ฉบับที่ 46 สิงหาคม ปี 2549

เมื่อมนุษย์มีดวงใจเป็นดั่งมารดา

 

 

 

 

       ทางด้านมัสลองลูกชายคนโตของเธอ เด็กหนุ่มที่โดยปกติเป็นคนพูดน้อย สุภาพ และสงบเงียบเรียบร้อย แต่ในความสงบของเขา ก็เปรียบดังภูเขาไฟที่ดูสวยงามเมื่อยามปกติ แต่หากภูเขาไฟลูกนี้ปะทุ ก็ยากที่จะยับยั้งอารมณ์เช่นกัน "ผมจะเป็นคนใจร้อนและขี้โมโหครับ บางครั้งถ้าโมโหใครขึ้นมาก็จะโกรธจนอยากจะเข้าไปต่อยคน

        กัลฯ อัญชลี อุบลรัศมี ผู้จัดการของบริษัทแห่งหนึ่ง ในประเทศเนเธอร์แลนด์ กำลังเผชิญกับความขมของชีวิต เพราะตลอดสามอาทิตย์ที่ผ่านมา เธอและลูกชายอันเป็นที่รัก ไม่ได้พูดจากันเลยสักครึ่งคำ แม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรก ของความขัดแย้ง กับผู้คนจนถึงขั้นหงุดหงิดใจไม่อยากพูดคุยด้วย แต่นั่นก็เพียงคนอื่น แต่การไม่ได้พูดกับลูก ทั้งๆ ที่เห็นหน้ากันทุกวัน ในบ้านหลังเดียวกันนั้น ทรมานกว่าการขัดเคืองใจกับใครต่อใครทั้งโลกหลายเท่านัก "ตอนนั้น เราสองแม่ลูกมีเรื่องขัดแย้ง ภายในครอบครัว คุยกันยังไงก็ไม่เข้าใจ เหมือนพูดคนละเรื่อง พอคุยกันสักพัก เราเองก็ชักจะทนไม่ไหว เพราะเป็นคนอารมณ์ร้อน ขี้โมโหอยู่แล้วด้วย พูดๆ ไปเสียงชักจะเข้มและมีอารมณ์ขึ้นเรื่อยๆ เลยตัดสินใจเดินหันหลังให้ เดินเข้าห้องปิดประตู ห้องใครห้องมัน" ไม่เพียงประตูห้องที่ปิด แม้แต่ความสุขทางใจของคนทั้งสอง ก็ถูกล็อกลงกลอนด้วยเช่นกัน หรือฆ่าคนไปเลยครับ" หลังจากเหตุการณ์วันนั้นมัสลองเฝ้าแต่หมกตัวอยู่ในห้อง แต่ก็แอบมองทุกครั้งที่แม่เดินออกไปทำงาน และเดินกลับเข้ามายามเลิกงาน ซึ่งใน แต่ละวันก็ดึกดื่นแทบทุกคืน "ผมคิดว่า ยังไงผมก็ไม่ยอมครับ เพราะผมไม่ได้ผิดอะไร

       พอถึงเวลาอาหารผมก็ทำทานเอง เพราะผมทำอาหารเป็น" สำหรับคุณแม่ ก็ชะแง้มองไปที่ประตูห้องของลูกอยู่เสมอ ลูกชายจะเป็นอย่างไร ทานอะไรบ้างแล้ววันนี้ บ่อยครั้งที่เธอเผลอจะเข้าไปถามไถ่ว่าทานอะไรบ้างแล้วหรือยังลูก ดังเช่นทุกๆ วันที่เธอเคยเป็นมา แต่ครั้งนี้เธอต้องชะงักเท้าเอาไว้ "เหมือนเรากำลังทำสงครามของความรู้สึก ต่างคนก็คิดว่าจะไม่ยอมแพ้" หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป เข้าสู่อาทิตย์ที่สอง ทุกอย่างยังคงหมุนวนซ้ำๆ ดุจกังหันลมแห่งเนเธอร์แลนด์ ตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะทำงาน เดินกลับบ้าน ก่อนหลับตานอน เรื่องนี้วนเวียนและว้าวุ่นอยู่ในสมอง

       จนกระทั่งวันหนึ่งในสัปดาห์ที่สาม เธอเดินเข้าห้องพระ และนั่งสมาธิ ตามวิธีที่หลวงพ่อธัมมชโยท่านสอน ใน DMC ทีวีช่องธรรมะที่เธอจูนพบโดยบังเอิญมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ "รู้สึกเครียดมากๆ เราก็เลยนั่งสมาธิ หลับตาลงเบาๆ วางใจไว้ที่ศูนย์กลางกาย คิดว่าในท้องเราไม่มีตับไตไส้พุง นึกองค์พระไปเรื่อยๆ เพลินๆ สักพักก็รู้สึกสงบ เหมือนใจเราตกตะกอน สงบนิ่งมากๆ รู้สึก โล่ง โปร่ง เบาสบาย เหมือนกับตัวเราคลายจากสิ่งต่างๆ เรื่องที่ค้างใจกับลูกชายก็กลับเข้ามาอีกครั้ง แต่เป็นการกลับมาในขณะที่ใจเรามีสมาธิอยู่เต็มร้อย เราคิดอะไรได้ชัดเจน ความคิดเป็นระเบียบขึ้น ช่วงเวลานั้นเราเหมือนมีดวงใจเป็นแม่ของเราเอง และสอนเราว่า ความเป็นแม่ใช่ว่าจะคิดเห็นอะไรต่างๆ ได้ถูกต้องเสมอไป มันก็บ่อยครั้งที่เรา เผลอไผลใช้อารมณ์ไปก่อนเหตุผล อาจต้องใจเย็น และรับฟังเหตุผลของลูกมากกว่านี้" แล้วเธอก็ตัดสินใจเดินไปเคาะประตู

       "มัสลอง..แม่ขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหมลูก" วินาทีแห่งความเงียบ หลังสุดเสียงเคาะประตู เวลานั้นเหมือนกับเข็มนาฬิกาทั้งโลกกำลังหยุดเดิน ผีเสื้อแห่งท้องทุ่ง ทิวลิปชะงักปีกลอยตัวอยู่ในอากาศ ลูกชายของเธอจะเปิดประตูไหม จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ นั่นคือสิ่งที่เธอคิด และเมื่อประตูที่เคยปิดมาตลอดสามสัปดาห์เปิดออก และได้เห็นใบหน้าลูกชายได้ชัดเจนอีกครั้ง "มัสลอง..มัสลองโกรธแม่หรือลูก" หลังคำถามสิ้นสุด ดูเหมือนว่า หางตาของลูกชายเริ่มสั่น ก่อนจะพูดอย่างช้าๆ ว่า "ผมไม่ได้โกรธแม่หรอกครับ เพียงแต่ผมน้อยใจแม่เท่านั้น บางครั้งเหมือนแม่ไม่มีเหตุผล แต่ผมรักแม่นะครับ" แล้วเธอก็ได้เห็นน้ำตาของลูกชาย ก่อนที่จะโผเข้ามากอดผู้เป็นแม่ และเธอก็ได้บอกกับลูกชายทั้งน้ำตาเหมือนกันว่า "แม่ก็รักมัสลองนะจ๊ะ" เป็นอีกวันหนึ่งที่หัวใจของความเป็นแม่เต็มเปี่ยมด้วยความตื้นตัน "ฉันรู้สึกขอบคุณหลวงพ่อมากๆ ที่ท่านสอนให้รู้จักการทำใจให้สงบด้วยการนั่งสมาธิ ถ้าเราไม่รู้จักความสงบ เข้าไม่ถึงใจตัวเอง ยากที่เราจะไปเข้าใจคนอื่น พอใจไม่อยู่กับตัวเอง ไม่มีสติ เราก็อาจจะทำอะไรผิดพลาดได้ง่ายๆ แต่เพียงชั่วครู่ที่ใจหยุด เราก็เห็นอะไรได้ชัดเจน เมื่อรู้ว่าสิ่งที่เราแสดงออกไปไม่ถูกต้อง เราก็สามารถที่จะเป็นแม่ที่เดินเข้าไปขอโทษลูกได้ก่อนเสมอ" เธอได้พิสูจน์ให้ลูกชายได้เห็นแล้วว่าถึงอย่างไร ความรักของแม่ก็เหนือความแพ้-ชนะ ทางอารมณ์ เหมือนดังคำของปรัชญากวีท่านหนึ่ง ซึ่งเคยเขียนไว้ว่า "ความผิดพลาด ไม่เคยยอมใคร แต่ความถูกต้องสิ รู้จักยอม"

     สำหรับตัวของมัสลองเอง เขาก็สารภาพภายหลังว่า "ผมเองก็อึดอัดมากครับ มันเป็นสามอาทิตย์ที่ผมรู้สึกทรมานที่สุด ทุกครั้งที่เห็นแม่เหนื่อย จากการทำงาน กลับมาถึงบ้าน ผมอยากจะเข้าไปกอด ไปเป็นกำลังใจให้แม่เหมือนวันก่อนๆ ที่ผ่านมา แต่หลังจากทะเลาะกันวันนั้น ผมรู้สึกน้อยใจแม่มาก ความน้อยใจของเรา ทำให้เราคิดเพียงแต่ว่า เป็นตายร้ายดี ก็จะไม่ไปง้อแม่ก่อนเด็ดขาด ทั้งๆ ที่ในใจก็อยากที่จะเข้าไปกราบขอโทษแม่ และผมซาบซึ้งในความรักของแม่มากๆ ผมไม่คิดว่าแม่จะเข้ามาขอโทษผมก่อน ทั้งๆ ที่ผมเองต่างหาก ที่ควรต้องเดินเข้าไปหาท่าน ผมรู้สึกผิดมากๆ และคิดว่าในชีวิตนี้ ผมจะไม่ให้เกิดความผิดพลาดนี้ซ้ำสองอีกเด็ดขาด" จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ มัสลองไม่เคยเชื่อเรื่องนรก สวรรค์หรือบุญบาป เพราะไปอยู่ต่างประเทศมาตั้งแต่เล็กๆ อยู่ในสภาวะแวดล้อมทางความเชื่อที่แตกต่างไปจาก พระพุทธศาสนา แต่สิ่งที่เปลี่ยนทัศนคติของเค้าได้ก็คือ การได้ดู DMC และได้นั่งสมาธิ "ผมเข้าใจในเรื่องของกฎแห่งกรรมมากขึ้น และช่วงหลังมาผมชอบนั่งสมาธิ ตอนที่นั่ง ผมวางใจที่ศูนย์กลางกาย ทำใจใสๆ นั่งนิ่งๆ ท่องสัมมาอะระหังไปเรื่อยๆ รู้สึกใจสบาย ใจเย็น มีความอบอุ่น แปลกนะครับความอบอุ่นนั้น มันเหมือนความอบอุ่นตอนเราหนุนตักแม่ พอนั่งไปเรื่อยๆ ก็เห็นแสงสว่างเหมือนตื่นนอนในตอนเช้า แสงนั้นสวยดีครับ แล้วผมก็เห็นดวงแก้วดวงเท่าลูกกอล์ฟใสสว่างและนิ่ง ดวงแก้วติดตาอยู่ตลอดเวลา ผมรู้สึกสบายใจมากครับ" หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ไม่เพียงแค่ดอกไม้ในสวนโกเกนฮอปที่สวยเกินบรรยาย แม้แต่ดอกหญ้าหน้าบ้านก็ดูสวย ได้เมื่อดวงใจของคนเพ่งมองนั้นชื่นบาน

 

 

 

        คราวหนึ่ง มัสลองกลับไป พักอยู่กับยายที่เมืองไทย ต่อจากนั้นไม่นานคุณอัญชลี ก็เดินทางกลับไปเยี่ยม แม่ที่เมืองไทยเช่นกัน ทันทีที่ลงจากเครื่องบิน มัสลองก็เดินเข้ามา ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยถ้อยคำใดๆ ออกมา เขาคุกเข่าลง มือทั้งสองของเขากราบ ลงไปยังเท้าของแม่คู่นั้น เท้าที่เคยย่ำไปในทุกที่ เพื่อทำมาหาเลี้ยงลูกจนเติบใหญ่

      พร้อมกับบอกว่า "แม่ครับ ผมคิดถึงแม่ครับ" น้ำตาแม่รินสายอีกครั้ง เขาเป็นเด็กหนุ่มตัวโตๆ ที่คิดว่าการกราบเท้าแม่ คือเกียรติยศของลูก ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะอายต่อสายตาใครๆ "ฉันไม่คิดว่าลูกชายจะทำอย่างนี้ เพราะตอนนั้นมีคนยืนกันอยู่เต็มสนามบิน หลายชาติ หลายวัย เขาทำได้แบบไม่อายใครเลย"

       ตอนนี้มัสลอง กำลังเตรียมตัวที่จะบวชให้กับแม่ของเขาแล้ว ในโครงการอุปสมบทพระ ครั้งแรกของยุโรป รุ่นที่ ๑ ที่วัดพุทธแอนท์เวิร์ป "ผมตั้งใจอยากจะบวชให้แม่ครับ เพราะแม่เหนื่อยเพราะผมมามากแล้ว ผมอยากให้แม่ได้บุญมากๆครับ" นี่คือคำพูดของมัสลองที่เปล่งออกมาด้วย น้ำเสียงแห่งความภูมิใจ "รู้สึกปลื้มใจมาก ที่เค้าจะบวช เป็นการบวชที่เราเองไม่ได้ร้องขอจากเขาเลย เป็นความตั้งใจของเขาที่อยากจะบวชให้แม่"

 

 

         ไม่มีใครรู้หรอกว่า สามอาทิตย์ที่แม่ลูกไม่พูดจากันนั้น เป็นทุกข์ในใจแค่ไหนและอาจจะไม่รู้อีกเช่นกันว่า การที่แม่ได้เห็นลูกชายมากราบที่เท้า และตั้งใจจะบวชให้นั้นน่าปลาบปลื้มเพียงไร ภาพอันงดงามทั้งปวง ของสองแม่ลูกคู่นี้ เกิดจากจุดเปลี่ยนที่สำคัญคือ "สมาธิ" เพียงได้สัมผัสความสงบแห่งใจ มีใจดวงนี้เป็นดั่งมารดา ผู้มอบความสุข ให้ทุกครั้งที่เราเข้าหา ไม่เคยต่อว่า เวลาผิดพลาด แล้วเราจะเข้าใจถึงถ้อยคำที่ว่า "แม่คือพระอรหันต์ ของลูก" ได้อย่างซาบซึ้ง เมื่อเราเข้าถึงมารดาในเรือนใจดวงนี้ มารดาที่พร้อมจะให้ ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน แค่เพียงเราคิดถึงท่าน ท่านก็ทุ่มเททุกสิ่ง ที่มีมอบให้และมารดาในเรือนใจนี้ ก็ไม่ต่างกับมารดาในเรือนชานของเราเลย ฝ่าเท้าน้อยๆ ของลูก มารดาของเราเฝ้าหอมและจูบด้วยความเอ็นดูทะนุถนอม กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูก้อนกายน้อยๆ จนเติบใหญ่ แม่คงไม่หวังสิ่งใดตอบแทนทั้งสิ้น เพียงเห็นลูกเดินเข้าไปหาเพียงบอกว่า "รักแม่" และกราบลงที่เท้ากร้านโลกคู่นั้นของท่าน ท่านก็ปลาบปลื้มจนระงับน้ำตาไม่อยู่เสียแล้ว สำหรับลูกคนอื่นๆ ทั่วโลก คงไม่ต้องรอให้เกิดเหตุการณ์สามอาทิตย์ ที่ลูกไม่ได้คุยกับแม่หรือไม่จำเป็นต้องรอ วันแห่งการพบเจอ ในสนามบินแห่งใด แต่วันนี้และขณะนี้ ลูกสามารถเข้าไปกราบเท้า และบอกรักแม่ของตัวเองได้เสมอ แสดงออกให้ท่านรู้และชื่นใจ รวมถึงนั่งสมาธิหยุดใจ มอบพระภายในเป็นของขวัญแก่ท่านได้เช่นกัน

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล