อรรถกถา สุลสาชาดก
ว่าด้วย ผู้รอบรู้เหตุผลย่อมรอดพ้นศัตรู
เช้าวันหนึ่ง ณ พระวิหารเชตวัน อนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้เข้าเฝ้าพระศาสดา ก่อนจะเล่าถึงนางทาสีคนนึ่งว่า ในวันที่มีการเล่นมหรสพ คนใช้ได้ขอเครื่องแต่งตัวกับนางบุญลักษณเทวีผู้เป็นนายของตน นางได้ให้เครื่องแต่งกาย ซึ่งมีมูลค่าถึงหนึ่งแสน จากนั้นสาวคนรับใช้ได้ปะดับประดาเครื่องแต่งตัวต่างๆ เต็มตัว และออกเดินทาง
ในขณะนั้นโจรคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างทางบังเอิญเห็นเข้าเกิดความอยากได้ จึงพยายามวางแผนชิงทรัพย์ จากนั้นจึงตรงไปยังสาวคนใช้ผู้เป็นเป้าหมายทันที "แม่นางมาทำอะไรแถวนี้" "ฉันมาเที่ยว งานมหรสพหนะ แล้วท่านมีอะไรหรือ" "เปล่า ข้าก็แค่เห็นว่าท่านนั้นสวยดีแค่อยากรู้จักเท่านั้น" เมื่อเอ่ยจบได้ยื่นเนื้อปลาและสุราให้ "ถือว่าเป็นของขวัญแล้วกันคนสวย" เมื่อสาวคนใช้ได้ยินดังนั้น ก็รับเอาไว้ แล้วเดินเล่นในสวน
หญิงสาว รู้ทันชายผู้นั้น แต่เพื่อให้แน่ใจ เย็นวันเดียวกันได้ปลุกสาวรับใช้ที่นอนด้วยกันให้ลุกขึ้น แล้วเข้าไปหาโจรผู้นั้น เมื่อทั้งสองประจันหน้ากัน โจรหนุ่มได้เอ่ยขึ้น "น้องรักที่ตรงนี้ไม่มิดชิดเท่าไหร่นัก เราเดินไปข้างหน้าอีกหน่อยเถิด" "นางได้ฟังดังนั้นก็รู้ได้ทันที ชายผู้นี้ประสงค์จะฆ่าเราและขโมยทรัพย์แน่นอน" เมื่อหญิงรับใช้เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของชายหนุ่มตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว จึงแสร้งทำเป็น อ่อนเพลียเพราะสุรา ก่อนจะเอ่ยกับชายหนุ่มตรงหน้า "ท่านช่วยหาน้ำดื่มให้ฉันหน่อยได้ไหม" จากนั้นโจรจึงพาไปที่บ่อน้ำ "พี่จ๋าช่วยตักน้ำให้ฉันที" แล้วชี้ไปยังเชือกและหม้อตักน้ำที่ตั้งอยู่บนขอบบ่อ
"ได้สิน้อง" จากนั้นได้เอาเชือกผูกหม้อน้ำ แล้วหย่อนลงไป ครั้นโจรก้มลงไปจะตักน้ำ นางทาสีผู้มีพละกำลังมาก ได้ใช้มือทั้งสองทุบเข้าไปที่ต้นขา แล้วเหวี่ยงลงไปในบ่อ จากนั้นสาวเจ้า ใช้มือทั้งสองข้างหยิบอิฐแผ่นใหญ่ ทุ่มลงไปติดๆโดนเข้ากับศรีษะพอดี จนโจรนั้นสิ้นชีพ
เมื่อนางจัดการกับโจรผู้นั้นเรียบร้อยแล้ว ได้เดินตรงกลับเข้าพระนคร มอบเครื่องแต่งตัวให้แก่นาย แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้แก่ภรรยาของข้าพเจ้าฟัง นางบุญลักษณเทวีได้เล่าแก่ข้าพเจ้าฟังอีกรอบ
ดูก่อนคฤหบดี มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่นางทาสีนั้นประกอบไปด้วยปัญญารู้เท่าทันเหตุการณ์ แม้ในกาลก่อน นางก็ประกอบไปด้วยปัญญาเหมือนกัน
ในอดีตกาล สมัยพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี ในคำคืนที่เงียบสงบ มีชายหนุ่มรูปร่างกำยำกำลังเดินเข้าออกตรอกซอกซอย เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง และนั้นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด ชาวบ้านหลายครัวเรือนต้องพบกับกับความทุกข์ใจ เมื่อพบว่าข้าวของมีค่าที่ตนนั้น ทำงานมาอย่างยากลำบากได้หายไปจากที่ตื่นขึ้นมา เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งจนชาวเมืองทนไม่ไหว จึงพากันมาร้องทุกข์กับพระราชา
ด้านเมื่อพระองค์ทรงทราบข่าว จึงสั่งให้ผู้รักษาเมือง ช่วยกันจับโจร จนในที่สุดชายผู้นั้นพ่ายให้กับทหาร ผู้รักษาเมืองจับมัดมือไพล่หลัง เฆี่ยนด้วยหวายจนรอยเต็มไปหมด ข่าวเรื่องการจับโจรนั้นดังกระฉ่อนไปทั่วเมือง
ในขณะนั้น นางสุลสายืนอยู่ที่หน้าต่างพอดี ทอดสายตาลงไปยังถนนด้านล่าง แว็บแรกที่เห็น หัวใจที่เคยเย็นชากลับมาเป็นสีชมพูอีกครั้ง นางพร่ำเพ้อรำพันอยู่ชั่วครู่ พยายามหาทางที่จะให้ชายหนุ่มที่ตนนั้นตกหลุมรัก รอดพ้นจากการประหารครั้งนี้ "เราจะทำอย่างไรดีนะ" นางได้ติดสินบนแก่ผู้รักษาเมือง และพาชายหนุ่มไปยังเชิงเขา สร้างกระท่อมอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
สามเดือนชายหนุ่มไม่อาจทนได้ จึงคิดว่าจะฆ่านางแล้วเอาเครื่องประดับมาเป็นของตน อยู่มาวันหนึ่ง โจรได้กล่าวกับนางว่า "น้องรัก จำได้ไหมตอนที่พี่ถูกทางการจับ ตอนนั้นพี่บนบานกับรุกขเทวดา บนยอดเขาทางฝั่งโน้นไว้ว่า ขอให้ตนรอดจากการถูกประหาร จะถวายเครื่องบูชาแก่ท่าน นี่ก็ผ่านมาสามเดือนแล้ว พี่ไม่อยากผิดสัญญา" เมื่อโจรหนุ่มเอ่ยจบ หญิงสาวกุมเข้าที่มือของชายหนุ่มทันที "ดีแล้วพี่จ๋า พรุ่งนี้เราขึ้นไปกันเลย วันนี้น้องจะช่วยพี่จัดข้าวของสำหรับเครื่องบูชานะพี่" "ได้น้องหญิง"
จากนั้น โจรให้นางจัดหาของตามที่ต้องการ แล้วเดินทางไปยังเชิงเขา เมื่อทั้งคู่เดินไปถึงจุดหมาย จึงให้นางวางถาดเครื่องบูชาลงกับพื้น ก่อนโจรหนุ่มจะเอ่ยกับหญิงสาวว่า "น้องรัก พี่ไม่ได้มาเพื่อบูชา แต่ขึ้นมาเพื่อจะฆ่าเจ้าจงปลดเอาเครื่องแต่งกายของเธอออกซ้ะ" เมื่อโจรหนุ่มเอ่ยจบ ความเจ็บปวดวิ่งปราดเข้ามาในหัวใจ น้ำตาซึมออกมาเล็กน้อย "ท่านพี่ทำไมถึงจะฆ่าฉันล่ะ ทั้งที่น้องช่วยท่านมามากมายขนาดนี้ ตอนนั้นนะ ใครใดอยากจะมาเจอน้อง คนๆนั้นจะต้องจ่ายๆถึงหนึ่งพัน แต่น้องยอมทิ้งทุกอย่างมาเพื่อพี่เลยนะคะ" เมื่อเอ่ยจบนางก็แสดงท่าทีคร่ำครวญเสียอกเสียใจ เพื่อหวังว่าผู้เป็นสามีของตนจะเห็นใจ "ท่านพี่น้องมีอะไรจะขอร้องท่านได้ไหม คืออย่าฆ่าฉันเลยไว้ชีวิตเถิด"
ขณะที่นางพูดอ้อนวอนก็ถอดสร้อยทองคำ ที่ประดับด้วยแก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์ ตลอดจนทรัพย์นับพันทั้งหมด "ข้าพเจ้ายกให้ท่าน ขอความเจริญจงมีแก่ท่าน และจงประกาศข้าพเจ้าว่าเป็นทาสีเถิด"
"แน่ะ...แม่คนงาม อย่ามัวร่ำไรให้มากไปเลย เอาทรัพย์มาให้ข้าเดี๋ยวนี้" ขณะนั้น นางสุลสาฉุกคิดถึงเหตุที่จะเอาตัวรอดได้ เจ้าโจรนี้จักไม่ยอมละชีวิตเรา เราจักใช้อุบายนี้ผลักโจรนี้ให้ตกลงในเหว ให้ตายเสียก่อน
"ท่านพี่ ก่อนที่เราทั้งสองจะจากกัน ขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม" "ว่ามา!" โจรหนุ่มมีท่าทีหงุดหงิดเล็กน้อย "ฉันขอกอดท่านหน่อยได้ไหม เพราะว่าต่อแต่นี้ไป การคบหากันระหว่างฉันกับท่าน จะไม่มีอีกแล้ว"
สัตตุกโจรรู้ไม่ทันความประสงค์ของนาง จึงกล่าวว่า "ดีแล้วน้องรัก มากอดฉันเถิด" นางสุลสาทำเดินรอบโจร ๓ ครั้งแล้วโผเข้ากอด "พี่จ๋า ฉันจะไหว้พี่ทั้ง ๔ ด้าน" แล้วนางก็ก้มศีรษะลงที่หลังเท้าไหว้ข้างซ้าย ข้างขวา แล้วทำเป็นไปไหว้ข้างหลัง นางเป็นหญิงแพศยามีกำลังเท่าช้างสาร จึงรวบแขนทั้งสองของโจรเข้าไว้ กดหัวลง โยนลงไปในเหว
โจรได้แหลกละเอียดตายลงในเหวนั้น เทวดาที่สิงสถิตอยู่ยอดภูเขาได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เอ่ยขึ้นไม่ชายทุกคนจะเป็นบัณฑิตได้เท่านั้น แม้ผู้หญิงก็สามารถเป็นบัณฑิต ได้เช่นกัน ในโลกนี้ ผู้ใดไม่รู้เหตุผลที่เกิดขึ้นได้ฉับพลัน ผู้นั้นมีปัญญาเขลา ย่อมถูกฆ่าตายเหมือนโจร
ในโลกนี้ ผู้ใดย่อมรอบรู้เหตุที่เกิดขึ้นได้ฉับพลัน ผู้นั้นย่อมพ้นจากความเบียดเบียนของศัตรูได้ เหมือนนางสุลสาหญิงแพศยาหลุดพ้นไปจากโจรสัตตุกะฉะนั้น
นางสุลสาฆ่าโจรได้แล้วลงจากภูเขาไปสำนักพวกบริวารชนของตน ถูกถามว่า "ลูกเจ้าหายไปไหน?" นางตอบว่า อย่าถามถึงมันเลย แล้วขึ้นรถเข้าไปยังพระนครทันที
พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงจบลงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
สามีภรรยาทั้งสองในครั้งนั้น ได้มาเป็น สามีภรรยาคู่นี้เอง
ส่วนเทวดา ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.