ตักกชาดก ชาดกว่าด้วยเล่ห์เหลี่ยมของหญิงเจ้าชู้
ในอดีตกาล ณ กรุงพาราณสี เศรษฐีผู้หนึ่งมีธิดาสาวสวยหน้าตาคมคายน่าชม แต่ทว่านางเป็นคนเจ้าอารมณ์ โกรธง่าย ซ้ำยังปากร้าย มือไว บ่าวไพร่ของนางจึงมักถูกนางด่าว่า ทุบตีให้ต้องเจ็บต้องอายอยู่เสมอ แม้นางจะเป็นถึงธิดาเศรษฐีและมีความงามเพียงไร บ่าวไพร่ทุกคนก็ดีต่อนางเฉพาะต่อหน้าเท่านั้น ลับหลังแล้วต่างขนานนามให้นางว่า "นางตัวร้าย"
วันหนึ่ง ธิดาเศรษฐีและบริวารพากันไปเล่นนํ้าในแม่น้ำคงคาตั้งแต่บ่ายจนกระทั่งเย็น ขณะนั้นเอง เมฆฝนได้ตั้งเค้าขึ้นอย่างรวดเร็วลมพัดกรรโชกรุนแรง กิ่งไม้ต้นไม้โยกเอนไปมาพัดพาเอาใบไม้ร่วงกราวราวสายฝน แม้ผิวนํ้าก็ถูกลมพัดจนเป็นระลอกคลื่นบรรดาบ่าวไพร่ทั้งหลาย ต่างกุลีกุจอขึ้นจากน้ำ ครึ่งวิ่งครึ่งเดินกลับเรือนไม่มีใครห่วงใยนายสาวของตนซํ้าบางคนยังพูดว่า
"ดีล่ะ ปล่อยนางตัวร้ายให้ว่ายนํ้าหนีฝนซะให้เข็ด!"
"คอยดูนะ เดี๋ยวยายนั่นจะต้องสั่นเป็นลูกนกตกน้ำเลย รู้ ๆ อยู่ว่าฝนจะตกแล้ว ยังเอ้อระเหยลอยคออยู่ได้ฉันเลยไม่อยากเรียกหมั่นไส้ "
แต่จนคํ่ามืดแล้ว ธิดาเศรษฐียังไม่กลับเรือนสักที เศรษฐีซักถามก็ไม่มีใครรู้ใครเห็น เพราะมัวแต่วิ่งหนีฝนมัน ต่างคิดมันว่าคงจะวิ่งตาม ๆ กันมา บางคนว่าเห็นหลังไว ๆ เข้าใจว่าคงขึ้นจากนํ้ามาก่อนแล้ว เมื่อสอบถามไม่ได้ความ เศรษฐีจึงระดมบ่าวไพร่ทั่งหลายออกค้นหานางด้วยความห่วงใย
ไม่มีใครรู้ว่า ขณะนี้ธิดาเศรษฐีถูกกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากพัดพามาติดกอหญ้า ไหลเรื่อยลงไปยังป่าแห่งหนึ่ง ยังดีที่นางว่ายนํ้าได้แข็ง แม้จะอ่อนเพลียและเหน็ดเหนื่อย แต่นางก็สามารถ พยุงกายรักษาชีวิตมาได้เป็นเวลาถึงครึ่งคืน
ตลอดเวลาที่ลอยคออยู่ในน้ำ นางพยายามร้องเรียกให้คนช่วย แต่ไม่มีใครได้ยินเลย จนกระทั่ง นางลอยมาถึงบริเวณหน้าบรรณศาลาของฤๅษีหนุ่มตนหนึ่ง ขณะนั้นฝนได้หยุดตกแล้วฤๅษีได้ยินเสียงนาง จึงถือคบหญ้าออกมา เมื่อเห็นผู้หญิงลอยน้ำอยู่ ด้วยอาการที่สิ้นเรี่ยวแรง จึงร้องบอกนางว่า
"ทำใจดี ๆ ไว้ ฉันจะลงไปช่วยเดี๋ยวนื้"
ฤๅษีเสียบคบหญ้าไว้กับง่ามไม้ แล้วว่ายนํ้าไปประคองนางเข้าฝั่ง ธิดาเศรษฐีขณะนั้นดูน่าสงสารนัก เนื้อตัวเย็นเฉียบ ปากคอสั่นเพราะความหนาว ผมเผ้ายาวสยายปกหน้าตา เสื้อผ้าไม่มีพันกาย
ฤๅษีหนุ่มรีบนำผ้าให้นางห่ม แล้วกองไฟให้นางผิง นำผลไม้ที่มีอยู่มาให้นางกิน นางรีบรับมากินด้วยความหิวกระหายแล้วนั่งผิงไฟ จนรู้สึกอบอุ่นขึ้น ฤๅษีหนุ่มจึงกล่าวกับนางว่า
"น้องหญิง เธอจงเข้านอนในศาลาเถิดนะ ฉันจะนอนข้างนอกนี่แหละ จะได้ไม่เป็นที่ครหาแก่เราสองคน"
นางหันมามองฤๅษีหนุ่มอย่างเต็มตา แล้วเดินเข้าไปนอนในบรรณศาลาอย่างว่าง่าย
วันรุ่งขึ้น ฤๅษีหนุ่มจัดหาผลไม้ต่าง ๆ มาเลี้ยงนาง ด้วยคิดว่าเมื่อนางกินอิ่มมีกำลังแล้ว จะได้เดินทางกลับ แต่นางก็ยังนอนพักผ่อนด้วยอ้างว่า ยังไม่หายอ่อนเพลีย
จนกระทั่งวันที่สาม ธิดาเศรษฐีก็ไม่มีทีท่าว่าจะจากไปนางกลับคิดว่า
"...ฤๅษีตนนี้ ทนอยู่ได้ยังไงนะ เราอุตส่าห์ไม่กลับ ก็ยังทนตากแดดตากนํ้าค้างอยู่นอกศาลาได้อยากจะรู้นักว่า คนที่ทนตากแดดตากน้ำค้างได้ จะทนมารยาหญิงของเราได้หรือเปล่า..."
นางบังเกิดความพึงพอใจฤๅษีหนุ่ม จึงเข้าไปพูดจาด้วยถ้อยคำอ่อนหวาน แลดงอาการประเล้าประโลม ถูกเนื้อต้องตัวฤๅษีหนุ่ม แม้จะมีวิชาอาคม มีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ก็ยังพ่ายแพ้ต่ออำนาจของสตรี จึงได้ธิดาเศรษฐีเป็นภรรยา
ทั้งสองอยู่ด้วยกันในป่าไม่นาน ธิดาเศรษฐีทนความเงียบเหงาในป่าไม่ได้ จึงกล่าวว่า
"ท่านคะ ท่านมีความรู้มากมายสมเป็นบัณฑิต จะมาอยู่ป่าให้ลำบากลำบนทำไมคะ สู้ไปอยู่ในเมืองไม่ดีกว่าหรือ จะได้ใช้วิชาความรู้ให้เป็นประโยชน์"
ชายหนุ่มมีความเห็นคล้อยตามนาง จึงพากันไปปลูกกระท่อมอยู่ที่หมู่บ้านชายแดนแห่งหนึ่ง โดยยึดอาชีพเป็นพ่อค้าขายเปรียง นอกจากนั้นเขายังเอื้อเฟื้อต่อชาวบ้านด้วยการอบรมสั่งสอนให้ชาวบ้านผิดชอบชั่วดี อะไรเป็นบุญอะไรเป็นบาป ชาวบ้านทั้งหลายต่างให้ความเคารพยกย่องพากันเรียกเขาว่า ตักกบัณฑิต
ต่อมา ได้มีโจรป่าบุกเข้ามาปล้นละดมในหมู่บ้าน เมื่อปล้นทรัพย์สินเงินทองได้แล้ว พวกโจรยังบังคับให้ชาวบ้านช่วยกันขนทรัพย์ไปส่งที่ชายป่าอีกด้วย เมื่อโจรได้ของไปแล้ว ก็ไล่ชาวบ้านกลับ ชาวบ้านทุกคนต่างรีบวิ่งกลับเข้าหมู่บ้าน แต่ทันใดนั้น เสียงหัวหน้าโจรก็ดังขึ้นว่า
"นางคนนั้น หยุดก่อน"
ธิดาเศรษฐีหยุดวิ่ง ยืนนิ่งอยู่กับที่เหมือนถูกมนต์สะกดด้วยความรักตัวกลัวตาย
นายโจรยืนเพ่งพินิจนาง พร้อมกับเอามือเชยคางนางขึ้น
"ฮ่ะ! ฮ่ะ! ฮ่ะ! อยู่เป็นเมียข้าที่นี่แหละ นางคนสวย"ว่าแล้ว นายโจรก็พานางไปด้วย
ธิดาเศรษฐีได้รับการบำรุงบำเรอจากนายโจรอย่างดี จนนางไม่ต้องการกลับไปเป็นเมียของบัณฑิตอีก นางบังเกิดความคิดว่า
"สักวันหนึ่ง ตักกบัณฑิตคงต้องมาชิงตัวเรากลับไปแน่ ๆ เพราะเขาเป็นคนมีฝีมือ แล้วยังฉลาดอีกด้วย เขาคงไม่ยอมให้เราเป็นเมียนายโจรได้นานนักหรอกทำอย่างไรดีนะ เราไม่อยากกลับไปอยู่ในหมู่บ้านนั้นเลย... ตราบใดที่ ตักกบัณฑิตยังมีชีวิตอยู่ เขาต้องมาแน่ ๆ... อย่ากระนั้นเลย เราควรหาทางล่อลวงเขามาฆ่าทิ้งดีกว่า จะได้หมดสิ้นเสี้ยนหนาม"
คิดได้แล้ว นางจึงให้คนไปส่งข่าวแก่ตักกบัณฑิตว่า นางจำใจอยู่กับนายโจรในป่านี้ มีความทุกข์ใจแสนสาหัส จงรีบหาทางมาพานางหนีไปเถิด
ตักกบัณฑิตจึงลอบเข้าไปพบนางตามอุบายที่นางวางไว้ ให้นางพาเขาไปซ่อนตัวไนยุ้งข้าว ดังกล่าว
"ท่านรอฉันอยู่ในนี้นะคะ คํ่า ๆ เราค่อยหลบหนีออกไปด้วยกัน"
จากนั้น นางจึงเข้าไปหานายโจร ออดอ้อนออเซาะด้วย ความรัก แล้วพูดว่า
"นายเจ้าขา ถ้าเกิดมีศัตรูของนายลอบเข้ามาถึงบนนี้ นายจะทำอย่างไรคะ"
"ฆ่ามันน่ะซี้ ถามได้ แต่ก่อนฆ่า ก็จะต้องเฆี่ยนมันก่อนเป็นการสั่งสอน ในฐานะที่มันบังอาจบุกรุกเข้ามา แล้วค่อยฆ่าเพื่อเป็นการลงโทษ"
"จริงหรือเจ้าคะ"
"อ๊ะ! จริงซิ เป็นโจรพูดเล่นได้ไง"
"ถ้าอย่างนั้น นายเข้าไปดูในยุ้งข้าวซิคะ ว่าคนที่ซ่อนอยู่ในนั้นเป็นคัตรูของนายหรือเปล่า"
นายโจรจึงคว้าดาบเดินตรงเข้าไปในยุ้งข้าว เมื่อเห็นตักกบัณฑิต ก็กระชากตัวออกมา แล้วเหวี่ยงลงบนกลางลาน สั่งให้สมุน ๒-๓ คน ซ้อมจนสะบักสะบอม จากนั้น จึงให้นำแส้มาโบยอย่างชนิดไม่ต้องนับ
"ควับ!"
"ขี้โกรธ"
"ควับ!"
"อกตัญญู"
"ควับ!"
"ชอบส่อเสียด"
"ควับ!"
"ประทฺษร้ายมิตร"
ทุกครั้งที่เสียงแส้แหวกอากาศ กระทบหลังของตักกบัณฑิต เขาจะกล่าวคำ 4 คำนี้ออกมา นายโจรกำลังโกรธจัด จึงไม่ใส่ใจฟังปล่อยให้สมุนเฆี่ยน ตนเองหันเข้าหาสุราดื่มจนหลับไป
ครั้นรุ่งเช้าพอสร่างเมาแล้ว จึงให้สมุนโบยตักกบัณฑิตอีก ตักกบัณฑิตก็กล่าวคำ 4 คำ เดิมอีก แม้ว่าบาดแผลจากรอยแส้จะบาดผิวหนังจนเลือดแดงฉานไปทั้งหลัง เขาก็ไม่ร้องโอดโอยขอชีวิตร้องแต่ "ขี้โกรธ อกตัญญู ชอบส่อเสียด ประทุษร้ายมิตร" เพียง 4 คำ นี้เท่านั้นจึงทำให้นายโจรรู้สึกแปลกใจมาก
"หยุด! ลากมันมานี่ซิ"
นายโจรสั่งให้หยุดโบย แล้วสอบถามความเป็นมาของคำทั้ง 4 คำ นั้น ตักกบัณฑิตจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นายโจรฟัง นายโจรจึงได้คิด
"...นางคนนี้ช่างเลวจริง ๆตักกบัณฑิตทั้งช่วยชีวิต ทั้งเลี้ยงดูนางนางยังคิดฆ่าได้ ต่อไปนางคงหาทางฆ่าเราได้เหมือนกันคนอย่างนี่อยู่ต่อไป ก็หนักแผ่นดิน..."
นายโจรจึงเข้าไปปลุกนางให้ตื่น แล้วกล่าวว่า
"ฉันจะฆ่าไอ้หนุ่มคนนั้นที่หน้าบ้าน เราไปด้วยกันเดี๋ยวนี่เถอะ"
เมื่อมาที่หน้าบ้านแล้ว นายโจรบอกให้นางจับมือตักกบัณฑิตไว้
"เธอจับมือมันไว้ให้ดีๆ นะ อย่าใหมันล้มลงไปนะ ฉันจะส่งมันไปลงนรกเดี๋ยวนี่แล้ว!"
นายโจรทำทีเหมือนจะฟันตักกบัณฑิต แล้วเงื้อดาบฟันนางขาดสองท่อนในนาทีนั้น
นายโจรให้สมุนเช็ดตัว ทำแผลให้ตักกบัณฑิตแล้วจึงขอขมา ตักกบัณฑิตให้อภัยใม่ถือโทษซ้ำยังสอนหลักธรรมให้นายโจรรู้ผิดชอบชั่วดีอีก นายโจรนำข้าวปลาอาหารอย่างดีมาเลี้ยงรับขวัญ แล้วเชิญให้นอนพักผ่อน ตักกบัณฑิตอยู่ฟักรักษาตัวได้ ๒-๓ วัน ก็เตรียมตัวออกเดินทาง
"ท่านจะกลับไปที่หมู่บ้านใช่ไหม ข้าจะไปส่ง" นายโจรถาม
"เปล่าหรอก เราไม่ปรารถนาจะครองเรือนอีกต่อไปแล้ว เราจะไปหาที่สงบบวชเป็นฤๅษีบำเพ็ญเพียรภาวนาต่อไป" ตักกบัณฑิตตอบ
"ถ้าอย่างนั้น ข้าจะไปกับท่านด้วย"
นายโจรตอบพร้อมกับเดินทางเข้าป่าไปบวชเป็นฤๅษีด้วยกันจนกระทั่งได้สำเร็จอภิญญา 5 สมาบัติ 8 เมื่อสิ้นชีวิตละโลกแล้วได้ใปเกิดในพรหมโลกทั่งคู่
ข้อคิดจากชาดก
๑) การเลี้ยงดูบ่าวไพร่ ควรให้ความเมตตา ตามสมควรความหยาบคายร้ายกาจข่มขี่บ่าวไพร่ตามอำเภอใจ อาจเกิดผลร้ายแก่ตนในภายหลัง
๒) การดูคนว่าเป็นคนดีหรือชั่วนั้น ดูได้ยาก เพราะปกติของคนชั่วมักมีเล่ห์เหลี่ยมซุกซ่อน ปกปิดการทำชั่วไว้อย่างมิดชิด ถ้าไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วนรอบคอบ รับคนชั่วเข้ามาเลี้ยงดูแล้ว ภายหลังจะขับไล่ ออกไปโดยไม่ให้ผิดใจกัน ทำได้ยากยิ่ง
๓) คนมักมากในกาม โดยทั่วไปมักมีเล่ห์เหลี่ยมมาก ถ้าจำเป็นต้องใกล้ชิด ต้องหมั่นสำรวมอินทรีย์ จะประมาทไม่ได้เป็นอันขาด
๔) มุ่งประพฤติธรรม เมื่อจะช่วยเหลือเพศตรงข้ามไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ต้องระวังอย่าใกล้ชิดนัก
๕) เมื่อตั้งใจฝึกสมาธิเพื่อบรรลุธรรม อย่าท้อถอยเบื่อหน่ายแม้เวลาจะผ่านไปเนินนานเพียงไรก็อย่าสินหวัง อย่าคิดว่าตนบุญน้อยหรือวาสนาไม่ถึง ไม่อาจบรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะแม้แต่คนที่เคยเป็นโจรเมื่อกลับตัวตั้งใจประพฤติธรรมอย่างแน่วแน่ ก็ยังสามารถทำ สมาธิจนบรรลุฌานได้
๖) ขึ้นชื่อว่าคนมีความรู้ความสามารถเป็นบัณฑิต ไปที่ใดย่อมมีผู้อุปถัมภ์คํ้าชูเสมอ ย่อมไม่ตกไปสู่ที่ชั่ว ตรงกันข้ามกับคนหยาบคาย ร้ายกาจ ถึงอยู่ที่สูงก็ย่อมตกลงสู่ที่ชั่วจนได้
ตักกชาดก ชาดกว่าด้วยเล่ห์เหลี่ยมของหญิงเจ้าชู้
ตอน 1 http://www.kalyanamitra.org/th/chadok_detail.php?page=4770
ตอน 2 http://www.kalyanamitra.org/th/chadok_detail.php?page=4824
ตอน 3 http://www.kalyanamitra.org/th/chadok_detail.php?page=4849