ฉบับที่ ๓๖ ประจำเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๘

" กตัญญูมหาบูชา มหาปุชนียาจารย์ พระมงคลเทพมุนี "

 



            การมาในวันนี้ เท่ากับเราจะได้เชี่อมสายบุญกับพระเดชพระคุณหลวงปู่ของเรา แปลว่า ท่านไปบังเกิดที่ไหน เราก็ไปเกิดที่นั่น ไปเพื่อสร้างบารมี ไปศึกษาวิชชาธรรมกายกับท่าน ซึ่งเป็นวิชชาที่สำคัญเกี่ยวข้อง กับตัวเราโดยตรง ที่จะทำให้เราพ้น จากการเป็นบ่าว เป็นทาสของพญามาร นี่เป็นเรื่องที่สำคัญ

            ถ้าหากว่า ไม่มีวันนี้วันที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ได้บรรลุวิชชาธรรมกายเมื่อ ๘๘ ปีที่ผ่านมา เราจะไม่เข้าใจวิธีการเจริญภาวนาให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน และไม่เข้าใจคำว่า " อกาลิโก " จะไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับพญามาร ทางมรรคผลนิพพานมีอยู่ในพระไตรปิฎก ที่แม้จะมีผู้สืบทอดต่อเนื่องกันมา ๒๐๐๐ กว่าปี ได้พูดถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้ เวลาที่ท่านขึ้นธรรมาสน์ เทศนาอบรมสั่งสอน แต่เราก็ดูเหมือนจะเข้าใจ รู้ว่าดี แต่ว่าจะทำอย่างไร เราไม่ทราบ จนกระทั่งเราไม่มั่นใจเลยว่า ถ้าเราปฏิบัติไปแล้วมันจะถูกไหม จะบ้าหรือเปล่า หรือนั่งแล้วจะไปเห็นสิ่งที่น่ากลัว หรือหลุดแล้วตายไปเลย ไม่หวนคืนกลับมาได้อีก ความไม่มั่นใจทำให้เราพลาด โอกาสในการปฏิบัติธรรม และเข้าถึงสิ่งที่ดีที่มีอยู่ในตัว สมหวังในชีวิตด้วยการเข้าถึงความสุขที่แท้จริงภายใน

            เพราะฉะนั้น เมื่อพระเดชพระคุณหลวงปู่ ท่านบังเกิดขึ้นและท่าน มายืนยันอย่างนี้ว่า พระนิพพานมีอยู่ภายในตัวของเรา เริ่มต้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ด้วยวิธีการหยุดนิ่ง บอกทั้งวิธีการ สถานที่ อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ความมั่นใจเกิดขึ้น และเมื่อเราปฏิบัติ เราก็เห็นไปตามลำดับ ตามที่ท่านได้สอน อย่างที่พวกเราก็ได้เข้าถึงในสิ่งที่ท่านได้สอนมา ตามภูมิจิตภูมิธรรมความละเอียด ของแต่ละคนที่ไม่เท่ากัน แต่ก็เป็นพยานยืนยัน ในการบรรลุธรรมของท่านว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เรามาถูกทางแล้ว และเป็นการยืนยันว่า มรรคผลนิพพานเป็นอกาลิโก ไม่เกี่ยวกับเรื่องกาลเวลา เพราะมรรคผลนิพพาน อยู่ภายในตัวของเรา ในมนุษย์ทุกคน ทำเมื่อไหร่ หยุดนิ่งเมื่อไหร่ ก็เข้าถึงเมื่อนั้น แม้มีอยู่ ถ้าไม่ทำ ไม่หยุดนิ่ง ก็เข้าไม่ถึง เพราะฉะนั้นคำว่า " อกาลิโก " นี่เป็นเรื่องจริงแท้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ เรามั่นใจตรงนี้ ก็เพราะการบรรลุธรรม ของพระเดชพระคุณหลวงปู่ของเรา

            กับเรื่องของพญามาร มีกล่าวเอาไว้ในพระไตรปิฎกมาก แต่เราฟังแล้วก็ไม่ชัดเจน เพราะไม่มีการให้รายละเอียดในพระไตรปิฎก

            มารจริง ๆ ที่น่ากลัว หน้าตาไม่น่ากลัว แต่มารที่เขาวาดหน้าตาน่ากลัว มันไม่ค่อยน่ากลัว วาดไปตามจินตนาการ เพราะมารที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ไปเจอ หรือที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเจอ โดยเฉพาะที่ใต้ต้นอชปาลนิโครธ เป็นมารเดียวกับที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ค้นเข้าไปเจอ เป็นมารที่หน้าตาไม่น่ากลัวเลย สวย สง่างาม มีรัศมี แต่ไม่มีวาดเอาไว้ตามฝาผนังหรือในหนังสือเลย ไม่มีเลย แม้กระทั่งบัดนี้ก็ไม่มี

            ดังนั้นเรามารู้เรื่องของพญามารเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับเรา ที่เกี่ยวข้องก็คือ พญามารทำให้เกิดความทุกข์ทรมานในชีวิต ให้มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย มีการพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก ประสบสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ปรารถนาอะไรก็ไม่สมปรารถนา มารบังคับให้เราเกิดอกุศลจิต คิดไม่ดี พูดไม่ดี และทำไม่ดี ต่อตนเองก็ดี ต่อผู้อื่นก็ดี ต่อสัตว์ทั้งปวงก็ดี แล้วมีวิบากกรรม วิบากกรรมนั้นรองรับกันตั้งแต่ในอบายภูมิ อบายภูมิตั้งแต่ เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก ในมหานรก ภพภูมิต่าง ๆ อีกมากมายก่ายกองทีเดียว ซึ่งเราไม่เคยรู้เรื่องอย่างนี้มาก่อนเลย เคยได้ยินก็ฟังผ่าน ๆ พอไม่ได้ยินคำอธิบายที่ชัดเจนก็ไม่เชื่อ แล้วในที่สุดก็น้อมลงไปในมิจฉาทิฏฐิ คือ ไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้ ไม่มี อะไรต่าง ๆ เหล่านั้น

            มารทำให้เกิดสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ทำให้เราไม่รู้จักตัวเราเองเลย ไม่รู้เรื่องราวประวัติชีวิตของเราเลยว่า ก่อนมาเกิดมาจากไหน และก็อยู่ที่ตรงไหน และมีชีวิตอยู่กันยังไง เราผ่านมากี่ชีวิตแล้ว ยังไม่รู้เลยนะ เพราะฉะนั้นคำว่า " อวิชชา " ยังมีอยู่ แปลว่า ความไม่รู้จริง มันก็เอาตรงนี้มาบังคับ ทำให้เราไม่รู้เรื่องราวของเรา ไม่รู้เรื่องราวของคนอื่น ไม่รู้เรื่องราวในสังสารวัฏว่า ทำไมหน้าตาเราถึงแตกต่างกัน อ้วนผอม ดำขาว สูงต่ำ ฐานะความเป็นอยู่ ความนึกคิด ความเชื่อ ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ประเพณีที่แตกต่าง

            แตกต่างคือความแตกแยก เมื่อแตกแยกมันก็ไม่รวมกัน นี่เราไม่รู้เรื่องเลยนะ เช่น ทำไมมนุษย์ ไปมาหาสู่กันไม่ได้ ทำไมมนุษย์สื่อสารกันไม่ได้แม้ในบ้านเดียวกัน พูดภาษาเดียวกัน บางทีก็สื่อสารไม่ได้ นี่แหละคือส่วนหนึ่งที่พญามารเขาทำเอาไว้ หรือทำไมถึงมีความโลภ มีความโกรธ มีความหลง

            โดยสรุปก็คือ มาร ๕ ฝูง คือ กิเลสมาร ขันธมาร เทวบุตรมาร มัจจุมาร อภิสังขารมาร มาร ๕ ฝูงนี้เป็นเครื่องมือของพญามารตัวจริง ที่เขาปล่อยมาร ๕ ฝูง เข้ามาบังคับบัญชาสรรพสัตว์ทั้งหลาย บังคับตั้งแต่ อรูปพรหม พรหม ทิพย์ มนุษย์ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ตลอดแสนโกฎิจักรวาล อนันตจักรวาล นี่บังคับบัญชากันมาเยอะแยะ แล้วบังคับทำไม เชื่อไหมเราตอบไม่ได้ แต่พระเดชพระคุณหลวงปู่ตอบได้ ว่าบังคับทำไม ที่ให้แตกต่างกันนี้ ไม่เหมือนกันสักคน แม้ฝาแฝดก็ไม่เหมือนกัน ก็เหมือนแฝดคนละฝา จะมีความแตกต่าง แตกต่างคือแตกแยก มนุษย์จึงรวมกันไม่ได้ แล้วทำไมมนุษย์จึงรวมกันไม่ได้

            เชื่อไหมจ๊ะ พระเดชพระคุณหลวงปู่ตอบได้ เพราะท่านเข้าไปค้นถึงต้นเหตุ เหตุมันมาอย่างไร ในที่สุดก็ค้นพบว่า มีแต่บุญกับบาปเท่านั้นที่สู้กันอยู่ ปะทะกันอยู่ แต่เดิมมนุษย์ไม่ได้เป็นสภาพอย่างนี้ มีสภาพดีกว่านี้เยอะแยะ แต่มันเสื่อมมันแตกต่างเรื่อย ๆ กันมาเลย ท่านค้นเข้าไปเจอตรงนั้น จนกระทั่งรู้วิธีที่จะหลุดพ้นจากตรงนี้ไปได้ ในเส้นทาง มรรคผลนิพพาน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงบรรลุ

            เพราะฉะนั้นการมาวันนี้ เป็นการมาดีแล้วนะลูกนะ ที่เราได้มาบูชาครูผู้ ค้นพบวิชชาธรรมกาย คือพระเดชพระคุณหลวงปู่ และสืบสายวิชชาธรรมกาย ไปถึงผู้ที่ต้นคิดวิชชาธรรมกาย นี้ให้บังเกิดขึ้น ซึ่งสักวันหนึ่งเมื่อเราหยุดนิ่งได้ถูกส่วน ได้เข้าถึงธรรมแล้ว ความเข้าใจของเราก็จะค่อย ๆ มากเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เราก็จะยิ่งมีความซาบซึ้ง และเคารพบูชาพระเดช พระคุณหลวงปู่มากขึ้นไปเรื่อย ๆ 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล