ฉบับที่ 59 กันยายน ปี 2550

หลวงพ่อตอบปัญหา : ทำไมเวลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรม จึงสามารถบรรลุธรรมได้ ทั้งที่นั่งฟังเทศน์

 

         

 

 

        หลวงพ่อเจ้าคะ ลูกสงสัยว่า ทำไมเวลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ผู้ฟังจึงสามารถบรรลุธรรมได้ ทั้งที่นั่งฟังเทศน์ไม่ได้นั่งหลับตาทำสมาธิเจ้าค่ะ

 

 

     เรื่องการนั่งสมาธิอย่างชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพันนั้น ก็มีความจำเป็นไม่น้อยแต่ว่าในสมัยพุทธกาลผู้ที่เกิดในยุคนั้น เขาเกิดในยุคที่มีการฝึกสมาธิเป็นเรื่องปกติธรรมดา เขาฝึกกันจนกระทั่งเกิดความชำนาญ 

       เมื่อฝึกจนกระทั่งชำนาญ เวลามาพบ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เลยทำให้ฟังเทศน์แล้วเข้าใจได้ง่ายขึ้น เพราะใจของเขาหยุดนิ่งมาก่อนนั่นเอง

       เพราะฉะนั้น โดยภาพรวมๆ แล้ว ไม่ว่าการศึกษาทางธรรม หรือการศึกษาทางทางโลกก็ตาม ผู้ที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ สำเร็จสมความมุ่งหมายกันจริงๆ ต้องมีองค์ประกอบอย่างน้อย ๔ ประการ ด้วยกัน คือ

๑. มีครูดี คือ ต้องได้ครู หรือได้พระอาจารย์ดี ที่เป็นต้นแบบได้จริงๆ มาเป็นหลักไว้ก่อน
๒. มีหลักวิชาดี คือ หลักวิชาที่นำมาสอนนั้น เป็นหลักวิชาที่ถูกต้อง และลึกซึ้งจริงๆ
๓. มีวิธีการสอนที่ดี ถึงแม้จะมีครูดี มีหลักวิชาดี แต่ถ้าวิธีการสอนไม่ดี ก็ไปไม่รอดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์จึงต้องมีความเชี่ยวชาญในการสอนอย่างดีด้วย
๔. มีลูกศิษย์ดี ลูกศิษย์ก็ต้องมีสติปัญญา พร้อมจะรับฟังคำสอนไม่ใช่ลูกศิษย์ประเภทปัญญาอ่อน หรือลูกศิษย์ที่ขี้เกียจ อย่างนี้ไปได้ ไม่ถึงไหนหรอก

        เมื่อนำองค์ประกอบทั้ง ๔ ประการนี้ มาเปรียบเทียบกับการบรรลุธรรมของคนในสมัย พุทธกาล จะพบว่า

       ประการที่ ๑ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นบรมครู เป็นศาสดาเอกของโลก เป็นผู้เดียวที่ตรัสรู้ธรรมด้วยพระองค์เองไม่ได้ไปลอกใครมา ทรงรู้จริง ทำได้จริง นี่คือคุณสมบัติของบรมครูของเรา

    ประการที่ ๒ ธรรมะ หรือหลักวิชาที่พระองค์ทรงค้นพบนั้น ไม่ใช่ค้นพบได้ง่ายๆ พวกเราคงจำกันได้ว่าแต่เดิมพระองค์ก็ประทับอยู่ในวัง พอถึงเวลาจะค้นคว้าหาธรรมะ ทรงยอมสละบ้านเมือง สละบัลลังก์ สละทุกสิ่ง ทุกอย่างพระองค์ทรงเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการ เข้าถึงธรรมะ แล้วนำธรรมะนั้นมาสอนพวกเรา

       ประการที่ ๓ วิธีการสอนของพระพุทธองค์นั้น ทรงเป็นเลิศกว่าใครๆ ถ้าเราศึกษาพุทธประวัติ มาอย่างดีจะพบว่า ความจริงเมื่อ ๔ อสงไขยกับแสนกัปก่อนนั้นถ้าพระองค์ปรารถนาเพียงแค่จะหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ ก็คงทำได้ไม่ยากนัก

        แต่ว่าตั้งแต่วันนั้นจนกระทั่งถึงวันตรัสรู้ พระพุทธองค์ทรงใช้เวลาถึง ๔ อสงไขยกับแสนกัป ในการฝึกวิชาครู เพื่อที่จะถ่ายทอดความรู้ให้กับลูกศิษย์ลูกหา

        เมื่อทรงฝึกวิชาครูมาขนาดนี้ เพราะฉะนั้น หลังจากตรัสรู้แล้ว เวลาสอนธรรมะใคร คำพูดจะเกินสักคำก็ไม่มี จะขาดสักคำหนึ่งก็ไม่มี พอเหมาะ พอดีไปหมด นี้คือความเป็นเลิศ ความเป็นอัจฉริยะ ในการสอนธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา

       ประการที่ ๔ลูกศิษย์ที่มาเรียนธรรมะกับพระพุทธองค์ในสมัยพุทธกาล ไปค้นประวัติดูเถอะ ลูกเอ๊ย แล้วจะพบว่า ท่านเหล่านั้นก็ได้ฝึกตัว เตรียมตัวกันมาตลอดชีวิตเหมือนกัน

     ยกตัวอย่าง พระอัญญาโกณฑัญญะ ซึ่งมีอายุมากกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเสียอีก ในวันที่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติ พระโกณฑัญญะท่านนี้แหละ ที่เป็นโหรประจำราชวงศ์ และยังเป็นผู้พยากรณ์ว่า พระราชโอรสพระองค์นี้ ต่อไปภายภาคหน้าไม ครองราชสมบัติหรอก พระองค์จะเสด็จออกบวช แล้วบรรลุธรรมเป็นศาสดาเอกของโลก มาช่วยโปรดสัตว์โลกให้พ้นทุกข์

         พยากรณ์เสร็จ ท่านโกณฑัญญะก็ตั้งใจรักษาศีล ตั้งใจฝึกสมาธิ ปฏิบัติธรรมของท่าน เรื่อยมา เมื่อทราบว่าเจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จออกบวช ท่านก็ออกบวชบ้างและต่อมาได้ตามไปอุปัฏฐากรับใช้อยู่ถึง ๖ ปี

 

       เมื่อเตรียมตัวมาดีอย่างนี้ พอได้ฟัง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเทศน์เพียงครั้งเดียว ท่านก็บรรลุธรรม เป็นพระโสดาบันทันที

         เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะนั่งหลับตา หรือจะนั่งลืมตาก็ตาม ถ้าฝึกตัวมาดีล่ะก็ สามารถเข้าถึงธรรมได้โดยง่ายทั้งนั้นแหละ

         หรืออย่างพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ ก่อนที่จะมาพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านสำเร็จการศึกษามาถึง ๑๘ ปริญญา

        พระอรหันต์แต่ละท่านในยุคต้นพุทธกาล ท่านเตรียมตัวของท่านมาดี ไปค้นประวัติดูเถอะ แต่ละท่านสำเร็จการศึกษาดีๆ กันทั้งนั้น

       พระอรหันต์บางรูป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเทศน์ข้างถนนแท้ๆ ตรัสสั้นๆ เพียง ๒-๓ คำ ท่านก็บรรลุธรรม แต่นั่นแหละ กว่าจะมาถึงขนาดนี้ได้ ท่านฝึกตัวเองมาตลอดชีวิต ฝึกมาในระดับเอาชีวิตเป็นเดิมพันกันทีเดียว

        ก่อนหน้านั้น ที่ท่านเหล่านี้ยังไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ก็เพราะว่าท่านปฏิบัติมรรคไม่ครบองค์ ๘ คือ

๑. มีความเข้าใจถูกในเรื่องบุญ เรื่องบาป ยังไม่พอ
๒. มีความเข้าใจถูกในเรื่องวิธีวางใจให้ พอเหมาะพอสม ยังไม่พอ

      เมื่อ การอบรมบ่มนิสัยของเราดีพอ บารมีแก่กล้าพอ เมื่อไปพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเหล่าพระอรหันต์ในเบื้องหน้า เราก็สามารถจะบรรลุธรรมได้ง่ายๆ เช่นเดียวกับพระอรหันต์ในยุดพุทธกาลเหมือนกันเพราะว่าเราได้เดินตามรอยของท่านมานั่นเอง

 

      เพราะฉะนั้น พอมาได้ฟังพระสัมมา สัมพุทธเจ้าตรัสย่อๆ สั้นๆ ว่าเรื่องบุญ เรื่องบาปเป็นอย่างนี้ การวางใจที่พอเหมาะพอสมเป็นอย่างนี้ก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์กันข้างทางนั่นเอง

        สำหรับพวกเราในยุคนี้ แม้สภาพสิ่งแวดล้อม จะไม่ค่อยดี ไม่ค่อยเอื้ออำนวยต่อการบรรลุธรรมนัก ก็อย่าเพิ่งท้อแท้ ให้ตั้งใจฝึกตัวเองเรื่อยไป

      ถึงแม้ว่าฝึกแล้ว จะยังไม่ได้ผลดีเหมือนในยุคพุทธกาลก็ตาม แต่อย่างน้อยเราก็ได้เพาะนิสัยรักการฝึกสมาธิเพาะนิสัยรักการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ เป็นชีวิตจิตใจ ติดตัวของเราไปในภายภาคหน้า ซึ่งไม่ว่าจะชาตินี้ หรือชาติไหนก็ตาม เมื่อการอบรมบ่มนิสัยของเราดีพอ บารมีแก่กล้าพอ เมื่อไป พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเหล่าพระอรหันต์ในเบื้องหน้าเราก็สามารถจะบรรลุธรรมได้ง่ายๆเช่นเดียวกับพระอรหันต์ในยุคพุทธกาลเหมือนกัน เพราะว่าเราได้เดินตามรอยของท่านมานั่นเอง

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล