ฉบับที่ 106 สิงหาคม ปี2554

นกยูงในบ่อ

คอลัมน์ท้ายเล่ม

เรื่อง : โค้ก อลงกรณ์

 

 

นกยูงในบ่อ

     บ่อคอนกรีตขนาดใหญ่แห่งนี้เคยเป็นสระบัวมาก่อน แต่ร้างราจากการใช้งานมานานหลายปีขอบบ่อที่สูงไม่ถึงเมตรได้เป็นดั่งกำแพงที่สูงใหญ่แก่ลูกนกยูงทั้งสี่ ที่ต้องบินขึ้นไปให้ได้

          ตามปกติก่อนที่ฟ้าจะมืดการดำรงชีพของประชากรไก่และนกยูงภายในวัดจะเริ่มทยอยบินขึ้นไปเกาะบนกิ่งไม้เพื่อหลับนอนดังนั้นเมื่อครอบครัวไหนมีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามา หน้าที่ผู้เป็นแม่ก็จะเริ่มฝึกลูกน้อยให้รู้จักหัดบินขึ้นต้นไม้ซึ่งวิธีการฝึกของแต่ละคุณแม่นั้นก็แตกต่างกันไป

          สำหรับแม่นกยูงตัวนี้ เธอเลือกใช้บ่อที่อยู่หลังกุฏิหลวงพ่อเป็นห้องเรียนสอนวิชาดำรงชีพแก่ลูกน้อย ทั้งสี่ของเธอวันแรก ๆ บรรดานกยูงเด็กน้อยใช้เวลาเกือบทั้งวันถึงจะขึ้นจากบ่อได้ ต่อมาก็ใช้เวลาแค่ครึ่งวันเมื่อเวลาผ่านไปแทนที่จะใช้เวลาน้อยลง ๆ แต่กลับใช้เวลาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เหตุเพราะเด็ก ๆ ต่างมัวโอ้เอ้เที่ยวสนุกกับการจิกของอร่อยที่ก้นบ่อเพลิน จนเกือบจะค่ำถึงยอมที่จะขึ้นจากบ่อ

       ใกล้ค่ำวันหนึ่ง น้องเล็กที่สุดในกลุ่มส่งเสียงร้องเรียกแม่ตลอดเวลา เจ้ายูงน้อยกำลังหลงอยู่ในบ่อ คาดว่าคงหาทางขึ้นไม่เจอ หรือไม่ก็คงเหนื่อยและหมดแรงที่จะบิน

          เหตุการณ์ฝึกขึ้นจากบ่อดำเนินเช่นนี้ไปไม่ถึงสัปดาห์ เหล่านกยูงทั้งสี่ก็ค่อย ๆ ทยอยจากแม่ไปทีละ ตัว ๆ จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม สุดท้ายพอสรุปได้ว่า ลูกนกยูงไม่สามารถขึ้นมาจากบ่อได้ พวกเขาสอบวิชานี้ไม่ผ่าน

          วันที่ลูกน้อยตัวสุดท้ายนอนแน่นิ่งที่ก้นบ่อ โดยมีเธอผู้เป็นแม่นอนเฝ้ามองอยู่ข้าง ๆ เป็นภาพที่เห็นแล้วสะเทือนใจ เรื่องเศร้าเช่นนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ผมได้แต่ยืนมอง สบตา ส่งกำลังใจให้เธอ

          ฉากชีวิตเช่นนี้เป็นเรื่องปกติของธรรมชาติที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเราทุกคน ผู้ที่พบเจออยู่เสมอจะเริ่มรู้สึกคุ้นชิน แล้วชีวิตจะค่อย ๆ สร้างภูมิต้านทานให้จิตใจมีความเข้มแข็งขึ้น ในที่สุดก็ดำเนินชีวิตก้าวไปข้างหน้าต่อไปได้

          สำหรับเหตุการณ์แม่ลูกนกยูงครอบครัวนี้ นอกจากจะเพิ่มภูมิให้กับผมแล้วเรื่องราวของเธอยังผสมสารบำรุงพิเศษที่ชื่อว่า ความคุ้นเคย เสริมมาให้ในชีวิตผมอีกด้วย

       นึกย้อนทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น หลังจากที่เด็ก ๆ ทั้งสี่ขึ้นมาจากบ่อแล้วเธอจะเอาปีกทั้งสองโอบกอดแล้วนอนกกเหมือนแม่ไก่ที่กำลังกกไข่ สายตาคอยระวังภัยจากสัตว์ร้ายตลอดทั้งคืนจนถึงเช้านี่คือวิสัยผู้เป็นแม่ที่เราต่างคุ้นเคย แต่ที่ไม่น่าจะคุ้นตาสำหรับผมเลยก็คือ ทำเลที่เธอเลือกใช้กกลูกน้อย

          ปกติบรรดาแม่ไก่หรือแม่นกยูงตัวอื่น ๆ จะเลือกกกในที่ลับตา หรือไม่ก็หลบไปกกในมุมที่ปลอดภัย แต่เธอผู้นี้กลับมานอนกกในที่เปิดเผยที่พื้นชายคาทางเดินเท้า

          ดังนั้นเวลาที่ใครจะเดินผ่านต่างต้องคอยระมัดระวังเพื่อไม่ให้ไปเหยียบเธอ

          เป็นเรื่องที่ชวนให้ซึ้งใจอย่างยิ่งที่ชีวิตงามสง่าอย่างนกยูง มีอัธยาศัยหลับนอนยามค่ำคืนบนที่สูงด้วยการจับกิ่งไม้ใหญ่แต่กลับยอมลงมานอนตามทางเดินเท้า เพราะความรักและเสียสละของความเป็นแม่และเมื่อหลวงพ่อเห็นเข้าท่านก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวคำทักทาย

          "เป็นอย่างไรบ้าง - แม่ลูกอ่อน? "

          ทุกครั้งที่เราส่งความรักและปรารถนาดีออกไป ผู้รับแม้จะเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ ย่อมสามารถ ซึมซับรับรู้ สัมผัสความเมตตาและห่วงใยที่เรามีให้ได้ไม่ยาก จึงไม่แปลกที่สัตว์เหล่านี้จะหยุดนิ่งหันมามอง

          นอกจากจะไม่ตื่นตระหนกเมื่อหลวงพ่อเดินผ่านแล้ว บ่อยครั้งมันยังกรูกันเข้ามาและเดินตามท่านไปด้วย

          นี่จึงเป็นเรื่องที่คุ้นเคยอย่างยิ่งที่เรามักจะเห็นหลวงพ่อทักทายบรรดาแม่นกหรือแม่ไก่ภายในวัด ถ้อยคำที่ใช้ทักทายและน้ำเสียงที่ไพเราะยิ่งทำให้เราคุ้นหูขึ้นอีกหลายเท่า เลี้ยงลูกให้ดี ๆ เลี้ยงให้รอด ปลอดภัยนะแม่ลูกอ่อน

          บ่อยครั้งท่านให้พวกเรานำเศษขนมปังโยนให้นก แรก ๆ มันกล้า ๆ กลัว ๆ สองจิตสองใจว่าจะเข้ามากินดีหรือไม่กินดี จนเมื่อท่านเอ่ยปากชวน มันถึงเข้ามากินอย่างสนิทใจ มา! เข้ามาเร็ว ของอร่อย ๆ ทั้งนั้นเลยนะ เข้ามา!

          หรือในภาวะซีเรียสอย่างงานบุญใหญ่บางงานที่เกิดเหตุขัดข้อง งานเสียหายไม่ราบรื่นเมื่อมีการประชุมกันหลังเสร็จงานบุญ ผู้รับผิดชอบได้เข้ามาประชุมและขออภัยในความผิดพลาดคำพูดที่มักได้ยินจากหลวงพ่อเสมอ ๆ แทนที่จะเป็นคำตำหนิ ว่ากล่าว กลับเป็นคำพูดที่ชื่นชมใน ความสำเร็จของงาน เพื่อให้ทุกคนได้ปลื้มปีติในผลบุญที่เกิดขึ้น และจบลงด้วยถ้อยคำส่งเสริมกำลังใจ ที่ได้ยินแล้วต่างก็อยากจะปรับปรุงงานบุญครั้งต่อไปให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

          เรื่องคำพูดคำจาที่ไพเราะชวนฟังของหลวงพ่อ เป็นเรื่องที่เราทุกคนคุ้นเคย หลวงพ่อบอกว่า คำพูดดี ๆ เป็นสิ่งมีค่า ที่เราต่างมอบให้แก่กันและกันได้โดยไม่มีวันหมด เราทุกคนมีถ้อยคำที่งดงาม ได้ด้วยการฝึก เช่นเดียวกับที่เราปรารถนาเป็นสิ่งใด เราก็สามารถเป็นได้ด้วยการฝึกฝน ฝึกให้คล่อง ให้ชำนาญ ฝึกจนคุ้นเคย แล้วเราจะได้เป็นสิ่งนั้น

          คนเก่ง ๆ ที่มีความสามารถทุกคนล้วนเริ่มต้นจากความไม่คุ้นมาก่อน นักกีฬา เริ่มแรกย่อมไม่คุ้นกับสนาม พ่อครัว ศิลปิน ก็เริ่มจากไม่คุ้นกับเครื่องไม้เครื่องมือที่ต้องหยิบใช้ เมื่อฝึกฝนไป เรื่อย ๆ ความไม่คุ้นก็จะค่อย ๆ หายไปจนกลายเป็นความคุ้น

          แต่ถึงแม้จะฝึกฝนอย่างเต็มที่แล้ว ความสำเร็จสูงสุดในชีวิตจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากยังไม่ฝึกอีกสิ่งหนึ่งควบคู่ไปด้วย นั่นคือการฝึก ใจ

          ใจ ของผู้ที่ประสบความสำเร็จนั้นล้วนผ่านคำว่า ฝึก มานับไม่ถ้วนไม่มีความสำเร็จใดได้มาโดยไม่ผ่านการฝึก ฝึก และฝึก ฝึกอย่างหนักและฝึกอย่างต่อเนื่อง
ฝึกความอดทนอดกลั้นและกดดันต่าง ๆ ฝึกใจให้สู้กับอุปสรรค ฝึกให้เอาชนะความขี้เกียจ ความเหนื่อยล้าที่เป็นแรงถ่วงทำให้เราบินขึ้นมาจากบ่อไม่ได้

          เราทุกคนล้วนมีข้อบกพร่องส่วนตัว บ่อของแต่ละคนลึกไม่เท่ากัน ผู้ที่ขึ้นจากบ่อได้ ล้วนแต่รู้จักสำรวจตัวเอง สิ่งใดที่เป็นจุดแข็งก็เสริมให้แข็งแกร่งด้วยการฝึกให้ชำนาญยิ่งขึ้นส่วนจุดอ่อนที่สำรวจพบก็รีบดำเนินการแก้ไข จากที่เคยทำแต่เรื่องติดลบก็หยุดทำแล้วหันมาสร้างเรื่องที่เป็นบวกให้เพิ่มขึ้น

          การฝึกศักยภาพภายนอกให้ดีขึ้นได้ เป็นเรื่องที่ภาคภูมิใจแต่ฝึกคุณภาพจิตภายใน เอาชนะและควบคุมใจของเราให้ได้นั้น น่าภาคภูมิยิ่งกว่ามีคำแนะนำหนึ่งเกี่ยวกับการพัฒนาตนเองได้กล่าวไว้ว่า มนุษย์เราหากเริ่มทำสิ่งใดต่อเนื่องได้๒๑ วัน สิ่งที่เราทำนั้นจะติดเป็นนิสัย

          นั่นหมายถึงว่า หากเราขี้เกียจติดต่อกัน ๓ สัปดาห์ เราก็มีแนวโน้มว่าจะมีนิสัยขี้เกียจติดตัวตรงกันข้าม หากเราเริ่มต้นวันใหม่ด้วยความขยันให้ได้ต่อเนื่องทั้งวันและทุกวันเราก็มีสิทธิ์เปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่มีคุณค่าได้้ในช่วงเวลาแค่ ๓ สัปดาห์

          คำกล่าวที่น่าสนใจนี้ มีผู้ทดลองพิสูจน์แล้วมากมาย ต่างเห็นผลมากน้อยแตกต่างกันบางคนตั้งใจทำสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ก็กลายเป็นนิสัยใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

          แต่กับบางคน กว่าที่สารบำรุงพิเศษที่ชื่อความคุ้นเคยกับสิ่งใหม่จะออกฤทธิ์ทำงานอาจต้องใช้เวลาที่ยาวนานเกินที่กล่าวไว้ เพราะการเลิกเสพ เลิกดื่ม เลิกเที่ยว เลิกนิสัยไม่ดีต่าง ๆ ที่สะสมต่อเนื่องมายาวนานนั้น กว่าจะคุ้นเคยกับสิ่งใหม่ ๆ ได้ ต้องใช้เวลา

          แต่ถึงแม้ใช้เวลายาวนานเท่าไหร่ก็ตาม ความตั้งใจเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น ย่อมไม่มีคำว่าสูญเปล่า เพราะเวลาที่จ่ายไปกับการฝึกฝนเพื่อขึ้นจากบ่อ

ย่อมมีศักดิ์ศรีและมีคุณค่ากว่าการส่งเสียงร้องและคอยความช่วยเหลือจากก้นบ่อเพียงอย่างเดียว

          ก่อนที่เวลาชีวิตจะหมดลง การขึ้นไปยังขอบบ่อนั้นเป็นสิ่งดีที่เราควรขึ้นไปให้ได้ที่ก้นบ่อ ต่อให้คุ้นเคยมายาวนานเท่าไหร่ นอกจากจะหลับนอนไม่มีความสุขแล้ว ยังไม่ปลอดภัย กับชีวิตเราด้วยครับ
..........................

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล