ฉบับที่ 88 กุมภาพันธ์ ปี2553

ไทยมหารัฐ

ทันโลก ทันธรรม

เรื่อง : พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ (M.D., Ph.D.)
จากรายการทันโลก ทันธรรม ออกอากาศทางช่อง DMC

 






 

       ไทยมหารัฐ ดูหัวเรื่องแล้วเหมือนกับว่าประเทศไทย จะไปเป็นมหาอำนาจแข่งกับมหาอำนาจ ยักษ์ใหญ่ของโลกกันเลยทีเดียว ลองมาดูกันว่ามีความเป็นไปได้ไหม และควรจะเป็นในทิศทางใด ก่อนอื่นลองมองย้อนอดีตดูจะพบว่า เราเคยเจอ วิกฤตใหญ่ ๆ มาหลายครั้ง เช่น ในช่วง ไอ.เอ็ม.เอฟ. พ.ศ. ๒๕๔๐ เกิดวิกฤตการณ์ที่เขาเรียกว่า Tom Yam Kung Disease คือ ฟองสบู่ทางการเงินแตก ซึ่งถ้า เป็นประเทศอื่น ๆ เช่น ประเทศในอเมริกาใต้ ในแอฟริกา เมื่อไรที่เกิดผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจแรง ๆ ก็มักจะเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายทางด้านสังคมตามมาด้วย แต่ประเทศไทยของเรากลับผ่านไปได้ค่อนข้างราบรื่น และฟื้นตัวได้เร็วพอสมควร เป็น เพราะคนไทยมีคุณลักษณะพิเศษซึ่งเกิดจากคำสอน ในพระพุทธศาสนา คือ เข้าใจในเรื่องกฎแห่งกรรม เวลาเกิดเหตุอะไรขึ้นเราจะไม่ตีโพยตีพายจนเกินไป แต่มองว่าทั้งหมดเกิดจากผลแห่งการกระทำของเรา ที่ผ่านมาในอดีต จากนี้ไปเราจะเอาเรื่องนั้นเป็นบทเรียนแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น สิ่งนี้เองที่ช่วยให้สังคมเกิดความสงบสุขได้ ขณะเดียวกันเราก็ ค่อนข้างจะเป็นคนมีน้ำใจ เห็นใครลำบากก็สงสาร อยากช่วย ทำให้สังคมโดยรวมพอจะประคับประคอง กันไปได้ แล้วเราก็โชคดีที่ทรัพยากรธรรมชาติ ค่อนข้างจะเอื้ออำนวย ลำบากอย่างไรก็ไม่ถึงขนาด อดตาย เพราะฉะนั้นโดยภาพรวมเราจึงพอที่จะประคับประคองตัวกันมาได้ และฟื้นตัวค่อนข้างเร็ว พอสมควร แม้ในช่วงที่ผ่านมาจะเกิดวิกฤตการณ์ทาง การเมืองแทรกซ้อนขึ้นมาด้วยก็ตาม

         เงื่อนไขที่สำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยก้าวหน้าต่อไปเป็นไทยมหารัฐจริง ๆ ก็คือ ผู้นำหรือ รัฐบาลที่บริหารประเทศ ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่า หมู่สัตว์ทั้งหลายจะเป็นไปตามผู้นำ ถ้า ผู้นำนำไปดี ก็จะพากันไปดีหมด แต่ถ้าพาไปผิดทาง ก็จะพากันตกเหวจมน้ำตายกันหมด อย่างเช่นฝูงวัว ถ้าจะข้ามแม่น้ำเวลาน้ำหลาก ถ้าจ่าฝูงฉลาดว่าย ทวนน้ำไปเล็กน้อย เมื่อบวกกับกระแสน้ำที่พัดมาก็จะข้ามฝั่งได้ตรงจุดพอดี ในระยะทางที่สั้นที่สุด แต่ ถ้าจ่าฝูงตัวไหนไม่ฉลาดว่ายตัดไปตรง ๆ ดูเผิน ๆ เหมือนเป็นทางที่สั้นที่สุด แต่พอเจอกระแสน้ำพัดไป จะกลายเป็นทางที่ยาวที่สุด ผลคือถ้าแม่น้ำกว้าง ว่ายไปไม่ไหวสุดท้ายเลยพากันจมน้ำตายทั้งฝูงเลยก็มี

         ประเทศก็เช่นเดียวกัน ทิศทางจะไปอย่างไร จริง ๆ แล้วมีองค์ประกอบอยู่ ๒ ส่วน หนึ่งคือ ผู้นำ หรือรัฐบาล อีกส่วนคือประชาชน แต่จุดที่ควรเน้น คือ ผู้บริหารประเทศต้องมีความสามารถ 

         ความสามารถที่ว่านี้หมายถึง
         ๑. ตาถึง มีวิสัยทัศน์
         ๒. มือถึง สามารถเอาวิสัยทัศน์ที่ตาถึงมาทำให้เกิดขึ้นได้จริง
         ๓. ใจถึง นอกจากตาถึง มือถึง ต้องใจถึงด้วย

         ตาถึง ก็คือมีวิสัยทัศน์ มองออกว่าทิศทาง แนวโน้มของโลกกำลังเป็นไปในทิศทางใด จุดอ่อนจุดแข็งในประเทศคืออะไร ควรที่จะพัฒนาไปในทิศทางใด ถ้ามีสถานการณ์ใด ๆ เกิดขึ้นในโลก ก็มองออกว่าจะเกิดภัยลามมาถึงประเทศของตนหรือเปล่า จะต้องรีบป้องกันแก้ไขอย่างไร เห็นจุดยืนของ ประเทศในท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลก

         มือถึง บางคนตาถึงแต่มือไม่ถึง ยกตัวอย่างเรื่องที่มีการพูดกันว่า ประเทศไทยควรจะต้องเป็นศูนย์กลางทางด้านการรักษาพยาบาล ซึ่งเป็นแนวโน้ม ของโลกที่ผู‰คนหันมาสนใจเรื่องสุขภาพของตนเองกัน มากขึ้น บ้านเรามีหมอที่มีฝีมือ ผู้คนมีอัธยาศัยไมตรี กระแสเรื่องโรงพยาบาลของเราเริ่มตื่นตัวขึ้น ผู้คนทั้งตะวันออกกลาง เอเชีย ยุโรป อเมริกา ยังเดินทาง มารักษาที่เมืองไทย เพราะค่าใช้จ่ายถูก ฝีมือดี หรือ เรื่องที่ประเทศเราควรจะเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว ซึ่งสอดคล้องกับการที่คนไทยมีอัธยาศัยไมตรี ใครมา เที่ยวแล้วก็อยากจะมาอีก อีกเรื่องคือที่พูดกันว่า เรา ควรเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของโลก เนื่องจากทิศทางอาหารกำลังแพงขึ้น เพราะว่าน้ำมันขึ้นราคา พื้นที่ในการ เพาะปลูกก็น้อยลง ถ้าเราเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของโลกก็น่า จะดี สอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศและพื้นที่ของ เราด้วย เรื่องนี้มีการกล่าวถึงกันมาก

         ที่จริงเรื่องพวกนี้รัฐบาลก็คงจะรู้เหมือนกัน แต่สำคัญที่ว่าเมื่อเห็นอย่างนั้นแล้ว จะทำให้สิ่งที่เห็น เป็นจริงขึ้นมาได้อย่างไร ก็จะต้องมือถึง มิฉะนั้นก็จะ เป็นแค่ความคิดเลื่อนลอย ไม่ได้เกิดผลอะไรจริง ๆ ขึ้นมา ทุกอย่างจะเป็นจริงได้ต้องมือถึงในการผลักดัน ให้เกิดขึ้น ต้องดูว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นมาได้จะต้องอาศัย อะไรบ้าง เช่น ต้องสัมพันธ์กับชาวบ้าน ประชาชน และผู้ที่ทำธุรกิจในด้านนั้น ๆ รัฐจะต้องกำหนดระเบียบกติกาอย่างไรที่จะเอื้อให้สิ่งที่วาดหวังไว้ เป็นจริงขึ้นมา จะต้องประสานความร่วมมืออย่างไร ให้ทุกคนมีโอกาสในการเข้าถึงข้อมูล ความรู้ และแหล่งทุน จะปรับกติกากฎระเบียบอย่างไรให้รวดเร็ว ทันต่อการเปลี่ยนแปลง เพราะรัฐมีเครื่องไม้เครื่องมือ และความพร้อมมากกว่าเอกชน และมีอำนาจในการ ออกกฎระเบียบ วางกรอบทิศทาง ในกรณีที่เอกชนหลาย ๆ ฝ่ายเข้ามาร่วมกัน รัฐก็ควรเอาอำนาจและ ความสามารถที่มีทำหน้าที่ประสานความร่วมมือ แล้ว ผลักดันให้สิ่งที่หวังเกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว อย่างนี้ จึงจะสอดคล้องกับคำว่า มือถึง

         ทั้ง ๓ ข้อต้องเกี่ยวโยงกันหมด ตาถึงก็ต้องมือถึง มือถึงก็ต้องใจถึงด้วย ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลง ประเทศไปสู่สิ่งที่ดีกว่ารัฐบาลจะต้องใจถึง และต้อง ฟังทุกคำท้วงติงด้วยความใส่ใจ พินิจพิเคราะห์เอามา ประกอบในการวางนโยบายในการดำเนินงานให้สุขุม รัดกุมยิ่งขึ้น ไม่หวั่นกลัวคำวิพากษ์วิจารณ์จนไม่กล้า ทำอะไรเลย ถ้าเป็นอย่างนั้นประเทศก็จะย่ำอยู่กับที่ เรื่องใจถึงนี้ก็ต้องมีวิธีการ ไม่ได้ใจถึงแบบบ้าบิ่น จะปรับเปลี่ยนอะไรขึ้นมาในสังคม แรงเสียดทานแรงต้านย่อมมีเสมอ ผู้ที่จะนำการเปลี่ยนแปลงต้อง มีความอดทนและใจถึง อุปสรรคเกิดขึ้นก็ไม่หวั่นไหว เดินหน้าต่อไปทีละก้าว ๆ ด้วยความสุขุมรอบคอบ ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นในที่สุด ซึ่งจะเป็นอย่างนั้นได้การเมืองจะต้องมีเสถียรภาพด้วย เพราะฉะนั้น ทั้งผู้บริหารประเทศและประชาชนจะต้องร่วมมือกัน

         ในตอนต้นได้กล่าวเอาไว้ว่าคนไทยเรามีข้อดี มาก แต่ก็มีบางอย่างที่ต้องปรับ อย่างที่เรามักจะพูดกันอยู่บ่อย ๆ ว่า ถ้าตัวต่อตัวละก็คนไทยไม่แพ้ ชาติใดในโลก เรียนหนังสือก็สู้เขาได้ ชกมวยก็พอสู้ เขาได้ แต่ถ้าเมื่อไรเป็นทีมขึ้นมาเรามักจะทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไร เพราะคนไทยมักเก่งเดี่ยว ๆ เวลาเห็น คนลำบากเราสงสารเขา แต่พอเขาได้ดีเกินหน้าเราบางทีชักจะหมั่นไส้ ซึ่งคำว่าหมั่นไส้ไม่มีในภาษาอังกฤษ มีเฉพาะในภาษาไทย ฝรั่งไม่เข้าใจเวลาเรา พูดคำว่าหมั่นไส้ ฝรั่งมีแต่ว่าเวลาใครทำดี ประสบความสำเร็จ เขาจะชื่นชมยกย่อง คนไทยก็ชื่นชมแต่ถ้าเขามีท่าทางที่ภูมิใจตัวเองมากไปนิดเดียว เรา จะเกิดอาการหมั่นไส้ตามมา แล้วก็ไม่อยากสนับสนุน เขา เลยกลายเป็นการดึงขากันเอง คนจะโตก็โต ไม่ถึงไหน เวลาลำบากก็ไปช่วยเขา แต่พอเขาจะโต ก็ดึงแข้งดึงขา ก็เลยวน ๆ อยู่กับที่ ก็ขอให้ปรับ แล้วเวลามองใครอย่าไปมองเล็งผลเลิศว่าเขาต้องดีพร้อม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ คนอย่างนั้นทั้งโลกมีแต่พระพุทธเจ้าองค์เดียว นอกนั้นก็ดีบ้างไม่ดีบ้างประกอบกัน ถ้าภาพรวม ๆ พอจะยอมรับกันได้ก็เดินหน้ากันไป

         ประเด็นสำคัญที่อยากจะฝากเอาไว้ คือคำว่า ไทยมหารัฐ ถามว่าเราจะไปเป็นมหาอำนาจทางไหน ดี เป็นมหาอำนาจทางทหาร ทางเศรษฐกิจ หรือทาง เทคโนโลยีอย่างที่โลกเคยมีในอดีต อาตมาคิดว่า เราคงต้องพยายามทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้า เศรษฐกิจก็ต้องดี เทคโนโลยีก็ต้องก้าวหน้า แต่ไม่ต้องไปแข่งกับใครว่าเราจะต้องเก่งที่สุดในโลก แค่พอ ตัวให้ประชาชนอยู่ดี กินดี อยู่ร่วมกันด้วยความผาสุก ในกลุ่มระดับนำของโลกก็คงจะน่าพอใจแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ชาวโลกกำลังโหยหาอย่างมาก ก็คือคำสอนในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะสมาธิ ทั้งในอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น หรือออสเตรเลีย ในประเทศที่เจริญแล้ว ทั้งหลาย ผู้คนโหยหาที่พึ่งพิงทางจิตใจและมีการ ตื่นตัวต้องการฝึกสมาธิกันขนานใหญ่ แต่ว่ายังไม่มีใครให้ความรู้แก่เขาอย่างเป็นระบบ แต่ประเทศไทย มีศักยภาพ และมีความพร้อม ทำไมเราไม่เป็น มหาอำนาจทางศีลธรรม เอาความร่มเย็นเป็นสุขไปให้กับโลก เราควรภูมิใจกับความเป็นมหาอำนาจทางศีลธรรม เวลาคนไทยไปที่ไหนพอชาวโลกรู้ว่าเป็นคนไทย ให้เขามองเราด้วยความรู้สึกให้เกียรติ ให้ความเคารพยกย่องในฐานะที่เป็นผู้นำทางด้านศีลธรรม เป็นครูของโลก เราต้องทำให้สังคมเราสงบร่มเย็น เป็นแบบอย่างแก่สังคมโลก เศรษฐกิจก็เป็นที่พอใจอยู่ในกลุ่มแนวหน้า แต่ว่าสังคมสงบร่มเย็น ผู้คนมีอัธยาศัยไมตรี เป็นแบบอย่างให้ชาวโลกดู แล้วก็ช่วยกันนำเอาหลักธรรมปฏิบัติโดยเฉพาะการทำสมาธิไปเผยแผ่ให้ทั่วโลก องค์กรธุรกิจ กลุ่มงาน ต่าง ๆ ในประเทศไทยที่เติบโตระดับโลกจริง ๆ ตอนนี้ยังไม่มี อย่างมากก็แค่ระดับภูมิภาค เรามา ลองทำองค์กรพุทธให้เติบโตเป็นเครือข่ายระดับโลก ไปเลย ทำให้คนไทยเกิดความเชื่อมั่นว่าเราสามารถ เป็นองค์กรที่ใหญ่ระดับโลกได้ ให้ทุกคนทั้งโลกได‰ รู้จักและยอมรับเรา โดยใช้การฝึกสมาธิเป็นตัวนำ เป็นหัวเจาะทะลุทะลวงไปสู่การเป็นมหาอำนาจทาง ศีลธรรม แล้วเราจะเป็นไทยมหารัฐอย่างที่ควรเป็นอย่างสมบูรณ์ยั่งยืน และสามารถนำความสงบร่มเย็น ไปให้กับชาวโลกได้ด้วย

 


บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล