหะและพยัคฆ์เหล่านั้นอยู่ในชัฏป่าโน้น ท่านจงไปนำเอาสีหะและพยัคฆ์เหล่านั้นมา
จึงไปที่ชัฏป่านั้น ยืนประคองอัญชลีข้างหน้าสีหะและพยัคฆ์เหล่านั้น ดูก่อนสีหะและพยัคฆ์ จงมาเถิด ขอเชิญท่านทั้งสองจงกลับเข้าไปยังป่าใหญ่ พวกมนุษย์อย่ามาตัดป่าของเราให้ปราศจากสีหะและพยัคฆ์เลย สีหะและพยัคฆ์อย่าได้เป็นผู้ไร้ป่า ดังนี้.
สีหะและพยัคฆ์ทั้งสองนี้ แม้ถูกเทวดานั้นอ้อนวอนอยู่อย่างนี้ก็ยังคงปฏิเสธว่า ท่านไปเถอะ พวกเรายังไม่ไป. เทวดาผู้เดียวเท่านั้นกลับมายังชัฏป่า. ฝ่ายมนุษย์ทั้งหลายก็ตัดป่าทั้งหมด โดย ๒-๓ วันเท่านั้น กระทำให้เป็นเนื้อนาแล้วกระทำกสิกรรม.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ แล้วทรงประชุมชาดกว่า
เทวดาผู้ไม่ฉลาดในกาลนั้น ได้เป็น พระโกกาลิกะ ในบัดนี้
ส่วนเทวดาผู้ฉลาดในกาลนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.