ฉบับที่ 87 มกราคม ปี2553

พระออกบิณฑบาต ท่านสวมรองเท้าได้หรือไม่

 





 

 

        ปัจจุบันนี้ เวลาพระออกบิณฑบาต ท่านสวมรองเท้าได้หรือไม่ เพราะว่า พื้นที่บางแห่งไม่เหมาะสมที่จะเดินเท้าเปล่า

 

 

         ตั้งแต่หลวงพ่อยังเล็ก ๆ อยู่ ก็เห็นเวลาพระท่านออกบิณฑบาต เดินเป็นแถวไปตามคันนาบ้าง ตามทางเกวียนในหมู่บ้านบ้าง แล้วต่อมามีถนน มีรถยนต์ พระท่านก็เดินริม ๆ ถนน ออกบิณฑบาต ผ่านหน้าบ้านญาติโยมไปตามลำดับ แล้วสิ่งที่สังเกตเห็นมาตั้งแต่เล็ก คือ พระท่านไม่ใส่รองเท้า ท่านถอดรองเท้าแล้วก็ออกบิณฑบาต นี่คือ ธรรมเนียมของพระภิกษุในประเทศไทย

 

         ที่ถามมาว่า พระจะต้องถอดรองเท้าบิณฑบาตตลอดไปหรือไม่ หรือว่าถ้าจำเป็นจะต้องใส่ จะใส่ได้หรือไม่ หลวงพ่ออยากจะให้ข้อคิดเอาไว้ คือ วินัยประเภทนี้ต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมของบ้านเมืองด้วย เมื่อหลวงพ่อเล็ก ๆ เมื่อ ๖๐ ปีที่แล้ว ดินในท้องนาก็ไม่สกปรกเหมือนดินในปัจจุบัน ถนนหน้าแล้งแม้จะมีฝุ่นตลบไปหมดเพราะว่าเป็นทางเกวียน หน้าฝนเป็นโคลน เป็นหล่ม แต่ถึงขนาดนั้นก็ไม่สกปรกด้วยสารพิษเหมือนอย่างที่เป็นในปัจจุบัน

         ปัจจุบันนี้มีถนนคอนกรีต ถนนลาดยาง เยอะแยะไปหมด แต่ว่าบอกตรง ๆ บางครั้งไม่กล้าถอดรองเท้าเดิน เพราะสังเกตได้เลยว่า บนถนนมีสารเคมีตกค้างอยู่เยอะ เช่น แถบนี้มีร้านขายยาฆ่าแมลงอยู่ พวกยาฆ่าแมลงที่หก ๆ หล่น ๆ อยู่ย่านนั้นก็มี พวกปุ๋ยที่หก ๆ หล่น ๆ อยู่ ย่านนั้นก็มี รวมกระทั่งในย่านนั้นก็มีอู่ซ่อมรถ มีพวกเศษเหล็กเศษอะไรทิ้ง ๆ เอาไว้ พร้อมจะตำเท้า เวลามีความจำเป็นจะต้องถอดรองเท้าเดินผ่านแถว ๆ นั้น ก็ต้องบอกว่าไม่สบายใจเลย นี่ก็ อีกอย่างหนึ่ง

 




             และขณะนี้ เมื่อกลับไปเยี่ยมบ้านเกีด เดีนไปตามท้องนาก็เป็นอีก ในท้องนาท้องไร่ปัจจุบันนี้ เขาเอาสารเคมีประเภทยาฆ่าแมลงและปุ๋ยไปใช้กันในท้องไร่ท้องนามาก และสารเคมีประเภทยาฆ่าหญ้าก็ใช้กันมากในบรีเวณเกษตรกรรมในบ้านเมืองไทยขณะนี้ เพราะฉะนั้น การไม่ใส่รองเท้ากำลังกลายเป็นความไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพ ไม่ใช่เฉพาะของพระภีกษุเท่านั้น แต่ไม่ปลอดภัย แม้กระทั่งประชาชนทั่ว ๆ ไป สิ่งเหล่านี้กำลังคืบคลานมาเบียดเบียนสิ่งแวดล้อมของเรา ทำให้ธรรมชาติเสียหายไป แล้วก็กำลังคืบคลานมาบีบให้ทั้งพระ ทั้งคน จะต้องละทิ้งขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามบางสิ่งบางอย่างไป เพราะสภาพเป็นพิษที่เราปล่อยปละละเลยให้เกิดขึ้น

             อันนี้อาจจะทำให้การบิณฑบาตในอนาคตต้องมีการปรับเปลี่ยน แต่อย่างไรก็ตาม ขณะที่พูด อยู่นี้ อาตมาเองเวลาบิณฑบาตก็ยังถอดรองเท้าบิณฑบาตอยู่ อันนี้ขอบอกก่อน ไม่ใช่มาชักชวนให้ทำลายขนบธรรมเนียมประเพณีและพระธรรมวินัย แต่ชี้ให้เห็นว่าสภาพแวดล้อมเป็นอย่างนี้

             เพราะฉะนั้นต่อไปในอนาคตหากเกิดมีความจำเป็นว่า จะต้องใส่รองเท้าด้วยเหตุแห่งการมีสารเคมี การมีวัตถุสิ่งใดที่อาจมาทำอันตรายให้กับเท้า เลยจำเป็นจะต้องใส่รองเท้าบิณฑบาตกันในอนาคตนั้น ก็เป็นเรื่องที่จะต้องมาช่วยกันพินิจพิจารณา และก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น อยากจะฝาก เอาไว้ทั้งในหน่วยงานของเอกชน ทั้งหน่วยงานของรัฐบาล ใครมีหน้าที่เกี่ยวข้องควบคุมสารพิษ ควบคุมเกี่ยวกับเรื่องโรคระบาด ควบคุมพวกขยะที่มีเศษแก้ว เศษกระจก เศษโลหะที่จะบาด จะที่มจะตำเท้าได้ ช่วยหามาตรการทำให้เคร่งครัดด้วย ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ต่อไปในภายภาคหน้าจะกระทบกระเทือนแม้กระทั่งพระธรรมวินัย

             อีกประการหนึ่งอยากจะฝากกับญาติโยมชาวไทยว่า เวลามองพระ อย่ามองกันด้วยความจับผิด แต่ขอให้มองด้วยจิตเมตตา ในบ้านในเมืองเรานี้ ขณะนี้มีอุปกรณ์ที่ยั่วยุและส่งเสริมให้ คนไทยทั้งแผ่นดินเกิดนิสัยชอบจับผิดกันขึ้น แทนที่จะมอง จะคิดกันด้วยจิตเมตตา กลับมาจ้องจับผิดกัน ยกตัวอย่าง เช้าขึ้นมาถ้าเราฟังวิทยุแต่เช้า ก็จะมีการวิจารณ์ข่าว ซึ่งส่วนมากก็เข้าทำนองที่ว่า ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดี ๆ ต้องเสียสตางค์ คือ ข่าวที่เอามาอ่านกันนั้น ไม่ค่อยสร้างสรรค์ มีแต่ ข่าวร้าย ๆ ทั้งนั้น มีแต่เรื่องทำลายกัน ก็เลยเพาะนิสัยให้จับผิดกัน ส่วนข่าวดี ๆ หนังสือพิมพ์ก็ไม่ค่อยอยากลง ต้องจ้างให้ลง วิทยุก็ไม่ชอบเอามาอ่าน ในทีวีก็เหมือนกัน ถ้าใครดูทีวีแต่เช้า กลายเป็นว่าได้เห็นทั้งภาพที่ไม่เป็นมงคล และเสียงไม่เป็นมงคล เพราะเป็นเสียงจับผิด ภาพก็เป็นภาพร้าย ๆ ประเภทจับผิดเข้ามาอีก

 



             เป็นอันว่าในเมืองไทยเราขณะนี้ ประชาชนไทยตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงที่ไม่เป็นมงคลตั้งแต่ต้น คือ เสียงจับผิด เสียงจากการอ่านข่าวร้าย ๆ และถ้าดูทีวีก็มีเสียงที่ไม่เป็นมงคล และภาพที่ไม่ค่อยจะเป็นมงคลตามมาด้วย น่าสงสาร แล้วคนไทยทั้งประเทศก็เลยกลายเป็นคนชอบจับผิดไปโดย ไม่รู้ตัว

             ถ้าไม่เชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศขณะนี้กำลังกลายเป็นคนจับผิดไปละก็ อาตมาจะยกตัวอย่าง ให้เห็นชัด ๆ คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายเช้านี้ลองดูเลย ไปหยิบกระดาษมาแผ่นหนึ่ง ดินสออีกแท่งหนึ่ง ปากกาแท่งหนึ่ง ส่งให้ลูก แล้วก็บอกว่า ช่วยเขียนให้แม่ชื่นใจหน่อยว่า แม่ดีต่อลูกอย่างไร หรือแม่มีพระคุณต่อลูกอย่างไร หรือลูกเห็นว่าแม่น่ารักตรงไหน ช่วยเขียนให้แม่ชื่นใจสัก ๑ หน้า

             เชื่อไหมลูกหลานของเราอย่างดีก็อาจจะเขียนสัก ๒ บรรทัด ๓ บรรทัด จะให้ได้ตั้งหน้าหนึ่ง อย่าไปหวังเลย นึกไม่ออก เพราะวิธีชมคนไม่เคยมี พ่อแม่ก็ไม่ได้สั่งสม หนังสือพิมพ์ก็ไม่เคยสอน ครูก็ไม่เคยสอน วิทยุ ทีวี ก็ไม่เคยสอน ยิ่งข่าวเช้า ๆ อย่างที่ว่าเรื่องชมไม่เคยมีเลย มีแต่เรื่องตีกัน

 

 

            คราวนี้เอาใหม่ ไปหยิบกระดาษอีกแผ่นหนึ่ง "ลูกเอ๊ย เจ้าเห็นว่าแม่ไม่ดีกับเจ้าอย่างไร อยากจะให้แม่แก้ไขปรับปรุงอย่างไร ช่วยเขียนให้แม่หน่อยซิ" เอากระดาษส่งไปให้อีกแผ่นหนึ่ง ลองดู เดี๋ยวเถอะลูกขออีกแผ่นหนึ่ง แค่แผ่นเดียวมันน้อยไป

            ทำไมมันเป็นอย่างนั้น ลูกหลานไทยวันนี้คุ้นต่อการจับผิด ไม่คุ้นต่อการจับถูก ความถูกต้องความดีงามของคนเดี๋ยวนี้ไม่มีใครชี้แนะให้ดู มีแต่ชี้แนะว่าคนโน้นเสียอย่างไร คนนี้เลวอย่างไร เมื่อเป็นอย่างนี้เข้า ลูกหลานไทยวันนี้ จึงเป็นนักจับผิดตัวยงไปเสียแล้ว เริ่มต้นมนุษย์จะจับผิดใคร ก็จับผิดคนใกล้ตัวสิ เพราะฉะนั้นพ่อแม่นั่นแหละจะถูกลูกจับผิด

            ในขณะที่เด็กเมื่อ ๕๐-๖๐ ปีที่แล้วถูกฝึกมาอีกอย่างหนึ่ง อาตมาก็ถูกฝึกมา ก่อนจะนอน "ลูกเอ๊ย มาสวดมนต์ไหว้พระกับแม่แล้วไปนอน" พอสวดมนต์ไหว้พระเสร็จ กราบเท้าคุณแม่ กราบเท้าคุณพ่อ หรือถ้าคุณปู่คุณย่าอยู่ด้วย ก็ไปกราบเท้าท่าน ไปขอพรท่าน แล้วท่านก็ให้พรเพราะเสียด้วย "เมื่อเช้านี้ย่าตักบาตรพระมา ๕ องค์ ด้วยบุญที่ย่าตักบาตรให้อายุพระ ให้อายุพระศาสนา ให้หลานย่าอายุยืน ๆ นะ ไม่ป่วย ไม่เจ็บ ไม่ไข้" เราก็สาธุ กราบท่านแล้วก็ไปนอน

             กราบเท้าคุณแม่ คุณแม่ก็บอก "วันนี้แม่ไปวัดมา ไปทำบุญเสร็จกลับมาก็เลยถือโอกาสซื้อปลา ไปปล่อยให้ชีวิตเป็นทาน ด้วยกุศลผลบุญนี้ให้ลูกแม่อายุมั่นขวัญยืน อุบัติเหตุเภทภัยอย่าได้ไปเจอะไปเจอเลยนะลูก" เราสาธุ กราบเท้าท่าน แล้วก็ไปนอน เมื่อ ๕๐-๖๐ ปี คนรุ่นโน้น ก่อนนอนก็ยังได้ยินเสียงเพราะ ๆ อย่างนี้ ยังได้ยินเสียงให้พร เดี๋ยวนี้ลูกหลานไทยไม่เคยได้ยินเสียงชวนจากพ่อแม่ให้ไปกราบพระก่อนนอน ไม่ได้ยินเสียงให้พรจากพ่อแม่ก่อนนอน เพราะฉะนั้น ลูกหลานไทยวันนี้ชมคนไม่เป็น ให้พรคนไม่เป็น สรรเสริญกันไม่เป็น เป็นแต่จะจับผิดกัน แล้วมันระบาดไปทั่วบ้านทั่วเมือง เริ่มจากจับผิดพ่อแม่ จับผิดคนใช้ที่อยู่ในบ้าน จับผิดพี่ ๆ น้อง ๆ กันเอง

             หนักเข้าพอไปถึงโรงเรียนก็จับผิดครู จับผิดเพื่อน หนักเข้าเมื่อโตขึ้นมาอ่านหนังสือพิมพ์ ก็คล่อง ดูทีวีก็คล่อง ฟังเสียงก็ชัด ก็เริ่มตีผู้บริหารบ้านเมือง หนักเข้าลามกระทั่งติพระ จับผิดพระ ถ้าปล่อยสภาพอย่างนี้ ต่อไปไม่ต้องมีใครมาทำอันตรายประเทศไทยหรอก เราแค่จับผิดกันเอง ติกันเอง บ้านเมืองก็พอจะลุกเป็นไฟได้แล้ว ไม่ต้องให้ใครมาทำอะไรเรา

             เพราะฉะนั้น ฝึกกันใหม่ ย้อนกลับมาใหม่ ตั้งแต่เช้าขึ้นมาสวดมนต์ไหว้พระก่อน แล้วก็ชักชวนกันทำบุญตักบาตร ชักชวนกันประกอบคุณงามความดี กินข้าวเสร็จไปทำงาน ถึงที่ทำงาน นายจ้างก็อย่าจับผิดลูกน้อง ลูกน้องก็อย่าจับผิดนายจ้าง แล้วช่วยกันทำงานไป ขณะทำงานเพื่อนก็อย่าจับผิดเพื่อน มีอะไรจะแนะนำสั่งสอนตักเตือนกันได้ก็ว่ากัน

             เสร็จงานกลับบ้าน ถ้าผิดพ้องหมองใจ ขาดตกบกพร่องอะไร ก็อย่าโกรธกัน เพราะว่าล้วนแต่จะทำงานให้ดีกันทั้งนั้น ถ้าล่วงล้ำกล้ำเกินกันก็ขออภัยด้วย ให้จบกันแค่วันนี้ อย่าให้ความขุ่นใจข้ามคืนไปเลย ลาจากกันที่ทำงาน แล้วก็กลับบ้าน อาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลาเสร็จ ก็สวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน ให้พรลูกให้พรหลานก่อนนอน เราย้อนกลับมาทำสี่งที่ดีงามอย่างนี้ บ้านเมืองไทยจะได้ไม่ต้องมีแต่เรื่องรกหูรกใจอย่างที่เป็นอยู่ แล้วไฟเหนือ ไฟใต้ ไฟอะไรต่ออะไร มันจะค่อย ๆ หมดไปเอง

 

 

              เมื่อเราไม่จับผิดกันมันก็จะตรงกันข้าม คือ หันมาจับถูก จับความดีซึ่งกันและกัน เมื่อนั้นลูกจะเห็นคุณของพ่อแม่ สามีจะเห็นคุณภรรยา ภรรยาจะเห็นคุณสามี พระเห็นคุณของญาติโยมที่ได้อุปการะให้ข้าวปลาอาหาร ทำให้มีเรี่ยวแรงปฏิบัติธรรม ญาติโยมก็เห็นคุณของพระที่เป็นเนื้อนาบุญให้ มาเทศน์มาสั่งสอนให้รู้บุญ รู้บาป ปิดนรก เปิดสวรรค์ให้กับเรา มองกันด้วยจิตเมตตาอย่างนี้ แล้วเรื่องที่ว่า พระจะใส่รองเท้าบิณฑบาต เพราะว่าสารเคมีย่านนั้นมันเยอะเหลือเกิน ขืนไม่ใส่รองเท้า เท้าได้พังกันแน่ เมื่อถึงตอนนั้นก็ไม่มีใครมานั่งจับผิดพระ

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล