ฉบับที่ 38 ธันวาคม ปี 2548

จริงหรือไม่?การฝึกสมาธิด้วยวิธีกำหนดนิมิตเป็นองค์พระหรือว่าดวงแก้ว จะทำให้ติดนิมิต

 

 

 

 

 

 

 

       ลูกเคยชวนเพื่อนมาฝึกสมาธิ โดยวิธีให้กำหนดองค์พระ หรือว่าดวงแก้ว เขากลับบอกว่าวิธีนี้ ทำให้ติดนิมิตลูกจะมีวิธีอธิบายให้เขาเข้าใจได้อย่างไร เจ้าค่ะ?

 

 

    พูดง่ายๆ ก็คือ เพื่อนของคุณโยมสงสัยว่า การฝึกสมาธิด้วยการกำหนดนิมิตเป็นองค์พระ หรือว่าดวงแก้ว เป็นวิธีที่ผิดนั่นเอง

การทำสมาธิคืออะไร

           ในกรณีอย่างนี้ มีผู้ที่สงสัยอยู่มากเหมือนกัน แต่ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ เรามาทำความเข้าใจกันเสียก่อนว่า การทำสมาธิคืออะไร

           การทำสมาธิ ที่แท้จริงนั้น เป็นเรื่องของการที่จะควบคุมใจของเรา ให้อยู่ในอำนาจ เพราะว่าปกติใจของมนุษย์ ไม่ว่าเด็ก หรือว่าผู้ใหญ่ ไม่ว่าหญิง หรือว่าชาย ไม่ว่าฆราวาส หรือว่าพระภิกษุ ถ้ายังไม่ได้รับการฝึกมาอย่างดีละก็ จะมีลักษณะที่เหมือนๆ กันอยู่ ๒ ประการคือ

           ๑ . ชอบเที่ยว เช่น ตัวนั่งอยู่ที่นี่แต่ใจกลับไปถึงบ้านแล้ว บางทีไปถึงต่างประเทศก็มี ใจของคนเราสามารถข้ามภูเขา ข้ามทะเล ไปได้ทั้งนั้น

           ๒ . ชอบคิด ใครที่กลางคืนนอนไม่หลับจะซึ้งในเรื่องนี้ดี เพราะไม่รู้เรื่องอะไรต่อเรื่องอะไร สารพัดที่จะผุดขึ้นมาให้คิดได้เป็นเรื่องเป็นราว เป็นฉากๆ ไป

           เนื่องจากใจของมนุษย์มีปกติชอบเที่ยวและชอบคิดนี่เอง จึงทำให้ใจหมดประสิทธิภาพ เพราะว่าชอบไปเที่ยวในที่ไม่ควรเที่ยว ไปคิดในสิ่งไม่ควรคิด ใจจึงล้า หมดเรี่ยวหมดแรง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรจะคิด จะพิจารณาให้มาก ก็ปล่อยปละละเลยไป สำหรับวิธีแก้ไขมีอยู่ทางเดียว คือเอาใจกลับมาเก็บไว้กับตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอามาเก็บไว้ในตัวให้ได้อย่างถาวร

         แต่การที่จะนำใจมาเก็บเอาไว้ในตัวไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะว่าตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดมา เรายังไม่เคยเห็นเลยว่า ใจของเรามีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นกุศโลบายที่จะทำให้ใจหยุด ใจนิ่ง จึงได้เกิดขึ้นมา

วิธีนำใจกลับมาเก็บเอาไว้ในตัว

         พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนวิธีนำใจมาเก็บเอาไว้ในตัว เพื่อให้ใจมีประสิทธิภาพในการคิด ในการตรองยิ่งขึ้น เรียกว่าการทำสมาธิ แต่ว่าเนื่องจากมนุษย์ในโลกนี้ มีพื้นฐานของนิสัยใจคอที่ไม่เหมือนกัน เช่น บางคนมีใจเมตตากรุณา บางคนใจร้อน บางคนเจ้าโทสะ บางคนผูกพยาบาท บางคนเฉื่อยชา เป็นต้น

         เพราะฉะนั้น กุศโลบายในการฝึกจิต ฝึกสมาธิ จึงต้องมีความแตกต่างกันไป ให้พอเหมาะพอควรกับนิสัยใจคอของแต่ละคน ซึ่งในพระพุทธศาสนามีเป็นตำรับตำราเอาไว้ถึง ๔๐ วิธี และทั้ง ๔๐ วิธีนี้ ล้วนเป็นวิธีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแนะนำให้กับพระภิกษุในยุคพุทธกาล ดังนั้นใครจะมาบอกว่าวิธีใดวิธีหนึ่งผิด คงไม่ได้ พูดได้แต่เพียงว่า วิธีนี้เหมาะสำหรับคนนั้น คนนี้ไหม เท่านั้นเอง

          ยกตัวอย่าง ที่บอกว่าวิธีทำสมาธิ โดยการกำหนดนิมิตเป็นองค์พระใสๆ หรือว่าดวงแก้วใสๆ ขึ้นมาที่ศูนย์กลางกาย ไม่ถูกต้อง อย่างนี้ถือว่าพูดผิด เพราะว่าการกำหนดนิมิตเป็นดวงแก้ว เป็นวิธีฝึกสมาธิวิธีหนึ่งใน ๔๐ วิธีในพระพุทธศาสนา ที่เรียกว่า อาโลกกสิณ หรือว่ากสิณแสงสว่าง

           ส่วนการกำหนดนิมิตเป็นองค์พระใสๆ นอกจากจะเป็นวิธีที่เรียกว่า อาโลกกสิณแล้วยังเป็นการเจริญพุทธานุสติอีกด้วย

           เป็นอันว่าการทำสมาธิโดยกำหนดนิมิตเป็นองค์พระ หรือว่าดวงแก้วนี้ เป็นวิธีที่ถูกต้องแล้ว

คุณสมบัติพิเศษของการกำหนดนิมิตเป็นองค์พระ หรือว่าดวงแก้ว

          สิ่งที่ควรรู้ต่อไปอีกก็คือ ไม่ว่าใครก็ตามเมื่อทำสมาธิโดยกำหนดนิมิตเป็นองค์พระ หรือว่าดวงแก้วแล้ว จะทำให้มีคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งเกิดขึ้นมา คือใจของเขาจะใส จะสว่าง ได้เป็นพิเศษกว่าการฝึกสมาธิวิธีอื่นๆ และเมื่อฝึกไปมากเข้าๆ ความสว่างอันเกิดจากการกำหนดองค์พระ หรือว่าดวงแก้วนี้ นอกจากจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว ความสว่างยังติดอยู่ในใจขึ้นมาได้เอง เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ไปถึงไหน ความสว่างที่ติดอยู่ในดวงอาทิตย์ก็ไปถึงนั่น

           ไม่ว่าจะหลับ จะตื่น จะยืน เดิน นั่ง นอน จะหลับตา ลืมตา ใจจะมีความสว่างติดอยู่ตลอดเวลา แม้ไม่ได้กำหนดนิมิตก็ตาม เพราะว่าจริงๆ แล้วใจของคนเรานั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ประภัสสร คือ มีความสว่างอยู่ในตัวเอง ตั้งแต่ยังไม่ได้ฝึก

           แต่ว่าเนื่องจากเราไม่ได้สนใจ ความสว่างของใจจึงมีน้อย ครั้นเมื่อฝึกสมาธิอย่างต่อเนื่องมากเข้า กำหนดความใสมากเข้า ความสว่างในใจจึงเพิ่มขึ้นมาโดยอัตโนมัติ และใจที่เต็มไปด้วยความสว่างนี้ ย่อมดีกว่าใจที่มืดตื้อมืดมิดเหมือนอย่างกับเข้าถ้ำแน่นอน

           เพราะฉะนั้น ช่วยไปบอกกับเพื่อนของคุณโยมด้วยว่า การฝึกสมาธิโดยกำหนดนิมิตเป็นองค์พระ หรือว่าดวงแก้วนี้ ไม่ได้ทำให้ติดนิมิต ไม่ได้ทำให้ติดความสว่าง แต่ว่าความสว่างกลับมาติดอยู่ในใจของเราเอง แล้วถ้าหากเขาจะมาลองฝึกดูบ้างก็ได้ หลวงพ่อขอยืนยันว่าไม่ผิดวิธีแน่ๆ

           แต่ถ้าเขารักจะฝึกสมาธิวิธีอื่นๆ ที่มีอยู่ในพระพุทธศาสนา ก็ฝึกเถอะ ตั้งใจฝึกให้มากๆ ก็แล้วกัน สักวันหนึ่งก็จะรู้เองว่า ไม่ว่าจะฝึกสมาธิวิธีใด ในที่สุดจะมีความสว่างเกิดขึ้นมาในใจ แล้วถ้าหากความสว่างเกิดขึ้นมาเมื่อไร อย่าเอาไปโยนทิ้งเสียล่ะ เดี๋ยวจะกลายเป็นคนตาบอดคลำช้างไป

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล