ฉบับที่ 107 กันยายน ปี2554

พระธรรมเทศนา "สรีรัฏฐธัมมสูตร-ธรรมประจำสรีระ"

พระธรรมเทศนา

 

 

ตอนที่ ๑

พระธรรมเทศนา "สรีรัฏฐธัมมสูตร-ธรรมประจำสรีระ"

    การที่บุคคลหนึ่งบุคคลใด จะกระทำมโนปณิธานในการรื้อขนสรรพสัตว์ ให้หลุดพ้นจากทุกข์ในวัฏสงสารได้อย่างตลอดรอดฝั่งตามที่ตั้งใจไว้ ตั้งแต่ชาติแรกจนกระทั่งมาตรัสรู้เป็น "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ได้สำเร็จในชาติสุดท้ายนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยง่าย ทั้งนี้เพราะบุคคลนั้นต้องผ่านการฝึกฝนอบรมตนเองอย่างต่อเนื่อง ต้องทุ่มเททำความดีทุกประการอย่างอุทิศชีวิตเป็นเดิมพัน จนกระทั่งสามารถผ่านอุปสรรคและภยันตรายต่าง ๆ ในวัฏสงสารนี้มาได้สำเร็จนานัปการ จึงจะสามารถได้คุณสมบัติที่ได้โดยยากหลากหลายประการรวมอยู่ในบุคคลคนเดียว ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ได้ตรัสแสดงถึงความยากไว้ ๔ ประการ ดังนี้

 

การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็นับว่ายาก
การดำรงชีวิตของเหล่าสัตว์ก็นับว่ายาก
การได้ฟังพระสัทธรรมก็นับว่ายาก
การที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายจะเสด็จอุบัติก็ยิ่งยาก

เมื่อเราตรัสรู้แล้ว จะให้ผู้อื่นตรัสรู้ด้วย
เมื่อเราพ้นจากกิเลสแล้ว จะให้ผู้อื่นพ้นจากกิเลสด้วย
เมื่อเราข้ามโลกได้แล้ว จะให้ผู้อื่นข้ามได้ด้วย
มหาสมุทรคือวัฏสงสารมีภัยมาก

 

        พระดำรัสนี้เป็นการตรัสยืนยันด้วยพระโอษฐ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองว่า บุคคล ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตนั้น จะต้องผ่านความยากลำบากเหล่านี้มาแล้วทั้งสิ้น ความยากลำบากใด ๆ ในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดยากเกินกว่า ๔ เรื่องนี้อีกแล้ว และในบรรดาความยากทั้ง ๔ เรื่องนี้ การบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเรื่องยากที่สุด

   ความรู้เหล่านี้เป็นประสบการณ์โดยตรงของพระพุทธองค์ ที่ได้มาจากการฝึกฝนอบรมตนเองมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ชาติแรกจนกระทั่งชาติสุดท้าย ผ่านการทำความดีอย่าง อุทิศชีวิตเป็นเดิมพันมาทุกรูปแบบ โดยไม่มีข้อแม้เงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะต้องผจญอุปสรรคปัญหามากมายเพียงใด ก็ไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว ไม่ ท้อถอยหมดกำลังใจ ไม่ถอด ใจล้มเลิกการทำความดีแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม ทั้งนี้เพื่อกระทำมโนปณิธานที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ชาติแรกให้เป็นจริงดังที่เคยตั้งมโนปณิธานไว้ ซึ่งมีสาระสำคัญว่า

          ความมุ่งมั่นตั้งพระทัยของพระพุทธองค์ที่จะกระทำมโนปณิธานนี้ให้สำเร็จนี่เอง ที่ เป็นแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่ให้พระองค์ก้าวผ่านอุปสรรคต่าง ๆ นานามาได้ จนกระทั่ง ค้นพบหนทางแห่งการใช้ปัญญากำจัดทุกข์ ประหารกิเลสในตนจนสิ้นฤทธิ์ โดยไม่ต้อง ก่อบาปก่อเวร แต่กลับกลายเป็นการบุกเบิกเส้นทางหลุดพ้นจากวัฏสงสารให้ชาวโลกได้เดิน ตามมา

          เรื่องนี้ย่อมให้ข้อคิดว่า ถ้าหากไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น โลกนี้ก็จะไม่มีพระสัทธรรม ถ้าหากโลกนี้ไม่มีพระสัทธรรม มนุษย์ย่อมดำรงชีพอยู่ด้วยการก่อบาปก่อเวรเป็นอาจิณ ถ้าเป็นเช่นนั้น สวรรค์ก็จะร้างจากเทวดา โลกนี้ก็จะร้างจากมนุษย์ แต่เนืองแน่น ด้วยดิรัจฉาน ส่วนนรกภูมิก็จะแออัดไปด้วยสัตว์นรก สรรพสัตว์ทั้งหลายย่อมตกอยู่ใน วัฏสงสารไปตลอดกาลนาน

          การที่เราได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนาดังเช่นทุกวันนี้ จึงต้องถือเป็นโชค อย่างมหาศาล ดังนั้นเพื่อให้สมกับความโชคดีอย่างสุดคณานับนี้ พวกเราต้องรีบขวนขวาย ตักตวงบุญกุศลให้มาก เพราะไม่มีหลักประกันว่า ภพชาติต่อไปเบื้องหน้า เราจะได้เกิดมา โชคดีแบบในชาตินี้อีกหรือไม่ ความมีโชคของเราในวันข้างหน้า จึงขึ้นอยู่กับการกระทำของ เราในวันนี้นั่นเอง

          ดังนั้น การที่เราได้ศึกษาเรื่อง "ความยากในการบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" และ สรีรัฏฐธัมมสูตร นี้ ตั้งแต่เริ่มต้นการบวชนั้น ย่อมจะเป็นการช่วยเตือนใจให้เราได้ระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงมีพระมหากรุณาโดยไม่เสื่อมคลายในการ ช่วยเหลือชาวโลกให้พ้นทุกข์ หากพระองค์ไม่ทรงเผื่อแผ่น้ำพระทัยมาถึงพวกเรา โลกก็คง จะไม่มีพระพุทธศาสนาอยู่คู่โลกถึงทุกวันนี้

          กล่าวได้ว่าพระสัทธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนานั้นสุดแสนประเสริฐ ถ้าเราได้ศึกษาให้เข้าใจอย่างถูกต้องลึกซึ้งแล้ว ย่อมจะเป็นปัจจัยให้เกิดศรัทธาอย่างสูงส่ง บันดาลให้เกิดกำลังใจอย่างแรงกล้าที่จะปฏิบัติตามทุกเรื่องโดยไม่ลดละ ไม่ย่อท้อ แม้จะมีอุปสรรค ปัญหามาขวางกั้นก็ตาม ทั้งนี้เพราะได้ตระหนักถึงความโชคดีของตน ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังพระธรรมเทศนา ซึ่งจะเป็นโอกาสดีที่จะช่วยให้เรารู้จักวิธีปฏิบัติ ตนเพื่อบรรเทาทุกข์ในขณะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ และเพื่อความพ้นทุกข์ พ้นจากสังสารวัฏใน ที่สุด

 




 

          ยิ่งกว่านั้น สำหรับผู้ที่มีโอกาสบวชเป็นพระภิกษุอยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ของพระพุทธศาสนา มีศักดิ์และสิทธิ์เป็นพุทธบุตรผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ยืนยาวต่อไปอีก ต้องถือว่าเป็นผู้มีโชคยิ่งกว่าพุทธบริษัทกลุ่มอื่นหลายเท่า ทั้งนี้เพราะนอกจากจะได้มีเวลาฝึกหัดขัดเกลาตนเองให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น มีโอกาสถ่ายทอดพระสัทธรรมไปสู่บริษัทต่าง ๆ ซึ่งถือว่าเป็นการสั่งสมบุญบารมีอย่างยิ่งใหญ่แล้ว ยังเป็นการย่นระยะเวลาผจญภัยในวัฏสงสารลงอีกด้วย ดังนั้น พระภิกษุทั้งหลายพึงภาคภูมิใจที่ได้ดำรงอยู่ใน เพศภาวะอันสูงส่งนี้ แม้จะมีความจำเป็นต้องสึกหาลาเพศออกไป การบวชในครั้งนี้ของท่าน ก็จะไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล