ฉบับที่ ๓๖ ประจำเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๘

" สัมพันธ์ เสริมชีพ " บุรุษในแวดวง สว. ที่กระทำ ..เพื่อแผ่นดิน

 

           จากความผันผวนทางการเมืองของแผ่นดิน จึงทำให้เกิดการเลือกตั้ง สมาชิกวุฒิสภาขึ้นเมื่อ ๕ ปีที่ผ่านมา หรือเรียกสั้นๆ ว่า เลือก สว. เพื่อให้มาทำหน้าที่เป็นสภาพี่เลี้ยงของรัฐบาล ในการช่วยกลั่นกรองกฎหมาย ตรวจสอบ และให้คำปรึกษาการดำเนินงาน ของรัฐบาลเพื่อให้มีประสิทธิภาพ การทำงานที่สมบูรณ์ขึ้น

           แต่ในวันนี้เราไม่ได้มาสัมภาษณ์ สส. หรือ สว. แต่เรากำลังมาเจาะลึกข้อมูลบางอย่าง ที่หลายคนรู้ได้ยาก แต่น่าสนใจ จากบุรุษผู้หนึ่ง..ผู้คร่ำหวอดอยู่ ในแวดวง สว.!!

           ความเป็นบุคคลธรรมดาๆ ของเขาอาจทำให้หลายคนไม่รู้จัก แต่หากได้พูดคุยกับเขาแล้วจะพบว่า เขาเป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม ประกอบกับนำ ความรู้ความสามารถ ที่ตัวเองมีมาแสดงสปิริตเพื่อชาติ ขุมพลังที่โดดเด่นเช่นนี้เอง ที่สาดประกาย จนหลายคนต้องจับตามอง จนทำให้บุรุษผู้นี้ปรากฏแวบ เข้ามาในห้วงคำนึง กระทั่งทำให้ทีมงานเราอดใจไม่ได้ ถึงกับต้องแสวงหาเบอร์โทรศัพท์ เพื่อขอนัดหมาย และวันรุ่งขึ้นได้ขับรถฝ่าพายุตั้งแต่ ๖.๔๕ น. มุ่งตรงไปยังรัฐสภา ทำการแลกบัตรสื่อมวลชนมากลัดที่เสื้อ ผ่านด่านการตรวจกระเป๋า เพื่อค้นอาวุธต้องห้าม เข้าเยี่ยมชมบรรยากาศ การทำงานของเขาผู้นี้

           และเพื่อให้เข้าใจมากขึ้นว่า เขาทำอะไร อย่างไร เพื่อใครเราจึงขออนุญาต เข้าสังเกตการณ์ในวงประชุม คณะอนุกรรมาธิการปราบปราม ผู้มีอิทธิพลฯของเช้าวันนั้นเอง...

           คำต่อคำในที่ประชุมเข้มข้น ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ และเราก็พบว่า การทำงานของเขาทลายปม ความไม่ชอบธรรมอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และสามารถอธิบายแนวคิดหลัก ได้ตรงประเด็นในฐานะ นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ ด้านกฎหมาย ซึ่งเขาผู้นี้ จะเป็นใครอื่น ไปไม่ได้นอกเสียจากคุณสัมพันธ์ เสริมชีพ

           " นี่เป็นงานส่วนหนึ่งที่ผมทำ ในแต่ละวันบางทีมีประชุมหลายคณะ เพราะผมรับผิดชอบหลายตำแหน่ง เช่นนักวิชาการประจำ คณะกรรมาธิการการปกครองวุฒิสภา ก็ต้องทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ด้านกฎหมายของคณะสว.ในคณะกรรมาธิการ และเลขานุการ คณะอนุกรรมาธิการฯ อีกหลายคณะ

           ตั้งแต่ผมมาทำงานที่รัฐสภา ๕ ปีกว่านี้ มีเรื่องร้องเรียนเพื่อขอความ เป็นธรรมมาให้ตรวจสอบ และแก้ไขให้ประมาณเกือบ๑.๐๐๐ เรื่องแล้ว บางทีก็ต้องบินไปตรวจสอบ เจาะข้อมูลในพื้นที่จริง จากชาวบ้าน ถ้าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม เราก็มีขบวนการ ทางรัฐธรรมนูญจัดการ และก็ติดตามผลอีกที อย่างเรื่องที่กำลัง ดำเนินงานอยู่ ก็เช่นการย้ายคลังเก็บน้ำมัน ใจกลางเมืองไปอยู่ในเขตที่ปลอดภัย

           จากดีกรีการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่ใช้เวลาเรียนแค่ ๓ ปีครึ่ง ต่อด้วยเนติบัณฑิตไทย และไปศึกษาต่อเฉพาะทางจาก สถาบันวิชาชีพกฎหมายชั้นสูง(รุ่น ๑) สภาทนายความ และหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูง การบริหารงานภาครัฐและกฎหมายมหาชน(รุ่น ๑) ของสถาบันพระปกเกล้า ทำให้เขาสามารถดำรงตำแหน่งหลายตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ คณะกรรมาธิการการศึกษา ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมวุฒิสภา ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์คณะกรรมาธิการ การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนวุฒิสภา เป็นเลขานุการ คณะอนุกรรมาธิการ ติดตามและตรวจสอบ นโยบายปราบปราม ผู้มีอิทธิพลของรัฐบาล หรือเป็นที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ ติดตามและตรวจสอบการปฏิบัติงาน ของตำรวจ และประกาศนียบัตรอีกมากมาย เป็นปึก ที่เรากำลังถืออยู่ในมือ..!!

           จากศักยภาพ และผลงานอันเป็นที่ประจักษ์ยอมรับ อย่างโดดเด่น ทำให้เขาก้าวมา ยืนตระหง่านอยู่ในหน้าที่ ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้หลักผู้ใหญ่ ในคณะสว.และเพื่อนร่วมงาน

           ความตั้งใจจริงในการทำงาน โดยมีอุดมการณ์ที่เสียสละ เพื่อชาติอย่างเด่นชัด จึงทำให้เขาได้รับพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎไทย ชั้นที่ ๕ เบญจมาภรณ์ ในปีพ.ศ.๒๕๔๔ และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือก ชั้นที่ ๕ เบญจมาภรณ์ ในปีพ.ศ.๒๕๔๗

           " ตลอดเวลาที่คลุกคลีอยู่ในวงการกฎหมาย เคยทำงานในพรรคการเมือง เป็นทนายความทำคดีใหญ่ๆ กระทั่งเคยทำงานกับอดีตท่านประธานสภา จากประสบการณ์หลายอย่าง ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตด้านการเมือง ผมขอบอกตรงๆ ว่า มันเหนื่อยมากกว่าการทำธุรกิจหลายเท่า เงินก็ได้ไม่คุ้มเลย สู้การทำธุรกิจไม่ได้ แต่ทุกวันเวลาของชีวิต ผมมีความเชื่อมั่นลึกๆ ว่า หากผมมีโอกาสและชีวิตยืนยาวพอ ผมอยากเห็นประเทศไทยเจริญ ในขณะที่ผมมีชีวิตอยู่ และหากมีโอกาสผมก็จะก้าวเข้าไป ทำในสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นทันที

           เพราะเมืองไทยมีอะไรดีๆ เยอะมาก มีความอุดมสมบูรณ์ พร้อมที่จะเป็นปิ่นนานาประเทศ แต่เมืองไทยขาดคนบริหาร ขาดผู้นำในการชี้นำสังคมว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร เช่นหากผู้นำของประเทศไปชี้ว่าเหล้าดี เป็นการทำให้เศรษฐกิจกระเตื้อง ให้เอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ดีกว่า เท่ากับเป็นการยอมรับว่าเหล้าดี และเมื่อเข้าไปแล้วเกิดการมอมเมาเยาวชนเพิ่มมากขึ้น

           สร้างค่านิยมและสร้างปัญหาเยาวชนให้เกิดขึ้น ทำปัญหาด้านครอบครัวต่างๆ ก็ตามมาอีกมากมาย ต่อไปแสงแห่งอนาคต ของประเทศคงต้องหรี่ลงจนมืด แต่ถ้าเราหันมาจับจุดที่เข้มแข็ง ของประเทศและพัฒนาสิ่งนั้นให้ก้าวสู่ระดับสูงสุดของโลก จนคนทั่วโลกต้องหันมาสนใจประเทศไทย เช่นสมมุติว่าผู้นำประเทศตั้งโจทย์ว่า ทำอย่างไรก็ได้ให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางทาง ศาสนาพุทธที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด เป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาของโลก เหมือนวาติกัน หรือนครเมกกะ ที่ชาวโลกทุกสาระทิศต่างหลั่งไหลกันมา ต่างมาศึกษาขนบธรรมเนียม อารยธรรมที่ไม่มีวันตาย ทำให้มีเงินหลั่งไหล เข้าประเทศเป็นจำนวนมหาศาล

           และหากประเทศไทยถูกพัฒนา เป็นเมืองพุทธแห่งโลกจริงๆ ประชาชนหันมารักษาศีล ๕ กันมากขึ้น ต่อไปประเทศไทยก็จะปลอดขโมย ปลอดอบายมุข เป็นประเทศมีชื่อเสียง ในด้านการเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูง ประชาชนอบอุ่นยิ้มแย้ม เกื้อกูลกัน ก็จะทำให้นักท่องเที่ยวก็อยากจะมา ผมเชื่อว่าคนไทย เราทุกคนคง ไม่ปรารถนา ให้คนทั่วโลก อยากมาเมืองไทยเพราะเป็น เมืองแห่งโสเภณี และขี้เมาใช่ไหมครับ

           หากเราทำได้อย่างนี้ ประเทศไทย ก็จะทยอยดีขึ้น ทั้งระบบไม่ว่า จะเป็นด้านศีลธรรม เศรษฐกิจ และการเมืองก็จะถูกดึงขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ

           ความคิดดีๆ ของบุรุษผู้ อยู่ในแวดวง สว.คนนี้ เราก็หวังเป็นอย่างยิ่ง เช่นกันที่อยากจะเห็น อยากจะให้เมืองไทยของเรามีสิ่งดีๆเกิดขึ้นในยุคของเรา เกิดขึ้นในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราขอยกย่อง การกระทำเพื่อแผ่นดินของเขาด้วยความจริงใจ...

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล