ฉบับที่ 57 กรกฏาคม ปี 2550

สัมภาษณ์พิเศษ : life style ของนักสร้างบารมีคืออะไร

สัมภาษณ์พิเศษ
เรื่อง : ร.ลิ่วเฉลิมวงศ์ e-mail: [email protected] ภาพ : สมชาย สิงห์ทอง

 

 

       ต่อให้เป็นนักอ่านที่สามารถอ่านทุกอย่างจนหมด สั่งสมทุกศาสตร์ไว้ในสมองก็ไม่วิเศษเท่ากับการเรียนรู้ศาสตร์ที่สำคัญที่สุดเพียงศาสตร์เดียว แล้วหลอมศาสตร์
นั้นเข้ากับวิถีชีวิต จนบันดาลความสำเร็จให้เกิดกับชีวิตอย่างท่วมท้น

 

     ด้วย Concept นี้ ทีมงานมุ่งเดินทางมาถึงจังหวัดตราด ยอมฝ่าถนนในฤดูกาลที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำ ก็เพื่อพบกับคนๆ หนึ่งที่ได้นำเอาสมาธิหลอมเข้ากับการใช้ชีวิตอย่างจริงจัง จนเกิดพลังบางอย่าง ที่สามารถขับเคลื่อนให้ชีวิตประสบความสำเร็จ

       ในที่นี้...เราคงไม่บอกว่าเธอฝึกสมาธิถึงขั้นไหน ประสบการณ์ภายในเป็นอย่างไร แต่เราจะมาพูดในแง่ที่เธอมีข้อคิดที่ดีสามารถนำสมาธิมาเป็น Life style ของนักสร้างบารมีได้อย่างน่านำมาเป็นแบบอย่าง

       พนิดา ฉุนพ่วง หัวหน้าสำนักงานพัฒนาธุรกิจ การค้า จังหวัดตราด เธอเป็นข้าราชการระดับสูง เป็นหัวหน้าส่วนราชการสังกัดกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ที่สร้างผลงานให้ทุกๆ จังหวัด ที่เธอย้ายไป ดำรงตำแหน่งที่นั่น
       ด้วยหน้าที่โดยตรงที่เธอต้องเป็นผู้ส่งเสริม ธุรกิจ ดำเนินการให้นักธุรกิจจดทะเบียนก่อตั้งเป็นบริษัท เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดตลอดจนให้คำปรึกษา ต้องออกบรรยายให้ความรู้ เป็นอาจารย์พิเศษให้กับนักศึกษา และเป็นวิทยากรทางด้านการขายสินค้า ส่งเสริมการขาย สอนกลยุทธและเทคนิคในการจำหน่ายสินค้า ฯลฯ จากการที่ต้องออกโทรทัศน์์ และวิทยุกระจายเสียงของจังหวัดบ่อยๆ ทำให้ในวงการพ่อค้า แม่ค้า รวมถึงนักธุรกิจระดับจังหวัด ต่าง รู้ จัก เธอ..!!

       "ชีวิตเริ่มต้นจากการเป็นข้าราชการตัวเล็กๆ ที่ยึดมั่นความไม่โกงไม่กินมาตลอด เพราะเชื่อในเรื่อง กฎแห่งกรรมอีกทั้งได้เข้าวัดพระธรรมกายตั้งแต่ อยู่ในยุคต้นๆ ทำให้เรามีหลักที่ได้จากคำสอนของ หลวงพ่อและคุณยายอาจารย์ที่ท่านสอนให้เรามีธรรมะสอนให้เราทำบุญเป็น และที่สำคัญในเรื่องของธรรมปฏิบัติแล้ว ท่านเน้นย้ำมากกว่าทุกเรื่องในชีวิต จนเราเกิดแรงบันดาลใจในการปฏิบัติและได้ปฏิบัติมาตลอดอย่างต่อเนื่องในชีวิตการสร้างบารมี กว่า ๒๙ ปี

 

 

      ...สิ่งหนึ่งที่เราเองจะทำเป็นประจำสม่ำเสมอไม่ขาดเลย คือ การนั่งสมาธิและทั้งวันไม่ว่าจะทำภารกิจอะไร ใจก็จะมีสมาธิไปด้วยตลอดเวลา เพราะการทำอย่างนี้ นอกจากจะเป็นการทำให้สมาธิก้าวหน้าแล้ว ยังทำให้ความคิดเราเป็นระบบระเบียบ มองอะไรได้กว้าง ได้ไกลได้ลึก กว่าปกติ

 

 

      ช่วงที่เข้าวัด ก็จะมีเพื่อนๆ ชวนกันมาเป็นกลุ่ม ประมาณ ๖-๗ คน สุดท้ายแต่ละคนก็ติดภาระ ดูแลพ่อแม่บ้างเรียนบ้าง ทำให้เขาห่างวัดไป แต่พอ ๕ ปีผ่านไป พบว่าเพื่อนและเราต่างกันมาก คือ เรามีทุกอย่างครบในขณะที่เพื่อนยังไม่มี ทุกอย่างในชีวิตเราได้มาด้วยบุญชีวิตได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆเพียงแต่เราตั้งใจทำบุญให้จริง ทำให้ถูกวิธีและทำให้ถึงขั้นที่จะได้ เราจะได้ทุกอย่างด้วยบุญในตัวของเราเอง

        บนหนทางการสร้างบารมี บางคนเจออุปสรรค เจอภาระหน้าที่ พบความผิดพลาด แต่ยังคงเจริญก้าวหน้าบนเส้นทางสายนี้ต่อไปได้ ในขณะที่บางคน กลับเหินห่างหนทางการสร้างบารมีไป อะไร คือ จุดสำคัญที่ทำให้เขาแตกต่างกัน..!!

        "เมื่อมาวัดแล้ว ถ้าเราไม่เอาแก่นของวัด แก่น ของคำสอนจริงๆ ไป เราก็ไม่ได้อะไรมากเท่าที่ควร แล้วสุดท้ายเมื่อเรามาวัด ถึงจุดๆ หนึ่ง เราจะตอบตัวเองไม่ได้ว่า เรามาวัดนี้แล้วได้อะไร ชีวิตเราดีขึ้นอย่างไร และในที่สุดเราก็หลุดจากการสร้างบารมี ไปอย่างน่าเสียดาย

        ดังนั้น ..สิ่งหนึ่งที่เราเองจะทำเป็นประจำสม่ำเสมอไม่ขาดเลย คือ การนั่งสมาธิ และทั้งวันไม่ว่าจะทำภารกิจอะไรใจก็จะมีสมาธิไปด้วยตลอด เวลา เพราะการทำอย่างนี้ นอกจากจะเป็นการทำให้สมาธิก้าวหน้าแล้ว ยังทำให้ความคิดเราเป็นระบบระเบียบ มองอะไรได้กว้าง ได้ไกล ได้ลึก กว่าปกติ เห็นอะไรได้ชัด ได้รอบทิศขึ้น ชีวิตคนเราทุกวันนี้มีแต่ความสับสนเหมือนกับการที่เราไปยืนอยู่ที่ ๔ แยก ถ้าเรายืนอยู่มุมใดมุมหนึ่งของสี่แยก เราจะมองเห็นเพียงแค่ ๓ มุมเท่านั้นแต่การนั่งสมาธิเปรียบเสมือนเราไปยืนอยู่กลาง ๔ แยก ทำให้เรามองเห็น ได้รอบทิศ เราจะสามารถเห็นหนทางข้างหลังที่เราไม่เคยคิดที่จะมอง ซึ่งทางนั้นอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับชีวิต ทำให้เราเดินออกจากปัญหาได้

       "ด้วยจิตที่เป็นสมาธิทำให้เราทำอะไรสำเร็จได้อย่างง่ายๆ แม้เรื่องนั้นจะเป็นเรื่องยากที่คนทั่วไปคาดไม่ถึงว่าเราจะทำได้ เพราะการที่เราวางใจอยุ่ที่ศูนย์กลางกายใจจะมีพลังมีความปีติชุ่มเย็น เมื่อสภาพใจเป็นอย่างนี้เราก็จะคิดดี พูดดี ทำดี เมื่อกายวาจา ใจเราดี สิ่งดีๆ ก็เข้ามาสู่ตัว"

 

 

             เราสามารถทำบุญได้อย่างเต็มกำลังโดยที่เราไม่เดือดร้อน และเมื่อทำแล้วใจต้องปีติในบุญตลอดเวลาบุญส่งผล เราก็จะได้พบสิ่งที่ดีเสมอ 

    ด้วยจิตที่เป็นสมาธิทำให้เราทำอะไรสำเร็จได้อย่างง่ายๆ แม้เรื่องนั้นจะเป็นเรื่องยากที่คนทั่วไปคาดไม่ถึงว่าเราจะทำได้เพราะการที่เราวางใจอยู่ที่ศูนย์กลางกาย ใจจะมีพลัง มีความปกติชุ่มเย็นเมื่อสภาพใจเป็นอย่างนี้ เราก็จะคิดดี พูดดี ทำดีเมื่อกาย วาจา ใจ เราดี สิ่งดีๆ ก็เข้ามาสู่ตัว เพราะใจเราจะมีอายตนะไปดึงดูดคนที่มีอายตนะเดียวกันมาทำให้เราเจอคนที่คิดดีพูดดี ทำดี เช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเรื่องจริงที่ได้พบกับตัวเอง อย่างในช่วงที่ได้ย้ายไปอยู่ที่จังหวัดปราจีนบุรี ก็นึกในใจเฉยๆ นะว่าอยากได้ที่สักแห่งหนึ่งมาถวายหลวงพ่อเพื่อท่านจะได้สร้างสถานที่ปฏิบัติธรรม ก็คุย กับน้องคนหนึ่งที่รู้จักกัน บอกเขาว่า "พี่อยากได้ที่ดินทำที่ปฏิบัติธรรม" น้องก็บอกว่า "ไปขอพ่อผมสิ เขา เตรียมที่ไว้แล้วแต่เลือกคนให้ ถ้าพี่ไปต้องได้แน่เลย"เราก็ไปคุยกับคุณพ่อเขาคุยเสร็จก็พากันไปดูที่และตกลงยกให้เฉยๆ โดยไม่ได้คิดเงินเลยอันเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างธุดงคสถานเขาแก้วเสด็จ ปัจจุบันมีผู้สนใจมาปฏิบัติธรรมกันมาก สถานที่ไม่พอ ที่จะรองรับผู้มีบุญ จึงได้มีการบอกบุญเพื่อขยายพื้นที่ เพิ่มขึ้น และอีกหลายๆ ที่ เช่น ธุดงคสถานปราจีนบุรี ฯลฯ ที่เพียงนึกอยากได้ที่ปฏิบัติธรรม เจ้าของก็ยินดีจะยกให้โดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งก็น่าแปลกใจที่มีคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อนยกที่ดินให้เป็นร้อยไร่เช่นนี้ โดยไม่ต้องการผลตอบแทน

       ในฐานะที่มีอาชีพรับราชการ ซึ่งเป็นอาชีพที่มีเงินเดือนไม่มากนัก เธอมีวิธีการบริหารเงินอย่างไร จึงสามารถทำบุญได้อย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่เดือดร้อน

       " ในสมัยที่รับราชการใหม่ๆ มีเงินทำบุญครั้งละสิบบาท แต่ทำบ่อยๆ หลายๆ ครั้งเวลาทำบุญก็ตั้งใจทำอย่างเต็มกำลังซึ่งคำว่าเต็มกำลังของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เช่น เขามีเงิน ๑๐๐ บาททำบุญเต็มกำลังของเขา คือ ๒๕ บาทเพราะเขามีลูกมีพ่อแม่ต้องเลี้ยงดู แต่อีกคนหนึ่งมีเงิน ๑๐๐ บาทเท่ากัน แต่ทำบุญเต็มกำลังของเขาสามารถทำได้มากถึง ๕๐ บาท เพราะเขาไม่มี พ่อแม่ต้องเลี้ยงดู ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะตรงตามหลักที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทรงสอนให้เราแบ่งเงินเป็น ๔ ส่วน ๑. ใช้เลี้ยงตนเลี้ยงครอบครัว ๒. ใช้ทำบุญ ๓. ใช้เป็นทุนประกอบการงาน ๔. ใช้เป็น หลักประกันยามจำเป็น ซึ่งหากส่วนไหนเราไม่ได้มีภาระจำเป็นต้องใช้ เราก็เอา ส่วนนี้เพิ่มรวมกับงบทำบุญ นั่นก็หมายถึงเราสามารถทำบุญได้อย่างเต็มกำลังโดยที่เราไม่เดือดร้อน และเมื่อทำแล้วใจต้องปีติ ในบุญตลอด เวลาบุญส่งผล เราก็จะได้พบ สิ่งที่ดีเสมอ

     ใจที่เป็นกุศลเวลานึกอยากได้อะไรที่ เป็นบุญก็จะได้ทันที มีครั้งหนึ่งได้ทราบว่า ที่วัดจะสร้างเสาสภาธรรมกายเราอยากทำมากๆ ก็เขียนใสกระดาษที่เรียกว่าใบปวารณา (กราบเรียน หลวงพ่อที่เคารพอย่างสูงลูกขอถวายเงินหนึ่งแสนบาทสร้างเสาสภาธรรมกาย) แล้วนำไปถวายหลวงพ่อ ตอนนั้นยังไม่รู้จักเลยว่าเงินแสนเป็นอย่างไร ก็คิดนะว่าจะเอาเงินหนึ่งแสนมาจากไหนคิดในใจเฉยๆ แต่น่าแปลกมากมีเพื่อนมาถามว่า มีเงิน ๒๐,๐๐๐ บาทไหม จะเอาไปลงทุนให้ ก็ให้เงินเพื่อนไป ๒๐,๐๐๐ บาทผ่านไปไม่กี่วันได้กลับมาเป็นแสน ดีใจมากเรามีเงินทำบุญตามที่ตั้งใจไว้ นี่แหละที่เขาเรียกว่าเส้นทางบุญ ทำให้เราได้พบคนที่จะช่วยให้เราทำบุญ ได้สำเร็จตามที่เราปรารถนา

        เพราะความที่เธอเชื่อมั่นว่า การทำสมาธิเป็นสิ่งที่ดี และได้รับผลดีจากการทำสมาธิด้วยตนเองมาโดยตลอด เธอจึงแนะนำให้คนรอบข้างได้รู้จักการ ทำสมาธิ

        "การนั่งสมาธิมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ที่ปฏิบัติ เพราะการนั่งสมาธิคือการพักผ่อนที่ดีที่สุด เคยได้รับเชิญให้ไปอบรมเด็กนักเรียนก่อนจะอบรมจะให้นั่งสมาธิ ๑๐ นาที ทำให้พบว่าเด็กที่เคยซุกซนจะเรียบร้อยขึ้น ตั้งใจฟังและมีความจำที่ดี ซึ่งถ้าเด็กเหล่านี้ได้นั่งสมาธิทุกๆ วัน ก็จะทำให้เรียนเก่งขึ้น ซึ่งได้ทดลองให้หลานและเพื่อนๆ ของหลานนั่งสมาธิ ก็ประสบความสำเร็จ ผลการเรียนดีขึ้นอย่าง เห็นได้ชัด 

        สำหรับนักธุรกิจก็เหมือนกัน ก่อนอบรมก็จะแนะวิธีการนั่งสมาธิก่อน เพื่อใจจะได้หยุดได้นิ่ง ก็มีคนมาขอบคุณว่าที่เราแนะนำให้นั่งสมาธินั้นดีมาก ขายของดีขึ้น  เพราะเมื่อจิตใจผ่องใส เห็นผู้ใดมาซื้อของก็จะยิ้ม ทักทายด้วยวาจาที่ไพเราะ ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงเห็นได้ว่าการนั่งสมาธินั้นเป็นทางมาแห่งโภคทรัพย์สมบัติ หากเพียง ทุกคนนั่งสมาธิเหมือนๆ กันหมดทุกคนก็จะพบกับความสุข สงบ ร่มเย็น เช่นเดียวกัน

      จากการที่สมาธิได้เข้ามาเป็นทั้งหมดของชีวิต ของเธอผู้นี้ สมาธิก็ได้นำความสำเร็จมาสู่ชีวิตเธอใน แทบทุกด้านไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าที่การงาน ชีวิตครอบครัว และชีวิตการสร้างบารมีที่เปี่ยมล้นไปด้วย ความสุขเช่นนี้

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล